ดวงใจภวินท์ - บทที่ 828 วิธีผูกเนกไท
ตอนนิธิศกลับถึงบ้าน นพเก้ากำลังนั่งสบาย ๆ อยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น “ฉันนึกว่าญาธิดาจะออกไปเดินเล่นกับคุณกับลูกซะอีก ดูเหมือนว่าฉันจะประเมินความสามารถของคุณสูงเกินไปนะ”
ยิ่งพูดถึงเรื่องนี้เขาก็ยิ่งโกรธทำให้ท่าทีที่แสดงต่อนพเก้าก็แย่เอามาก ๆ เหมือนกัน “คุณเข้ามาได้ยังไง?”
เมื่อเผชิญหน้ากับเจตนาร้ายที่แฝงอยู่ในดวงตาของเขา เธอก็เลิกคิ้วขึ้นเบา ๆ “ถึงยังไงฉันก็นับว่าเป็นรุ่นพี่ของอลิสานะ พวกเราจบมาจากที่เดียวกัน และแน่นอนว่าแต่ละคนย่อมมีความสามารถความถนัดของตัวเอง”
เมื่อกี้ได้ยินเธอพูดแบบนั้น นิธิศหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะแผ่รังสีอันตรายออกมา “บอกเบื้องลึกเบื้องหลังมาให้หมด ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่อยากร่วมมือกับคุณแล้ว”
“ทำไม คุณกลัวเหรอ?” นพเก้ายังคงไม่ยอมลุกขึ้นและเอาแต่เล่นเนกไทของเขาอย่างหยอกเย้าและพูดด้วยเสียงหวานหยาดเยิ้ม “ตั้งแต่คุณเลือกที่จะยืนข้างเดียวกันกับฉัน คุณก็ไม่มีที่ว่างให้หันหลังกลับแล้วล่ะ”
วินาทีต่อมานิธิศบีบคางของเธอแน่น ในแววตาเต็มไปด้วยไอสังหาร “ตอนนี้คุณก็เหมือนตั๊กแตนในกำมือของฉัน ถ้าฉันอยากจะกำจัดคุณจริง ๆ ฉันไม่จำเป็นต้องพิจารณาถึงคนที่อยู่เบื้องหลังของคุณด้วยซ้ำ”
นพเก้าตกใจ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่านิธิศกำลังเตือนเธออยู่ และเขาจับจุดอ่อนของเธอได้แล้ว
ozoneไม่ตามฆ่าเธอก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว จิ้งจอกเฒ่าวีริศนั่นไม่มีทางยอมบาดหมางกับนิธิศเพื่อเธอแน่ ถ้านิธิศตัดสินใจที่จะกำจัดเธอ เธอก็มีแต่ต้องตายสถานเดียว
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เธอรีบฉีกยิ้มประจบสอพลอเขาทันที พลางค่อย ๆ ดึงมือใหญ่ของเขาออกจากคางแล้วเอนตัวซบนิธิศ
“วันนี้เค้าอุตส่าห์มาเพื่อคุณนิดเลยนะ ทำไมคุณถึงใจร้ายมาข่มขู่เค้าแบบนี้ล่ะ”
นิธิศพ่นลมหายใจออกก่อนจะผลักเธอออกให้พ้นทางแล้วนั่งลงบนโซฟาด้วยสีหน้ามืดมนน่าหวาดกลัว
นพเก้าจัดแจงท่าทางตัวเองให้มั่น หลังจากปรับสีหน้าแล้วก็เดินเข้าไปนั่งลงตรงข้ามเขา
“ฉันรู้ความสามารถของอลิสาดี อีกไม่นานลูกชายของคุณก็จะหายเป็นปกติไม่ต่างจากเด็กทั่วไป ถ้าถึงตอนนั้นเกรงว่าคุณคงจะต้องเสียหมากเพียงตัวเดียวที่จะทำให้ได้ใกล้ชิดกับญาธิดาไปแล้วล่ะคะ”
นิธิศปฏิเสธคำพูดของเธอแต่ก็ส่งสายตาให้เธอพูดต่อไป
“คุณนิด คราวก่อนฉันตั้งใจไปที่บ้านพักเพื่อสืบข่าวให้คุณโดยเฉพาะ ตอนนี้ภวินท์กับญาธิดาต่างก็เข้ากันไม่ได้มองหน้ากันไม่ติด ฉันว่าคุณใช้โอกาสนี้เข้าไปสร้างความขัดแย้งระหว่างทั้งสองคนน่าจะดีกว่า”
แววตาของนิธิศดูกระเหือดกระหายมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาหยิบบัตรเครดิตออกจากกระเป๋าตังค์ของตัวเองแล้วผลักมันไปวางตรงหน้าเธอ “ถ้าเรื่องนี้สำเร็จ เธอจะได้ในสิ่งที่เธอต้องการกว่านี้”
ปลายนิ้วของนพเก้าขยับเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักสุดท้ายก็ไม่ได้รับมันไว้ แถมยังฉีกยิ้มหวานอธิบายกับเขาไปว่า “คุณนิด สิ่งที่ฉันต้องการคุณให้ไม่ได้ พวกเราร่วมมือกันก็เพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ ถ้าคุณเอาเปรียบหรือทำลายผลประโยชน์ของฉัน นั่นไม่ใช่แค่เงิรเล็ก ๆ น้อย ๆ จะสามารถทดแทนได้”
นิธิศเลิกคิ้วอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ ก่อนจะเก็บบัตรเครดิตของตัวเอง “ฉันมีเงื่อนไขแค่อย่างเดียว รีบจัดการให้เร็วที่สุด”
“ถ้าอย่างนั้นฉันจำเป็นต้องขอของสิ่งหนึ่งจากคุณก่อน” สีหน้าเคร่งขรึมปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ
ทางด้านบ้านพัก ห้องนั่งเล่นเงียบสนิทจนแม้แต่เสียงเข็มหล่นพื้นก็ได้ยินอย่างชัดเจน ญาธิดามองใบหน้าเคร่งขรึมของภวินท์อย่างรู้สึกผิด
“หลังจากจัดการเรื่องของต้นกล้าเสร็จแล้ว ฉันสัญญาว่าจะไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่นอีก หวังว่าคุณภวินท์จะใจกว้าง อย่าถือสาเอาเรื่องกับฉันเลยนะ” เธอมองภวินท์ด้วยแววตาน่าสงสารพลางพูดอวยเขาจนโอเวอร์
อีธานกับเอลล่าก็รอเผือก ตอนนี้กำลังทำหน้าเหมือนรอดูเรื่องสนุกโดยไม่กลัวว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โต คุณแม่ที่ปกติเอาแต่ดุพวกเขาอย่างกับแม่เสือ ตอนนี้กลับเชื่องอย่างกับลูกแมวเห็นแล้วพวกเขาก็แอบสะใจอยู่เหมือนกัน
ภวินท์ทำหูทวนลมเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของเธอ กวาดสายตามองพนักงานร้านชุดสูทก่อนจะถามเสียงเย็นชาว่า “พวกเธอจะยืนนิ่งอยู่ทำไม?”
ยิ่งพวกพนักงานได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งก้มหน้าต่ำลงกว่าเดิม คุณภวินท์กับคุณญาธิดาทะเลาะกันแบบนี้พวกเธอไม่กล้าเข้าไปยุ่ง ทำไมทุกข์ต้องมาตกที่พวกเธอด้วย
สุดท้ายคนที่เป็นหัวหน้าก็จำต้องก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ มองไปที่ญาธิดาและเอ่ยถามอย่างสุภาพ “ขอนุญาตนะคะคุณธิดา ตอนนี้จะเริ่มการสอนได้หรือยังคะ?”
“เดี๋ยวก่อน!” ญาธิดาส่ายหน้าไปมาไม่หยุด มองไปทางภวินท์ด้วยสายตาขอร้องอ้อนวอนและเอ่ยถามด้วยใบหน้าเหมือนจะร้องไห้ “เรื่องนี้ไม่มีโอกาสเหลือให้แก้ตัวแล้วเหรอ?”
“มี”
เมื่อญาธิดาได้ยินแบบนั้นก็กำลังจะถอนหายใจออกมายาว ๆ ก่อนที่น้ำเสียงติดตลกของภวินท์จะดังขึ้นว่า “ไปเอาไวบอร์ดมา สอนคุณธิดาตรงนี้แหละ”
“ฮิฮิ” เอลล่าหลุดขำออกมาอย่างกลั้นเอาไว้ไม่ไหว ญาธิดานึกว่าตัวเองหูฝาดประสาทหลานไปเอง เธอได้แต่ยืนอ้าปากค้างตกตะลึงอยู่กับที่
“ที่…นี่?” เธอกลืนน้ำลาย
กระดานไวท์บอร์ดถูกย้ายไปอยู่ด้านหน้าภายในพริบตา พนักงานเปิดกระเป๋าเดินทางหนังสีดำ ด้านในมีเนกไทวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ถูกแบ่งตามสี ลวดลาย และวัสดุของผ้า
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าแค่เนกไทอันเล็ก ๆ จะแบ่งได้หลายประเภทขนาดนี้
เห็นได้ชัดว่าพนักงานเหล่านี้เป็นมืออาชีพที่ภวินท์เชิญมา คนหนึ่งในนั้นที่สวมถุงมือสีขาวค่อยหยิบเนกไทออกมาอย่างระมัดระวังแล้วยื่นใส่มือของเธอ
การเคลื่อนไหวแสนประหม่าก็ส่งต่อมาถึงญาธิดาด้วยเหมือนกัน พลอยทำให้เธอประหม่าจนเหงื่อมือออกตามไปด้วย
“เธอไม่ต้องขนาดนั้นหรอก”
ภวินท์ว่าพลางดึงเนกไทจากมือของเธอก่อนจะคล้องมันใส่แขนของเธออย่างสบาย ๆ “เราชดใช้คืนไหว”
เธอพูดไม่ออกอีกครั้ง
ตอนนี้พนักงานอีกคนเริ่มขีดเขียนลงบนกระดานไวท์บอร์ด ก่อนจะเคาะมันเพื่อเป็นสัญญาณให้เธอฟังคำต่อไปนี้
ญาธิดามองตัวอักษรสีดำบนพื้นหลังสีขาวก่อนจะกลอกตาขาวอย่างอดไม่ได้
——ร้อยวิธีผูกเนกไทให้คุณภวินท์
“ภวินท์นี่คุณจะบ้าหรือไงเนี่ย!” เธอกัดฟันพลางกร่นด่าเขา
ภวินท์กระตุกมุมปากเล็กน้อยมองท่าทางกระวนกระวายของเธอก่อนจะพูดติดตลกว่า “เธอค่อย ๆ เรียนนะ อีกสามเดือนข้างหน้าฉันจะคอยดูผลลัพธ์”
ญาธิดาหน้าเสียทันทีก่อนที่สีหน้าจะค่อย ๆ เปลี่ยนเหมือนน้ำตากำลังจะไหล
สามเดือนเหรอ!
ช่วงสามเดือนนี้เธอต้องต่อสู้กับมือแสนไม่ได้เรื่องของตัวเองเหรอเนี่ย? !
การทรมานที่ไร้มนุษยธรรมนี้ดำเนินไปเป็นเวลาห้าวันติดต่อกัน แต่เธอเพิ่งจะเรียนรู้วิธีการผูกเนกไทได้เพียงสามวิธี และไม่ใช่แค่เธอเท่านั้นที่พอเห็นเนกไทแล้วถึงกับตัวสั่น เพราะคุณครูที่สอนก็เป็นไปด้วยเหมือนกัน
แม้แต่เอลล่ายังสามารถผูกออกได้เหมือนตามแบบ แต่ฝีมือของญาธิดาก็ยังหยุดอยู่ที่ขั้นเริ่มต้นอยู่เลย
ภวินท์กลับค่อนข้างพอใจกับฝีมือของเธอ เช้าวันนี้หลังจากรับผลงานสำเร็จรูปจากเธอแล้วเขาก็หันเข้ากระจกไปกรัดคลิปหนีบเนกไทก่อนจะถามขึ้นว่า “วันนี้มีแพลนจะทำอะไร?”
“ออกไปข้างนอกกับหมออลิสา” เธอขยับนิ้วมือที่ปวดร้าวของตัวเองเล็กน้อย “ฉันอยากให้เธอช่วยฉันหาวิธีเค้นเอาคำพูดในใจของขวัญออกมา ก็เลยจะไปบ้านขวัญตากับอลิสา…”
เธอตั้งใจปิดบังเรื่องต้นกล้า
ภวินท์ไม่ได้สงสัยอะไรในคำพูดของเธอ เอาแต่ปรับเนกไทด้วยสีหน้าพึงพอใจ ก่อนจะหันกลับมาจูบหน้าผากของเธอเบา ๆ
“ตอนบ่ายผมต้องไปสืบเรื่องสำคัญบางอย่าง อาจจะกลับค่ำมาก ไม่ต้องรอผมนะ”
เธอขานรับโดยไม่รู้ตัว อยากจะถามว่าวันนี้ขอยกเลิกคลาสเรียนได้ไหม ทว่าขณะที่กำลังลังเลว่าจะพูดยังไงดี ร่างของภวินท์ก็หายออกไปจากห้องนอนซะแล้ว