ดวงใจภวินท์ - บทที่ 830 ตบเธอแล้วจะทำไม
บทที่ 830 ตบเธอแล้วจะทำไม
ปลายนิ้วของภวินท์คลายแรงลง นพเก้าร่วงไปกองบนพรมที่พื้นทันที
เธอเอาแต่ลูบลำคอที่ปวดร้าวของตัวเองพลางจ้องเขาด้วยแววตาแดงก่ำ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ว่า “ทำไมคุณถึงไม่ยอมเชื่อฉัน เมื่อตอนยังเด็กบทเรียนแรกที่เราได้เรียนรู้จากozoneคือการไม่หักหลังกัน”
เมื่อมองใบหน้าของเธอที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดแต่ยังคงพยายามอธิบาย แววตาของภวินท์ก็เต็มไปด้วยแสงมืดมิด เมื่อก่อนเขาเคยเห็นสีหน้าแบบเดียวกันนี้บนใบหน้าเด็กน้อยไร้เดียงสาของเธอ
แต่ภายหลังเธอกลับค่อย ๆ วิ่งสวนทางกับเขาทีละก้าว…
เมื่อนพเก้าเห็นว่าเขาไม่พูดไม่จาอยู่นาน จึงคิดว่าอาจจะยังพอมีโอกาส จึงรีบพุ่งตัวเข้าไปคว้ามือของเขาไว้โดยไม่สนใจความเจ็บปวดของตัวเอง
“ถึงคุณจะไม่เชื่อฉัน แต่ก็น่าจะเชื่อในความสามารถในการสอนของozone ฉันพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะชดเชยที่เคยทำร้ายธิดาในตอนนั้น ไม่อย่างนั้นฉันจะเสี่ยงชีวิตเข้าไปสืบเรื่องพวกนี้ทำไม”
ภวินท์มองเธออย่างเงียบ ๆ กระทั่งเธอพยายามแสดงความบริสุทธิ์ของตัวเองออกมาจนหมด ก่อนจะพูดเตือนสติเธอทีละคำว่า “ฉันเชื่อใจธิดาเท่านั้น”
นพเก้าร้องห่มร้องไห้ มองเขาด้วยสายตาเหลือเชื่อพลางถามเขาว่า “แล้วสิ่งที่ฉันทำมาทั้งหมดมันไม่มีค่าในสายตาของคุณเลยเหรอ?”
เขาไม่ได้ตอบคำถามของเธอ เพียงแต่ฉีกยิ้มเยาะเย้ยให้เป็นคำตอบที่ดีที่สุด
ปลายนิ้วของนพเก้ากระชับแน่นขึ้น เล็บที่ทั้งยาวทั้งแหลมคมของเธอแทบจะเจาะลึกเข้าไปในเนื้อหนังข้อมือเขา เธอหัวเราะอย่างขมขื่นแววตาเต็มไปด้วยความร้ายกาจ
เธอยิ่งคิดก็ยิ่งไม่พอใจจนแทบอยากจะฟันแทงญาธิดาเป็นร้อยเป็นพันแผล ตอนนี้นางผู้หญิงชั้นต่ำนั่นได้ทุกอย่างที่ควรจะเป็นของเธอ!
โชคดีที่เธอไม่ได้ลงมือ โชคดีที่เธอไม่ได้ช่วยญาธิดาจริง ไม่อย่างนั้นศึกครั้งนี้เธอต้องพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวชแค่ไหน นางผู้หญิงชั้นต่ำนั่นสามารถเหยียบเธอจมดินได้โดยไม่ต้องขยับหรือทำอะไรเลยแม้แต่น้อย
ภวินท์หมดความอดทน เมื่อไม่เห็นว่ามีข่าวใหม่อะไรเขาก็ปัดมือของเธอออกอย่างรังเกียจ
นพเก้ากรีดร้องกับการกระทำของเขา ข้อเท้าของเธอพลิกก่อนจะเอนตัวซบอกของภวินท์ ปลายรองเท้าส้นสูงของเธอเหยียบเข้าที่หลังรองเท้าของเขา ยังไม่ทันที่เขาจะได้ผลักเธอออก ร่างกายเย้ายวนของเธอก็ผลักเขาล้มลงบนเตียงเสียแล้ว
เข็มวินาทีบนหน้าปัดนาฬิกาบนผนังเคลื่อนไปอย่างช้า ๆ เข็มนาฬิกาทั้งสามเคลื่อนมาหยุดอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน
ติ๊ก——
ประตูห้องถูกเปิดออกอย่างแรง ญาธิดากับนิธิศปรากฏตัวที่หน้าประตูห้อง ในเวลานี้แววตาของเธอเต็มไปด้วยความตกตะลึงมองตรงไปยังสองคนที่นอนอยู่บนเตียง
ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอม หญิงสาวในอ้อมแขนของภวินท์ยังนุ่งน้อยห่มน้อย ท่าทางที่ยากจะบรรยายของทั้งสองคนกระตุ้นประสาทสัมผัสอันละเอียดอ่อนของเธอ
นพเก้าพลิกตัวลุกจากตัวของภวินท์โดยสัญชาตญาณ แสร้งทำเป็นตื่นตระหนกจัดแจงกระโปรงสั้นจนถึงโคนขาของตัวเอง ก่อนจะรีบอธิบายอย่างรีบร้อนว่า “ธิดา เธอฟังฉันอธิบายก่อนนะ มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิด ฉัน…”
ขณะที่เธอกำลังพูด สายตาก็เหลือบมองไปที่นิธิศที่ยืนอยู่ข้างญาธิดา “คุณนิด หรือว่าคุณ…”
นพเก้ามองทั้งสองคนอย่างพิจารณาก่อนจะหันไปมองภวินท์อย่างตกใจอยู่นาน ก่อนจะบีบคำพูดออกจากลำคอตัวเองว่า “พวกคุณสองคนทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ด้วยกัน?”
“ประโยคนี้ฉันควรจะถามเธอมากกว่ามั้งคุณเก้า?”
น้ำเสียงของญาธิดาดังขึ้น แต่สายตากลับเอาแต่จ้องมองไปที่ภวินท์ ก่อนที่สุดท้ายจะหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา “พวกคุณสองคนมาทำอะไรที่นี่?”
“ธิดา วินกับฉันมีธุระสำคัญต้องคุยกัน แต่คิดไม่ถึงว่าเธอกับคุณนิดจะมาเปิดห้องที่นี่เหมือนกัน มันก็แค่เรื่องเข้าใจผิด”
เพี๊ยะ——
นพเก้าพูดยังไม่ทันจบฝ่ามือของญาธิดาก็ฟาดลงบนใบหน้าของเธอทันที
ใบหน้าของเธอมึนชาจนไร้ความรู้สึก ได้แต่เหลือบมองใบหน้าที่ปูดบวมขึ้นของตัวเองผ่านหางตาเท่านั้น
“ญาธิดา แกกล้าตบฉันเหรอ?!” เธอตวาดด้วยความโกรธ
เธอเพิ่งจะพูดจบฝ่ามือที่สองก็ฟาดลงบนใบหน้าของเธออีกครั้ง
ญาธิดาหยิบทิชชูที่อยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาเช็ดมือด้วยท่าทางรังเกียจ สายตาประสานเข้ากับสายตาที่เต็มไปด้วยไฟโกรธของนพเก้า
เธอกระตุกมุมปากยิ้มเยาะเย้ยพลางถามกลับไปว่า “ตบเธอแล้วจะทำไม? จะตบเธอต้องรวบรวมความกล้าก่อนหรือไง?”
นพเก้ามองท่าทางที่เปลี่ยนไปของเธออย่างทำอะไรไม่ถูก
เธอคิดมาตลอดว่าญาธิดาเอาแต่พึ่งภวินท์ เป็นแค่จิ้งจอกที่แอบอ้างบารมีเสืออยู่ข้างนอกไปวัน ๆ แต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะกล้าระเบิดอารมณ์ในสถานการณ์แบบนี้ได้
ญาธิดาก้าวเข้าไปข้างหน้าอย่างคนไร้สติ หรี่ตามองอย่างเหยียดหยาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและเย็นชาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“ตบแรกสำหรับที่เธอยั่วยวนผู้ชายที่มีภรรยาแล้ว เพราะเธอเป็นเมียน้อยที่ถูกกดอยู่บนเตียง ส่วนฉันเป็นเมียหลวงที่เปิดประตูเข้ามาจับชู้”
“ตบครั้งที่สองสำหรับที่เธอใส่ร้ายว่าฉันมาเปิดห้องกับผู้ชายคนอื่น ถึงแม้ว่าบัตรประชาชนที่ใช้เปิดห้องจะไม่ใช่ของเธอแต่มันก็สืบได้ไม่ยากว่าเจ้าของบัตรประชาชนที่อยู่เบื้องหลังเป็นใคร”
นพเก้าขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
เธอดวงตาแดงก่ำมองแล้วพูดกับภวินท์ราวกับเป็นฝ่ายถูกกล่าวหา “วิน ทำไมพวกเราถึงมาอยู่ที่นี่คุณก็รู้ดีอยู่แล้ว นี่คุณจะปล่อยให้ธิดาใส่ร้ายฉันแบบนี้หรือไง?”
ฉากตรงหน้ายิ่งบีบเคล้นหัวใจของญาธิดายิ่งกว่าเดิม เธออยากจะให้ภวินท์ลุกขึ้นมาอธิบาย แทนที่จะทำตัวสูงส่งเหมือนไม่มีอะไรเกี่ยวกับเขา ราวกับว่าคนที่หาเรื่องอย่างไร้เหตุผลเป็นเธอ
เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างทนไม่ไหวว่า “ธุระคุยจบหรือยัง?”
“อืม” เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยสายตาเหมือนกำลังพินิจพิเคราะห์
เมื่อได้ยินแบบนั้นเธอก็ฝืนยิ้มออกมา แล้วเอื้อมมือไปหาเขา “ถ้าอย่างนั้นเรากลับบ้านกันเถอะ…”
ภวินท์ลุกขึ้นด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย พลางค่อย ๆ เบี่ยงตัวหลบมือที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศของเธอเดินออกไปจากห้อง ความมุ่งมั่นในแววตาของเธอหนักแน่นขึ้น ในขณะที่เดินตามเขาออกไปจากห้องเธอได้กดส่งข้อความหนึ่งไปหาอัญมณี
ทั้งสองนั่งรถส่วนตัวคันเดิมกลับมาถึงที่บ้านพัก ระหว่างทางไม่มีใครคิดจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดก่อน แถมบรรยากาศยังอบอวลไปด้วยความเยือกเย็นที่สามารถทำให้คนหนาวจนปากสั่น
จนกระทั่งประตูห้องหนังสือถูกเปิดออกแล้วปิดลงอีกครั้ง ญาธิดาถึงค่อย ๆ เอ่ยปากพูดขึ้นว่า “คุณไม่คิดจะอธิบายอะไรหน่อยเหรอ?”
“ไม่จำเป็น” เขาตอบอย่างเฉยเมย “พื้นฐานของการอยู่ร่วมกันของคนสองคนคือการไว้วางใจซึ่งกันและกัน”
ตอนนี้มีหลายเรื่องที่ยังไม่ถึงเวลาเปิดเผย ถ้าเธอฉลาดมากพอก็คงจะไม่ก้าวเข้าไปตกหลุมพรางของคนอื่นในตอนนี้
เขาต้องการสืบหาความจริง ไม่ใช่แค่นิธิศคนเดียวเท่านั้น ยังงมี…
แววตาของภวินท์เผยความน่ากลัวขึ้นมาแวบหนึ่ง
“เชื่อใจกัน?”
ญาธิดาหัวเราะด้วยความโกรธมองตรงไปที่เขาแล้วถามขึ้นว่า “ฉันเห็นคุณกับนพเก้านอนอยู่บนเตียงเดียวกัน แต่คุณกลับกล้าบอกว่าให้เชื่อใจกัน ภวินท์ คุณไม่คิดว่าคำคำนี้มันฟังดูเพราะจนน่าขำบ้างเหรอ?”
เธอพูดพลางทุบหน้าอกของเขาอย่างแรงราวกับว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะสามารถระบายความอึดอัดในใจของเธอได้
ภวินท์แววตามืดมน รีบคว้าข้อมือของเธอไว้ และเอ่ยปากเตือนอย่างน้ำเสียงเย็นชาว่า “อย่าโวยวายไร้เหตุผล!”