ดวงใจภวินท์ - บทที่ 854 ความหมายของคำว่าพ่อ
บทที่ 854 ความหมายของคำว่าพ่อ
เพิ่งจะเดินไปข้างหน้าได้แค่ไม่กี่ก้าวจู่ ๆ เธอก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างแปลก ๆ ขณะที่เธอชะงักฝีเท้าก็เหลือบมองตรงไปข้างหน้าก่อนจะสบสายตาเข้ากับสายตาของคนตรงข้าม
นัยน์ตากลมโตของเอลล่าเต็มไปด้วยความหมายมากมายและกำลังจ้องมองท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ของเธอด้วยความสงสัย “แม่คะ ทำไมแม่ถึงออกมาจากห้องของคุณลุงล่ะคะ?”
ญาธิดาพูดไม่ออก ไม่รู้จะตอบยังไง ตอนนี้เธอแทบอยากจะมุดแทรกไปตามพื้น เรื่องนี้ไม่ว่าถูกใครรู้เข้าก็ไม่เป็นผลดีทั้งนั้น แถมทำไมต้องเป็นเอลล่าด้วยเนี่ย
แถมเมื่อไม่กี่วันก่อนเธอเพิ่งจะกำชับลูกสาวของเธอว่าอย่าเข้าใกล้ภวินท์คนที่มีแผนการชั่วร้ายคนนี้เด็ดขาด แต่มาวันนี้ดันมาถูกเอลล่าจับได้แบบนี้ แล้วต่อไปจะวางท่าต่อหน้าเอลล่ายังไงล่ะเนี่ย
ญาธิดามัวแต่ครุ่นคิดอยู่คนเดียว กระทั่งภวินท์ออกมายืนแทรกระหว่างพวกเธอสองคนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ตัว
“เพราะว่าเมื่อคืนคุณแม่คงจะเหนื่อยมากเกินไป ก็เลยนอนพักในห้องรับรองแขก ส่วนลุงนอนบนโซฟาข้างนอก”
ภวินท์ลูบหัวของเอลล่าอย่างสนิทสนม พลางอธิบายให้ฟังอย่างใจเย็น คนตัวใหญ่กับคนตัวเล็กสองคนยืนอยู่ด้วยกันแบบนี้ให้ความรู้สึกเหมือนคุณพ่อแสนอบอุ่นกับลูกสาวผู้ว่านอนสอนง่าย
แต่ในเวลานี้ใบหน้าของญาธิดาร้อนผ่าวและไม่มีกระจิตกระใจมาชื่นชมภาพตรงหน้า คิดแต่อยากจะไล่ภวินท์ออกไปจากบ้าน โดยเฉพาะตอนนี้ที่เขาเน้นย้ำคำว่า “เหนื่อยเกินไป” สามคำนี้ออกมา
“อ๋อ…” เอลล่าไม่สงสัยอะไรในตัวเขาและพยักหน้าตามอย่างเชื่อฟัง “เดี๋ยวคืนนี้หนูให้ป้าจันทร์ช่วยจัดห้องนอนให้อีกหนึ่งห้องนะคะ เอาแต่นอนโซฟามันไม่ดีต่อกระดูกสันหลัง”
เมื่อญาธิดาได้ยินแบบนั้นใบหน้าของเธอก็ทั้งโกรธทั้งเขินอายมากขึ้นกว่าเดิม แถมยังแอบบ่นเอลล่าในใจว่าเอาแต่คอยช่วยคนนอกไม่สนใจคนในครอบครัวบ้างเลย
ทั้งสองคนไม่มีท่าทีว่าจะสนใจเธอเลย เอลล่าจูงมือของภวินท์เดินไปนั่งที่โต๊ะอาหาร วันนี้ป้าจันทร์ตั้งใจทำอาหารที่เมื่อก่อนเขาชื่นชอบมาให้เป็นพิเศษ
อาหารมื้อนี้ภวินท์ทานอย่างเต็มอิ่ม ใบหน้าของเอลล่าก็ประดับไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
เธอทำหน้าภาคภูมิใจเหมือนกำลังขอรางวัลจากเขา “อาหารเช้าวันนี้หนูให้ป้าจันทร์จัดเตรียมเป็นพิเศษเลย ทั้งหมดนี้เป็นอาหารที่เมื่อก่อนคุณพ่อชอบทานทั้งนั้นเลย”
“รสนิยมของพ่อหนูเหมือนฉันมากเลย…” ภวินท์เสียงแผ่วคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
เอลล่าพยักหน้าเห็นด้วย “บางทีคุณลุงอาจจะเป็นพ่อของหนูก็ได้”
ญาธิดาที่เดินเข้าห้องอาหารบังเอิญได้ยินประโยคนี้เข้าพอดีทำเอาอารมณ์ที่เพิ่งจะสงบลงเดือดปุด ๆ ขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะดุเอลล่าอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เอลล่าอย่าพูดอะไรเหลวไหล คุณลุงเขามีแฟนแล้ว”
ตอนนี้เขาอยู่ฝ่ายเดียวกับนพเก้า นี่เป็นความจริงที่โต้แย้งไม่ได้
เมื่อเอลล่าได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่เบ้ปากและหยุดพูด บนใบหน้าเยาว์วัยเผยสีหน้าเศร้าสร้อยขึ้นมาเล็กน้อย ซึ่งมันทำให้ญาธิดายิ่งอึดอัดใจมากขึ้นกว่าเดิม
ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว…
ญาธิดาขมวดคิ้วแน่นและไม่ได้พูดอะไรอีก ความหม่นหมองในแววตาของเธอยังคงไม่จางหายไปไหน
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จภวินท์ก็จูงมือเอลล่าเดินจากไปอย่างสนิทสนม ยิ่งเธอเห็นแบบนั้นก็ยิ่งไม่สบายใจ ได้แต่เฝ้าจับตาดูทั้งสองคนอย่างไม่คลาดสายตา
เมื่อภวินท์เห็นแบบนั้นก็ได้แต่กระตุกมุมปากยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาเล็กน้อย “นี่คุณกลัวว่าผมจะขโมยตัวลูกในที่สาธารณะแบบนี้เหรอ?”
ญาธิดากลอกตาขาวใส่เขาอย่างอดไม่ได้ “ฉันกลัวว่าคุณจะลักพาตัวลูกของฉันไปอย่างโจ่งแจ้ง”
“ถ้าอย่างงั้นก็จับตาดูไว้ให้ดีล่ะ…”
หลังจากภวินท์พูดจบ เขาก็อุ้มเอลล่าเดินตรงไปทางห้องของเล่นเด็ก เมื่อคืนเขาสัญญากับเอลล่าไว้ว่าจะสอนวิชาวัฒนธรรมให้เธอ ด้านญาธิดาก็รีบเดินตามไปด้วยเช่นกัน
ไม่นานก็มีเสียงหัวเราะคิกคักของเอลล่าดังออกมาจากข้างในห้อง ทำเอาญาธิดาต้องตะโกนร้องออกมาด้วยความโมโห
ไม่กี่วันต่อมา ภวินท์ยังคงอ้างเหตุผลต่าง ๆ นานาในการอยู่กินในบ้านพักต่อไม่ยอมกลับไป เอลล่าก็กลายเป็นลูกศิษย์คอยติดตามเขาไปทุกที่ วัน ๆ เอาแต่เดินตามเขาและถามคำถามแปลก ๆ
แสงตะวันสาดส่องผ่านม่านตรงริมระเบียง เอลล่ากำลังศึกษาความรู้เกี่ยวกับดาราศาสตร์อยู่ในอ้อนแขนของเขา ภวินท์ตอบคำถามเธออย่างคล่องแคล่วทำเอาเธอต้องตกตะลึงอีกครั้งและยิ่งชื่นชมชื่นชอบคุณลุงคนนี้มากขึ้นไปอีก
“ลุงมีเครื่องมือดูดาวที่ทางสถาบันดาราศาสตร์ยุโรปประดิษฐ์ขึ้นมา ถ้าหนูอยากได้เดี๋ยวลุงจะให้คนส่งมาให้ที่นี่”
“จริงเหรอคะ?” เอลล่าตาเป็นประกาย แล้วจู่ ๆ ก็เหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ก่อนที่แววตาของเธอจะหม่นหมองและค่อย ๆ หรี่ลงเล็กน้อย “คุณแม่บอกว่ารับของของคนอื่นไม่ดีค่ะ ถ้าคุณลุงเป็นพ่อของหนูจริง ๆ ก็คงจะดี”
ฉับ——
ญาธิดามือสั่นทำให้ไม้กระถางที่กำลังตัดแต่งอยู่ดี ๆ ตัดแหว่งหายไปหนึ่งกิ่ง
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าในระยะเวลาสั้น ๆ เอลล่าจะติดภวินท์มากขนาดนี้ ถ้าปล่อยให้เวลานานไปกว่านี้เอไม่อยากจะคิดผลที่จะตามมาเลย
จะให้ภวินท์อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ ด้วยความสามารถในการล้างสมองคนของเขา อีกไม่นานลูกสาวของเธอจะต้องแตกหักกับเธอแน่!
เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองไปทางภวินท์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คุณภวินท์คิดจะอยู่ที่นี่ไปถึงเมื่อไหร่คะ ตอนนี้คุณกำลังส่งผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัวของครอบครัวดิฉันอย่างมากนะคะ”
“ผมกะจะอยู่จนถึงวันที่คุณยอมตกลงเซ็นสัญญา” ภวินท์ตอบอย่างใจเย็น
“ถ้าอย่างนั้นก็หวังว่าคุณจะสามารถทนอยู่ได้นานถึงขนาดนั้นก็แล้วกันค่ะ!”
ญาธิดากัดฟันพูดก่อนจะรีบโบกมือเรียกป้าจันทร์ให้มาหา “สั่งคนไปทำความสะอาดบ้านพักที่เซาท์เบย์ ฉันกับคุณหนูจะย้ายไปอยู่ที่นั่นก่อนค่ำวันนี้”
บ้านพักที่เซาท์เบย์ เป็นของขวัญวันเกิดที่เธอเตรียมให้อันอันเมื่อปีที่แล้ว แต่อันอันกับพายุพักอยู่ที่นอกเมืองตลอดดังนั้นบ้านพักหลังนั้นจึงยังว่างเปล่าไม่ได้ใช้งาน
สีหน้าของป้าจันทร์ดูลำบากใจเล็กน้อย “คุณผู้หญิงคะ บ้านพักที่เซาท์เบย์มีแต่เฟอร์นิเจอร์ธรรมดา ๆ ทั้งแม่ครัวและคนรับใช้ก็ยังไม่ได้จัดสรรเข้าไปเลยค่ะ แล้วนี่…”
“เตรียมแค่ของใช้ในชีวิตประจำวันกับอาหารก็พอค่ะ ฉันดูแลเอลล่าได้ เรื่องนี้ป้าไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ” น้ำเสียงของเธอแน่วแน่มาก เห็นได้ชัดว่าเธอตัดสินใจจะย้ายออกไปจริง ๆ
เอลล่าเพิ่งจะรู้สึกได้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปทำเอาหัวใจของเธอกระตุกเต้นแรงขึ้นมาทันที
บ้านพักที่เซาท์เบย์กับบ้านพักตระกูลสถิรานนท์แตกต่างกัน บ้านพักตระกูลสถิรานนท์เป็นบ้านหลังเดี่ยว แต่เซาท์เบย์เป็นพื้นที่วิลล่าระดับไฮเอนด์
ที่นั่นไม่เพียงแต่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมืออาชีพคอยดูแลอย่างหนาแน่นเท่านั้น แถมยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการรักษาความปลอดภัยหลายประเภท ทันทีที่เธอย้ายไปอยู่ที่นั่น เธอก็จะไม่สามารถส่งข้อมูลตำแหน่งให้คุณลุงได้อีก
เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอก็รีบกอดแขนภวินท์ไว้แน่นและเอ่ยปากปฏิเสธทันที “หนูไม่อยากย้ายไปที่นั่น!!!”
เมื่อญาธิดาได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ แต่เย็นชากับเธอว่า “เอลล่า แม่ไม่ได้ขอความคิดเห็นของลูกในเรื่องนี้ แต่แค่บอกและลูกต้องไปกับแม่เท่านั้น”
เอลล่ารู้ว่าเรื่องนี้ไม่มีโอกาสให้เจรจาได้อีกแล้ว…
บรรยากศโดยรอบนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน ก่อนที่เธอจะก้มศีรษะลงอย่างจำยอม น้ำตาไหลอาบแก้มโดยไม่รู้ตัวก่อนจะสะอึกสะอื้นพร่ำบ่นขึ้นว่า “หนูไม่ใช่ไม่อยากแยกกับคุณลุง แต่หนูไม่อยากแยกกับคุณพ่อ เขาไม่ได้อยู่กับหนูแบบนี้นานมากแล้ว…”
เมื่อเห็นใบหน้าเยาว์วัยเต็มไปด้วยความผิดหวัง หัวใจของญาธิดาเหมือนโดนบีบแน่น ความเจ็บปวดนี้แผ่ซ่านไปทั่วแขนขาและกระดูกทั่วร่างของเธอทำเอาเธอรู้สึกหมดเรี่ยวแรง
ช่วงที่ผ่านมาเธอคิดมาตลอดว่าขอเพียงแค่เธอให้ความรักกับลูกทั้งสองคนมากเพียงพอ เธอก้สามารถทำให้ลูก ๆ มีวัยเด็กที่สมบูรณ์ได้ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะลืมไปว่าบทบาทของความเป็นพ่อเป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถแทนที่ได้
ต่อให้ทำได้ดีแค่ไหน ก็ไม่สามารถแทนที่คำนิยามของคำว่า “พ่อ” ได้เลย
หากว่าตามคำนิยามเธอไม่ใช่แม่ที่ดีเลยด้วยซ้ำ…