ดวงใจภวินท์ - บทที่515 ตายแล้วจริงหรอ
บทที่515 ตายแล้วจริงหรอ?
ภูผาไม่นึกว่าเธอจะถามออกมาตรงขนาดนี้ เขานิ่งอยู่สักพัก จากนั้นก็ควงปากการุ่นลิมิเต็ดในมือเล่น แล้วตอบด้วยท่าทางที่ผ่อนคลาย “คุณญาธิดามาหาผมถึงที่นี่ เพื่อที่จะถามเรื่องแค่นี้หรือครับ?”
สีหน้าของญาธิดาแย่ลง แล้วจ้องมองท่าทางเขาอย่างไม่กะพริบตา เธอหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดอย่างหนักแน่นว่า “สถานการณ์ของภวินท์ คุณที่เป็นน้องชายน่าจะรู้ดีกว่าสิ ฉันเชื่อข่าวบนโซเชียลพวกนั้น ก็เลยมาถามคุณโดยตรงไงคะ”
ได้ยินแบบนั้น ภูผาก็หัวเราะออกมา เขาส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วตอบเสียงเบาว่า “คุณมองผมผิดไปจริงๆ ด้วย คุณใช่ว่าจะไม่รู้สักหน่อย ความสัมพันธ์ของผมกับพี่ใหญ่ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ข่าวพวกนั้นที่คุณเห็นบนโซเชียลคือความจริง”
ญาธิดาที่เห็นเขาทิฐิสูง ไม่ยอมพูดความจริงเสียที ก็พอจะเข้าใจแล้ว เธอยิ้มมุมปาก พูดด้วยเสียงเย็นชา “ถ้าอยางนั้นในใจของคุณคงมีความสุขมากสินะ?”
ทันใดนั้น สีหน้าของภูผาก็หม่นหมองลง เขาจ้องมองไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม แสงอันเย็นเฉียบฉายขึ้นในแววตาของเขา
หลังจากนั้น เขาได้เอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “งานศพพี่ใหญ่เพิ่งจัดไปเมื่อไม่นานนี้ คุณมาพูดแบบนี้ต่อหน้าผม ไม่ค่อยดีมั้งครับ?”
“หรือคะ?”
ญาธิดาหัวเราะอย่างไม่สนใจ เธอมองผู้ชายตรงหน้าที่เปลี่ยนสีหน้าไปหลายครั้งในเวลาอันสั้น ในใจของเธอเหมือนยิ่งมั่นใจในสิ่งที่เธอสันนิษฐานเอาไว้
บทสนทนาแค่ไม่กี่ประโยค เธอก็มองออกเลยว่าภูผาไม่ใช่ตัวละครที่ธรรมดา ถึงแม้จะเป็นคนอื่น ก็ไม่มีวิธีที่ได้รับข่าวที่มีประโยชน์จากปากของเขาหรอก
เธอเมินสีหน้าที่เย็นชาเล็กน้อยของชายหนุ่ม ก่อนจะลุกขึ้นยืนเอง โค้งตัวไปทางเขาเล็กน้อย ก่อนจะพูดเสียงต่ำกับเขาว่า “ขอโทษนะคะ ที่มารบกวน”
พูดจบ ไม่รอให้ภูผาได้พูดอะไรต่อ เธอหันหลัง แล้วเดินก้าวไปยังประตูอย่างไม่สนใจอะไร
ผู้ชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มองตามหลังของเธอที่เดนออกไป แสงมืดมนเผยขึ้นในตาของเขา
เพียงไม่นาน
ก็มีคนเคาะประตู ตามด้วย ครามที่ผลักประตูแล้วเดินเข้ามา เขาก้าวเข้ามาพร้อมรายงานสถานการณ์
“คุณภุผาครับ ญาธิดากลับไปแล้วครับ”
ได้ยินชื่อนี้ ภูผาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เขายังรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่สำคัญ เธอเป็นแค่หนึ่งในหมากรุกที่จะเล่นงานภวินท์ก็เท่านั้น
แต่ว่าเมื่อสักครู่ เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเธอมาเชิงเตือนเขา พร้อมกับน้ำเสียงที่เหมือนกำลังหลอกถามเขา
เขาไม่เคยเห็นเธอเป็นศัตรูของเขา
นี่มันอันตรายมาก
เขาก็แค่อยากจะจู่โจมไปทางภวินท์แค่คนเดียว เขาไม่อยากจะเสียเวลาไปกับเรื่องอื่น แต่เห็นได้ชัดว่า
ตอนนี้ญาธิดากลับกลายเป็นก้างที่ขวางเขา
ไม่รอให้เขาได้เรียกสติกลับมา ครามที่อยู่ด้านข้างพูดต่อ “เมื่อสักครู่ก่อนที่จะญาธิดากลับไป เธอมาผมเรื่องสุสานที่ฝังร่างของภวินท์ด้วยครับ”
หัวคิ้วของภูผากระตุก “นายบอกเธอไปหรือเปล่า?”
“บอกครับ”
ครามอธิบาย “เรื่องนี้ไม่ได้เป็นความลับ ไม่ว่าจะดูข่าวหรือถามนักข่าวสุดท้ายเธอก็รู้อยู่ดีครับ
ผมเกรงว่าการที่ไม่บอกเธอจะยิ่งทำให้เธอสงสัย ก็เลยบอกเธอไปครับ”
ภูผาพยักหน้าเล็กน้อย แล้วพูดด้วยเสียงที่ต่ำ “ไม่เป็นไร ไม่สำคัญ”
ครามชะงัก ก่อนจะรีบถามต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นต้องส่งคนไปจับตามองเธอไหมครับ?”
ภูผาตอบอย่างไม่ลังเลว่า “จับตามองไว้”
จนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่เจอร่างของภวินท์
ยังไม่สามารถมั่นใจได้ไว้เขานั้นได้ตายไปแล้ว เพราะฉะนั้นในนาทีสุดท้ายนี้
เขาต้องระมัดระวังตัว ห้ามผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว!
ส่วนญาธิดาผู้หญิงคนนี้ ถึงเธอจะฉลาด แต่ท้ายที่สุดเธอก็ไม่มีทางเป็นศัตรูของเขา
พอคิดได้แบบนี้ หัวใจที่รัดแน่นของภูผาค่อยผ่อนคลายขึ้นมาหน่อย จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานขึ้นมากดคีย์ลัด ประกาศให้ทุกแผนกในบริษัทเข้าประชุม
หลังจากที่ญาธิดาออกจากSTN Group ได้โบกรถแท็กซี่คันหนึ่ง ไปยังสุสานเขตชานเมืองของเมือง
สุสานนี้อยู่ใกล้เมือง J ฮวงจุ้ยถือว่าดีมาก สุสานด้านในนั้นราคาสูงเป็นอย่างมาก คนฐานะปกติไม่มีทางซื้อได้แน่นอน
J
ญาธิดาค้นข่าวอ่านอีกรอบ เธอเจอข่าวที่มีชาวเน็ตบางคนที่เชยชมงานศพอันยิ่งใหญ่ที่ภูผาจัดให้กับภวินท์ ชมว่าเขาได้ทำหน้าที่คุณชายรองตระกูลสถิรานนท์ได้ดีแล้ว
ตอนนี้ญาธิดาคิดดูแล้ว รู้สึกว่ามันตลกสิ้นดี
พอเธอขึ้นรถแท็กซี่ ก็มองเส้นทางที่ไปยังเขตชานเมือง ไม่รู้ทำไม เธอถึงได้รู้สึกหนาวเหน็บในใจ
เธอนึกถึงคำพูดเมื่อสักครู่ที่ภูผาประธานSTNพูดออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในใจรู้สึกระแวงอย่างบอกไม่ถูก
ถึงแม้เธอจะดูออกว่าภูผากำลังโกหก แต่ในความนิ่งเฉยทิฐิสูงละมั่นใจในตัวเองนั้น
กลับให้เธอรู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก
จนกระทั่งวันนี้ที่ภูผานั่งอยู่บนที่นั่งประธานSTNอย่างมั่นคง ราวกับว่าเขาไม่มีอะไรให้กังวลเลย ถ้าหากภวินท์ไม่ตายล่ะก็ เขาคงไม่มีทางแสดงท่าทีแบบนี้หรอก
ถ้าเขาไม่ได้ฆ่าภวินท์จริงๆ เขาคงกุมด้านอ่อนแอของภวินท์ไว้แน่นอน เขาถึงได้ควบคุมอิสระของภวินท์เอาไว้ได้
พอคิดแบบนี้แล้ว ญาธิดารู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาทันที ยิ่งรถขับไปใกล้สุสาน เธอก็ยิ่งรู้สึกกังวล
ถ้าภวินท์เกิดอุบัติเหตุขึ้นจริง……
ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของเธอ
ตามด้วย ความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาในใจของเธอ ทำให้น้ำตาไหลลงมาอย่างไม่มีสาเหตุ
และมันยากที่จะกลั้นเอาไว้ได้
เพียงไม่กี่วินาที
เธอสูดหายใจเข้า แล้วทำใจให้สงบ
เธอก็รู้สึกตัว เธอยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตรงหางตา
ทำไมเธอถึงได้คิดมากกันนะ? ก่อนหน้านี้เธอยังเกลียดภวินท์ออกนอกหน้าอยู่เลย
แต่ตอนนี้
พอรู้ว่าอาจจะเกิดเรื่องกับเขาจริงๆ เธอกลับรู้สึกเจ็บปวดเสียงั้น
เป็นเพราะเขาคือพ่อแท้ๆ ของอีธานกับเอลล่าหรอ? เธอถึงได้คิดมากขนาดนี้ ถึงได้กังวลมากขนาดนี้
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที
เธอก็มั่นใจกับตัวเอง เหมือนกับสะกดจิตตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ จัดการความรู้สึกที่ซับซ้อนของตัวเองเมื่อสักครู่ ภาระในใจก็ค่อยๆ
เบาลง
“คุณไปไหว้ญาติที่สุสานคนเดียวหรอครับ”
อาจจะเป็นเพราะระยะทางที่ไกลกับบรรยากาศในรถที่ค่อนข้างน่าเบื่อ คนขับรถจึงชวนเธอคุย และมองเธอจะกระจกมองหลัง
ญาธิดาได้ยิน ก็ตอบเสียงเบา ถือเป็นการยอมรับ
“เห้อ!” ลุงคนขับรถเหลือบมองเธอ พอเห็นเธออารมณ์ไม่ค่อยดี ก็ถอนหายใจออกมา พร้อมพูดเสียงเบา “คนเราเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว สาวน้อย มองโลกในแง่บวกหน่อยสิ”
พอได้ยินคำสอนของลุงคนขับรถ ญาธิดาไม่ได้พูดอะไรตอบ จนกระทั่งตอนที่ใกล้จะถึงสุสาน ลุงขับรถก็ถอนหายใจออกมา “สุสานตรงนี้หน่ะ แพงกว่าทองคำอีกนะ!”
ญาธิดาชะงัก เธอลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยปากถามว่า “คุณลุงรู้ไหมคะว่าสุสานที่นี่ราคาเท่าไหร่?”
ลุงขับรถหัวเราะพร้อมกับพยักหน้า ก่อนจะยื่นมือออกมาชูนิ้ว “ต้องเลขหลักนี้!”
พอญาธิดาเห็นจำนวน ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เดิมทีเธอไม่รู้ราคา รู้แค่ว่าที่นี่แพงมาก แต่ไม่คิดว่า ราคาจริงจะแพงกว่าที่เธอคิดไว้
ระหว่างที่คุยกัน พวกเธอก็ได้มาถึงจุดหมาย ลุงคนขับรถจอดอยู่หน้าประตูของสุสาน หลังจากที่ญาธิดาจ่ายเงินแล้วพูดขอบคุณ ก็เปิดประตูแล้วเดินออกจากรถ
เมื่อมาถึงหน้าประตูสุสาน เธอยืนมองประตูใหญ่ แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ ให้กำลังใจตัวเอง แล้วเดินเข้าไป
เมื่อมาถึงสุสาน สิ่งแรกที่ต้องทำคือกรอกข้อมูลส่วนตัว หลังจากที่เธอกรอกเสร็จ ก็หยิบดอกเบญจมาศสีขาวด้านข้างขึ้น แล้วเดินตรงเข้าไปด้านใน
ไม่รู้ทำไม หลังจากที่เธอเดินเข้ามาในสุสาน อยู่ๆ เธอก็มีความรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา ในหัวของเธอปรากฏภาพที่ภวินท์ได้ตายไปแล้วจริงๆ ใจของเธอรู้สึกเหมือนกับว่ามีของแหลมคมบาด เข้ามา มันยากที่จะทนได้