ดวงใจภวินท์ - บทที่530 ขึ้นไปหาเบาะแสบนภูเขา
บทที่530 ขึ้นไปหาเบาะแสบนภูเขา
ก่อนหน้านี้ เขาคิดว่าอุบัติเหตุทางรถยนต์ของอัญมณีจะทำให้เธอหันมาสนใจเรื่องของพวกเขามากขึ้น เขานึกว่าหลังจากผ่านเรื่องนี้ไปแล้วญาธิดาจะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของภวินท์ และผิดหวังในตัวภวินท์ เขานึกว่าเพื่ออีธานกับเอลล่าแล้ว สุดท้ายเธอจะเลือกอยู่ข้างเขา
แต่ตอนนี้พอมาดูแล้ว ดูท่าทางภวินท์ยังจะสามารถส่งผลกระทบต่อหัวใจของเธอได้อย่างง่ายดาย ทำให้เธอสามารถปล่อยอัญมณีที่รักษาตัวอยู่ที่ต่างประเทศไว้ได้อย่างไม่ลังเล และตัวเองก็กลับมาตามหาร่องรอยของเขา
ภวินท์สำหรับในใจเธอขนาดไหนกัน? ธีทัตเริ่มไม่ค่อยกล้าคาดเดาแล้ว
แต่ว่า แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยยอมใครง่ายๆ อยู่แล้ว ในเมื่อเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่มีทางปล่อยให้ผู้หญิงที่ตัวเองรักมากที่สุดจากไปต่อหน้าต่อตาได้หรอก!
“คุณธีทัต ยังจะตามอยู่ไหมครับ?”
เสียงของคนขับรถดังขึ้น ธีทัตก็ดึงสติกลับมา เขาเงยหน้าขึ้นมาและมองไปยังรถคันนั้นที่มุ่งตรงไปข้างหน้า นึกไม่ถึงว่า รถจะแล่นไปยังทางหลวงของเมือง J ถ้าเกิดว่าขึ้นทางหลวงแล้ว แน่นอนว่ารถคันนั้นมุ่งเป้าหมายไปที่วัดเขารามอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ตอนนี้ ต่อให้ไม่ตามไป ธีทัตก็แน่ใจว่าญาธิดาจะต้องมุ่งหน้าไปวัดเขารามอย่างแน่นอน และการที่เธอไปที่นั่น ก็เพื่อที่จะตามหาภวินท์100% หรือว่า ภวินท์จะซ่อนตัวอยู่ที่นั่น!
ธีทัตรู้สึกตกใจกับการคาดเดาของตัวเอง ไม่นานเขาก็กลับมาสงบลงอีกครั้ง แล้วก็พูดกับคนขับรถนิ่งๆ ว่า “ตามต่อไป”
พอพูดจบ เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรออก
ไม่นาน เสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นจากปลายสาย “คุณธีทัต มีอะไรจะสั่งเหรอครับ? ”
ธีทัตพูดด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยเหมือนเดิม “หมอก ฉันส่งตำแหน่งให้นาย นายรีบตามมาหาฉันหน่อย”
หมอกที่อยู่ปลายสายนั้นตอบตกลงโดยที่ไม่ลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วก็วางสายไป
ไม่รู้ว่าหมอกนั้นอยู่ใกล้แถวนี้รึเปล่า ไม่นานเท่าไหร่นัก เขาก็ขับรถตามมา ธีทัตไม่ได้ลงจากรถ ได้แต่โทรหาเขาและออกคำสั่งว่า “ตามรถSUVคันหน้าไป ต้องตามให้ชิดนะ แล้วก็รายงานตำแหน่งของพวกเขาให้ฉันรู้เป็นระยะๆ ”
แล้วก็เห็นว่ารถของหมอกขับเลยจากตรงหน้าของพวกเขาไป แล้วก็ตามติดอยู่หลังรถSUVคันนั้น แล้วธีทัตก็สั่งให้คนขับรถเลี้ยวกลับ
ถึงแม้ว่าคนขับรถจะรู้สึกสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมากมาย ได้แต่ทำตามที่เขาสั่ง
“คุณธีทัต พวกเราจะไปไหนกันดีครับ? ”
สายตาของธีทัตเต็มไปด้วยความซับซ้อน แล้วเขาก็ตอบมาว่า “กลับไปในเมือง ไปที่ STN Group”
การที่เขาบอกให้หมอกมาที่นี่ ก็เพราะว่าจะให้เขามาคอยตามพวกญาธิดาแทน ส่วนเขา ก็มีเรื่องสำคัญกว่าให้ต้องทำ
สำหรับอนาคตที่เขาตั้งตารอ เขาต้องการให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ในที่สุดพวกญาธิดาก็มาถึงตีนเขาเขาราม ครั้งนี้ พวกเขาจงใจอ้อมผ่านวัดวัดเขาราม แล้วก็ตรงขึ้นไปที่เขารามเลย
เพราะว่าเขารามเป็นสถานที่ห่างไกล ประกอบกับภูมิประเทศที่สูงชัน ภูเขาก็เต็มไปด้วยหินก้อนใหญ่ ไม่เขียวชอุ่มด้วยดอกไม้และต้นไม้เหมือนภูเขาอื่นๆ ในเมือง J จึงไม่มีนักลงทุนมาพัฒนามาพัฒนาหรือสร้างจุดชมวิว สถานที่แห่งนี้จึงเป็นแค่เพียงที่รกร้าง มีแต่ภูเขาที่แห้งแล้ง
ถึงแม้ว่าวันธรรมดาจะมีนักปีนเขามาท่องเที่ยว แต่ว่าพวกเขาก็จะไม่เลือกมาที่เขาราม ดังนั้นจึงไม่มีบันไดสำหรับนักท่องเที่ยวให้ปีนที่นี่เลย มีเพียงเส้นทางบนภูเขาบางส่วนที่คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้เหยียบย่ำเอาเท่านั้น
พอเป็นแบบนี้ ภูมิประเทศที่สูงชันทำให้การตามหาคนของพวกเขานั้นยิ่งยากขึ้นไปอีก
ญาธิดาสะพายกระเป๋าปีนเขาไว้บนหลัง แล้วก็เงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ในใจก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก เธอหันหน้าไปมองพี่เข้มกับพยัคฆ์ แล้วก็พูดเบาๆ ว่า “วันนี้อากาศไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เกรงว่าพวกเราต้องทำให้เร็วที่สุดแล้วล่ะ”
พี่เข้มกับพยัคฆ์เข้าใจในทันที หลังจากพยักหน้าให้เธอแล้ว ก็สั่งให้ลูกน้องคนอื่นๆ เตรียมข้าวของให้เรียบร้อย แล้วก็ตรงขึ้นภูเขาไปทันที
เพราะว่าพวกเขาเป็นผู้ชายกันทั้งหมด ร่างกายแข็งแรง กระฉับกระเฉง พอมาเทียบดูแล้ว ญาธิดาเป็นผู้หญิงคนเดียว ความแข็งแรงก็เลยแตกต่างจากพวกเขามาก เพื่อป้องกันไม่ให้เธอหลุดจากกลุ่ม พวกเขาก็เลยจัดแจงให้เธออยู่ตรงกลาง มีการปรับแถวตลอดเวลา และก็มีการหยุดพักระหว่างทางอีกด้วย
ปีนขึ้นจากทางเข้าสู่กลางภูเขา พี่เข้มก็หยุดและเริ่มแบ่งทีม “พวกนายสามคนรับผิดชอบไปตามหาทางทิศตะวันตก พวกนายไปทิศตะวันออก ฉันกับพยัคฆ์และธิดาจะตรงไปข้างหน้าต่อ เธอค้นหาทั่วภูเขาลูกนี้แล้วก็ค่อยมารวมตัวกันอีกครั้ง”
“ครับ”
หลังจากแบ่งกลุ่มเรียบร้อยแล้ว พี่เข้มก็สั่งต่อว่า “ต้องตามหาตามทางเดินบนภูเขานะ เพราะว่าเขารามค่อนข้างจะสูงชัน ถ้าเกิดว่าตอนนั้นพวกมันเอาคุณภวินท์มาโยนทิ้งที่นี่จริง ต้องเดินผ่านตามทางเดินอย่างแน่นอน”
ภูเขาแบบนี้ ถ้าเกิดว่าพวกมันพาตัวภวินท์มาด้วย ก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะเดินไปทางอื่นได้
การคาดคะเนนี้ ทำให้ขอบเขตการค้นหาของพวกเขาแคบลงมาก ตราบใดที่เดินตามทางเดินของภูเขา ก็จะกำหนดยืนยันได้อย่างแน่นอน
แต่เวลาผ่านไปเดือนกว่าๆ แถมมีฝนตกลงมาบ้าง ถึงแม้ว่าตอนนั้นจะมีคราบเลือดอยู่บนพื้นก็จริง แต่เกรงว่าตอนนี้มันจะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าอีกแล้ว
แต่ว่า ถ้าเกิดไม่ตามหา พวกเขาก็ไม่มีทางหาเบาะแสอะไรเจอหรอก!
ทุกคนเห็นด้วยว่าในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ พวกเขาจะโทรขอความช่วยเหลือผ่านเครื่องส่งรับวิทยุทันที และพวกเขาทั้งหมดติดตั้งระบบระบุพิกัดตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว โดยทั่วไปแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ญาธิดามองดูพี่เข้มออกคำสั่งอย่างชำนาญ ในใจก็รู้สึกสบายใจขึ้นไปเยอะเลย หลังจากที่ลูกน้องพวกนั้นแยกกันไปแล้ว เธอกับพี่เข้มและพยัคฆ์ก็เดินมุ่งหน้าขึ้นเขากันต่อไป ต้องเดินจากภูเขาฝั่งนี้ไปยันอีกฝั่งหนึ่งถึงจะถือว่าสำเร็จ
ถึงยังไงซะการปีนเขาก็เป็นการที่ต้องใช้กำลังกาย ผ่านไปไม่นาน ญาธิดาก็เริ่มหอบแล้ว เรี่ยวแรงของเธอตามพวกเขาไม่ทันแล้ว แต่โชคดีที่ยังได้พยัคฆ์กับพี่เข้มคอยช่วยเอาไว้ ก็พอถูๆ ไถๆ ไปจนถึงยอดเขาได้
ระหว่างทางนี้ พวกเขาระมัดระวังอย่างมากเกี่ยวกับรอยเท้าบนเส้นทางและร่องรอยของมนุษย์ แต่ไม่พบอะไรที่น่าสงสัยเลยแม้แต่นิดเดียว
จนถึงตอนที่เดินผ่านภูเขาทั้งลูก พวกเขามองดูภูเขาที่เรียงตัวลดหลั่นกันอยู่ไม่ไกล ทันใดนั้นก็มีความรู้สึกผิดหวัง
ถ้าเกิดว่าหาแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่ถึงจะเจอเบาะแส
ญาธิดาดื่มน้ำลงไปหลายอึก ปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเกรงใจเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจในทันทีว่าทำไมลูกน้องบางคนถึงไม่ยอมมา เพราะว่าเรื่องนี้เหมือนจะต้องทำไปโดยเปล่าประโยชน์ ดูไม่ได้อะไรจากการทำแบบนี้เลย
เธอมองดูเวลา และก็กัดฟัน พร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกๆ และพูดว่า “พวกเราลงไปกันเถอะ”
เมื่อเทียบกับภูเขาที่พวกเขาพึ่งปีนขึ้นไปนั้น ที่นี่มันมีต้นไม้เยอะกว่า พืชพรรณและต้นไม้มากมายมารวมอยู่ด้วยกัน ทำให้มันดูลึกลับมากกว่า
พวกเขาออกเดินทางต่อ พยายามเดินลงจากเขาอย่างไม่ลดละ ถ้าว่าเส้นทางเดินลงภูเขานั้นมันค่อนข้างจะเดินยาก แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นแบบนั้น พวกเขาก็ไม่หยุดเดินเลย
ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่านไปนานแค่ไหน พวกเขาก็มาถึงกลางภูเขา ทันใดนั้นพยัคฆ์ที่อยู่ด้านข้างก็หยุดเดิน สายตาจับจ้องไปยังที่แห่งหลัง แล้วก็เอ่ยปากถามว่า “ที่นั่น เหมือนกับจะมีสิ่งก่อสร้างอยู่เลย”
พอได้ยินเสียงของเขา ญาธิดากับพี่เข้มก็อึ้งไปในทันที แล้วก็เงยหน้ามองตรงเข้าไป
แล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ท่ามกลางต้นไม้เขียวชอุ่มที่เชิงเขา ก็เผยให้เห็นมุมหนึ่งของสิ่งก่อสร้างนั้น ซากปรักหักพังสีเทานั้นไม่เด่นมาก ถ้าไม่ใช่เพราะพยัคฆ์พูดขึ้นมา เธอก็ไม่ได้สังเกตเห็นเลย
พี่เข้มที่อยู่ด้านข้างประหลาดใจ “หุบเขาแบบนี้มีคนอาศัยอยู่ด้วยเหรอ? ”
เห็นได้ชัดว่าการอยู่ที่นี่มันไม่สะดวกอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะมีผู้อยู่อาศัยรอบๆ เขาราม แต่ว่าพวกเขาส่วนใหญ่ก็จะอยู่บนพื้นราบนอกภูเขาเท่านั้น และที่นี่ สร้างบ้านอยู่ในภูเขา เห็นได้ชัดว่าต้องการหลบซ่อนจากสายตาของผู้คน
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็มองไปยังที่นั่นพร้อมกับพูดว่า “พวกเราไปดูหน่อยเถอะ”
จากตำแหน่งของพวกเขา ถึงแม้จะถูกเงาต้นไม้บัง แต่ก็ยังเห็นได้ว่าเป็นบ้านแบบโบราณ พอมองไปรอบๆ แล้วก็เหมือนกับว่าแถวนี้จะมีบ้านหลังนี้เพียงแค่หลังเดียวเท่านั้น
ไม่ว่าด้านในนั้นจะเป็นอะไร แต่สรุปแล้ว พวกเขาก็จะเข้าไปดูหน่อย ถ้าเกิดว่าเจออะไรใหม่ๆล่ะ?