ดวงใจภวินท์ - บทที่587 ต้องรับผิดชอบเขา
บทที่587 ต้องรับผิดชอบเขา
พอส่งข้อความเสร็จแล้ว ก้อนหินที่อันแน่นอยู่ในหัวใจของญาธิดาก็หายไป
เธอเก็บกระเป๋าให้เณรศีลอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็พาเด็กน้อยทั้งสามคนออกจากโรงพยาบาลไป
พอขึ้นมาบนรถ ก่อนที่จะเริ่มขับรถนั้น ญาธิดามองไปที่หน้าจอโทรศัพท์แต่ว่ามันก็ว่าเปล่า ไม่มีข้อความอะไรเลยแม้แต่ข้อความเดียว
ไม่รู้เหมือนกันว่าภวินท์ยังไม่เห็นข้อความของเธอ หรือว่าเห็นแล้วแต่ไม่อยากตอบกันแน่
ญาธิดาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจโยนโทรศัพท์ไปด้านข้างแล้วก็ขับรถออกไป
ใครจะไปรู้ว่า ทันทีที่เธอวางโทรศัพท์ลง จู่ๆ หน้าจอก็สว่าง และเสียงริงโทนที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น ญาธิดาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง และมองไปที่หน้าจอ
บนหน้าจอแสดงให้เห็นชื่อของ“ธีทัต” ญาธิดาชะงักไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็กดปุ่มรับสาย
เสียงของธีทัตดังขึ้น “ฮัลโหล? ธิดา อยู่ไหนเนี่ย? ผมพึ่งกลับมา แต่ว่าบ้านมันเงียบเหงามากเลย มีผมแค่คนเดียวเนี่ย”
น้ำเสียงของเขาปนไปด้วยเสียงหัวเราะ และเขาก็พูดติดตลกออกมาว่า “รีบกลับมาเลยนะ ผมอยู่บนคนเดียวรู้สึกกลัวๆ ยังไงไม่รู้”
ญาธิดายิ้ม สายตามองไปยังเณรศีลที่นั่งอยู่บนรถ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ก็คิดได้ยังไม่ทันได้เล่าเรื่องนี้ให้ธีทัตฟังเลย ไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอตัดสินใจทำไปก่อนจะบอกให้เขารู้นั้นมันจะทำให้เขาโกรธรึเปล่า……
พอคิดได้แบบนี้ แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของธีทัต “ธิดา เดี๋ยวพอคุณกลับมา ผมมีข่าวดีจะบอกด้วยแหละ”
“ข่าวดีงั้นเหรอ? ” ญาธิดายิ้ม อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มออกมา “บังเอิญจังเลย ฉันก็มีข่าวดีจะบอกคุณเหมือนกัน”
ธีทัตยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ได้สิ ผมล่ะสงสัยจริงๆ ว่าข่าวดีของคุณคืออะไร”
Smart address bar. th.readeraz.com ดวงใจภวินท์ บทที่587 ต้องรับผิดชอบเขา – th.readeraz
ญาธิดายิ้ม พร้อมกับพูดเบาๆ ว่า “โอเค เดี๋ยวเจอกันค่อยคุยกันนะฉันขอขับรถก่อน”
หลังจากวางสาย เธอก็สตาร์ทรถ หลังจากนั้นก็มองไปยังเด็กน้องทั้งสามคนที่นั่งอยู่บนเบาะหลังและพูดว่า “โอเค นั่งให้ดีนะ พวกเรากลับบ้านกัน”
หลังจากผ่านไปประมาณ40นาทีกว่า รถก็แล่นมาถึงแกรนด์ บูเลอวาร์ด ญาธิดาจอดรถที่หน้าประตู เปิดประตูและลงจากรถไป พร้อมกับพาเด็กน้อยทั้งสามคนเดินเข้าไปด้านใน
พอเข้าไปในบ้าน ญาธิดาก็บอกให้พวกเขาเปลี่ยนรองเท้าตรงทางเข้า และทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากบันได
หลังจากนั้น ก็มีเสียงมีแฝงไปด้วยรอยยิ้มของธีทัตดังขึ้นมา “ธิดา กลับมาแล้วเหรอ? ”
เขาสวมใส่ชุดลำลองสีขาว เดินเข้ามาหาพวกเขาด้วยขาที่เรียวยาว เมื่อดวงตาของเขาสัมผัสกับเณรศีลที่ยืนอยู่ด้านหลังของญาธิดานั้น เขาก็ขมวดคิ้วขึ้น “นี่คือ……”
ญาธิดายิ้มให้กับเขา และพูดเบาๆ ว่า “นี่คือข่าวดีที่ฉันจะบอกคุณไงล่ะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เณรศีลจะเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัวเรา”
รอยยิ้มบนใบหน้าของธีทัตค่อยๆ เลือนหายไป หลังจากนั้นก็มองไปที่เณรศีลครั้งแล้วครั้งเล่า และก็ยกยิ้มขึ้นพร้อมกับพูดว่า “ยินดีต้อนรับนะ”
ตอนแรกเณรศีลก็รู้สึกหวาดกลัวผู้ชายเจ้าของบ้านคนนี้อยู่เหมือนกัน แต่พอเห็นใบหน้าที่ดูใจดีและยิ้มแย้มแจ่มใส และก็ไม่ได้ดูมีเจตนาร้ายกับเขา เขาก็เลยสบายใจขึ้นเยอะ
ญาธิดาโค้งตัวลงไปหาเขา และแนะนำให้เขารู้จัก “เณรศีล นี่คือพ่อของอีธานกับเอลล่า หนูเรียกเขาว่าคุณลุงก็ได้จ้ะ”
เณรศีลพยักหน้า หลังจากนั้นก็มองไปที่ธีทัตพร้อมกับทักทายด้วยความเคารพ “สวัสดีครับคุณลุง”
ธีทัตยิ้มกว้างขึ้นไปอีก แต่ว่าอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ใต้สายตานั้นมันมีแต่ความเย็นชา เขาพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับยื่นมือไปลูบหัวของเณรศีล และพูดด้วยเสียงที่ผ่อนคลาย “เด็กดี ไปเล่นกับอีธานกับเอลล่าสิ”
พอเณรศีลได้ยินเขาพูดแบบนี้ ความกังวลในใจนั้นก็หายวับไปในทันที เขาพยักหน้า พร้อมกับยิ้มและวิ่งไปเล่นกับอีธานและเอลล่า
พอเณรศีลออกไป สีหน้าของธีทัตก็เย็นชาลงมาก เขาพยายามฝืนยิ้มและมองไปที่ญาธิดา พร้อมถามด้วยเสียงที่แผ่วเบา “นี่มันเรื่องอะไรกัน? ”
ญาธิดายิ้มให้เขาอย่างรู้สึกผิด พร้อมกับอธิบายว่า “ทัต ฉันยังไม่ทันได้มีเวลาบอกคุณ คือว่าเรื่องราวมันค่อนข้างกะทันหันน่ะ ถ้าเกิดว่าฉันไม่พาเขากลับมา เกรงว่าเขาจะไม่มีที่ไหนให้ไปอีกแล้ว”
พอธีทัตได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็ดูจริงจังมากขึ้นไปอีก “ธิดา เรื่องแบบนี้ อย่างน้อยผมก็ควรมีสิทธิที่จะรู้นะ”
เธอไม่พูดไม่จาอะไร แล้วก็พาเด็กแปลกหน้ากลับมาบ้านคนหนึ่ง นี่มันอะไรกัน? อีธานกับเอลล่าเป็นลูกแท้ๆ ของเธอ เขาก็เลยไม่พูดอะไร แต่ว่านี่มันอะไรล่ะ? เห็นว่าเขาเป็นเครื่องมือเลี้ยงลูกคนอื่นรึยังไงกัน?
พอเห็นว่าอารมณ์ของธีทัตเปลี่ยนไป ญาธิดาก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย “ทัต สถานการณ์ของเขามันค่อนข้างซับซ้อน จะอธิบายให้ฟังในเวลาสั้นๆ ไม่ได้ ฉันก็เลยคิดว่ามาพูดกับคุณต่อหน้าน่าจะดีกว่า……”
“แต่ว่าคุณพาเขากลับมาโดยที่ไม่บอกอะไรผมสักคำ แถมยังบอกว่าจะให้เขาอยู่ที่นี่ตั้งแต่นี้ต่อไปอีก ธิดา นี่คุณกำลังทำให้ผมลำบากใช่ไหม? ผมไม่รู้ที่มาของเด็กคนนี้ ไม่รู้จักนิสัยใจคอของเขา แล้วคุณก็พาเขามาที่บ้าน แถมยังให้เขาอยู่กับอีธานและเอลล่าอีก ถ้าเกิดว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ขึ้นมาล่ะ? ใครจะรับผิดชอบเรื่องนี้? ”
ถึงแม้ว่าคำพูดของชายหนุ่มคนนี้จะจริงจังจนเกิดเหตุไป แต่ว่ามันก็มีเหตุผล ญาธิดากัดริมฝีปากล่างของตัวเอง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็เงยหน้าขึ้นมามองเขา และก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นกลางและจริงจัง “ก่อนที่ฉันจะพาเขากลับมา แน่นอนว่าฉันต้องคอยเฝ้าสังเกตการณ์มาแล้ว เขานิสัยใจคอดีแถมยังเล่นกับอีธานและเอลล่าได้อีก ดังนั้นน่าจะไม่มีปัญหาอะไรหรอก ส่วนตัวตนของเขานั้น……”
ญาธิดาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ และพูดออกมาทีละคำ “คุณจำเรื่องที่ฉันเคยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับสถานปฏิบัติธรรมเขารามได้ไหม? ”
พอได้ยินคำนี้ ก็เหมือนมีแสงที่มืดมนแวบผ่านดวงตาของธีทัต แล้วก็หายไปอย่างรวดเร็ว เขาพยักหน้าอย่างใจเย็นพร้อมกับพูดว่า “จำได้ ทำไมเหรอ มันเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย? ”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ญาธิดาก็พูดว่า “เณรศีลคือเณรที่สถานปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะว่าเจ้าอาวาสเสียชีวิตไป เขาก็คงไม่ตกมาอยู่ที่จุดนี้หรอก ตอนที่ฉันหาเขาเจอนั้น เขาอยู่ในแก๊งของพวกอาชญากร ถูกพวกคนเลวพวกนั้นสั่งสอนให้ไปเป็นขอทาน……”
ญาธิดาพูด และก็เริ่มสะอึกสะอื้น น้ำตาของเธอเริ่มคลอมาที่เบ้า หลังจากนั้นก็พยายามสะกดอารมณ์ของตัวเองไว้พร้อมกับมองไปที่ธีทัตและพูดว่า “ถ้าเกิดว่าไม่ใช่เพราะฉัน เจ้าอาวาสก็คงไม่เสียชีวิต นี่คือสิ่งที่ฉันติดหนี้ต่อพวกเขาอยู่”
ธีทัตหน้าซีด สุดท้ายเขาก็พูดอะไรไม่ออก เขายกมือขึ้นมาและตบไหล่ญาธิดาเบาๆ พร้อมกับปลอบใจว่า “ผมบอกคุณแล้วไง ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของคุณ”
ญาธิดาส่ายหน้า พร้อมกับเช็ดน้ำตาของตัวเองและพูดว่า “ถ้าเกิดว่าไม่ใช่เพราะฉัน สิ่งที่มันได้เกิดขึ้นหลังจากนั้นมันก็คงจะไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ ดังนั้น ฉันจำเป็นต้องรับผิดชอบเขา”
สายตาของธีทัตมืดมนลง ผ่านไปนานเขาก็ยังคงไม่พูดอะไร ไม่รู้เหมือนกันว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพูดว่า “ทัต เรื่องนี้ฉันผิดเองที่ไม่ได้บอกคุณก่อน แต่ว่า ก่อนที่จะมีการจัดการที่ดีกว่านี้ได้ คุณปล่อยให้เขาอยู่ที่นี่ไปก่อนสักพักได้ไหม? ”
เธอพูดอย่างจริงจัง และก็ยอมลดท่าทีของตัวเองลง ธีทัตเลิกคิ้วขึ้น หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็มองมาที่เธอพร้อมกับพูดว่า “ธิดา พูดแบบนี้แล้วพวกเราดูไม่คุ้นเคยกันเลยนะ”
เขายื่นมือออกมา และก็วางฝ่ามือบนไหล่ของเธอเบาๆ พร้อมกับพูดว่า “ในเมื่อเรื่องนี้มันสามารถให้อภัยได้ ผมก็จะไม่พูดอะไรมากแล้วกัน”
“ขอบคุณนะทัต”ญาธิดารู้สึกอบอุ่นใจ และก็พูดอย่างแน่วแน่ว่า “ฉันจะต้องตามหาพวกธีระให้เจอให้เร็วที่สุด แล้วก็จับคนที่ทรยศพวกเรา เรื่องนี้ มันควรจะจบลงได้แล้ว”
พอพูดจบ ก็ไม่ได้สังเกตเลยว่าทันทีที่ธีทัตได้ยินคำพูดของเธอ ใบหน้าของเขาก็ซีดลงในทันที