ดวงใจภวินท์ - บทที่590 ไม่กินก็กรอกปากไป
บทที่590 ไม่กินก็กรอกปากไป!
สีหน้าของคุณป้าแม่บ้านค่อนข้างแย่ง แต่ว่าในเมื่อภูผาพูดออกมาแบบนี้แล้ว เธอก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก ได้แต่ตอบตกลง แล้วก็ถือชามโจ๊กเดินเข้าไปที่เตียง
“คุณแก้วคะ ทานหน่อยเถอะนะคะ ทุกคนจะได้ไม่ต้องลำบาก ป้าเห็นว่าคุณไม่ได้ทานอะไรมาหลายวันแล้ว วันนี้ก็เลยเตรียมโจ๊กไก่มาให้พิเศษเลยค่ะ อย่างน้อยทานสักสองคำก็ยังดีนะคะ……”
คุณป้าแม่บ้านเกลี้ยกล่อมอย่างขมขื่น แต่ว่าเกล้าแก้วที่นั่งอยู่บนเตียงนั้นกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรเลย สายตาของเธอจับจ้องไปที่ที่หนึ่ง เม้มปากแน่นไม่ยอมขยับเขยื้อน
คุณป้าแม่บ้านยกชามเข้าขึ้นมา และเอาช้อนคนช้าๆ “คุณแก้วคะ ทานหน่อยเถอะค่ะ ตอนนี้กำลังร้อนๆ อยู่เลย”
ไม่ว่าคุณป้าแม่บ้านจะเกลี้ยกล่อมซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ว่าเกล้าแก้วก็ยังคงเฉยเมย แม้แต่มองก็ยังไม่ยอมมองมาเลยด้วยซ้ำ
คุณป้ามองไปที่ภูผาที่นั่งอยู่บนโซฟาด้วยสีหน้าที่ลำบากใจ “คุณผู้ชาย ทำยังไงดีคะ……”
สีหน้าของภูผานั้นมืดมน และก็มองที่ผู้หญิงที่นั่งอยู่บนเตียงอย่างเย็นชา พร้อมกับออกคำสั่ง “กรอกปากไป วันนี้ต่อให้เธอไม่ยอมกินก็จับกรอกปากซะ”
พอได้รับคำสั่งแบบนี้ คุณป้าแม่บ้านก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก เธอเดินเข้าไปด้านข้าง แล้วก็หยิบรีโมทขนาดเล็กขึ้นมาพร้อมกับกดปุ่ม
และในตอนนี้เอง โซ่ที่ล่ามเกล้าแก้วเอาไว้มันก็เริ่มสั้นลงเรื่อยๆ หลังจากนั้น มือและเท้าของเธอก็ถูกมัดเข้าหากัน ไม่สามารถขยับได้เลย
เธอไม่สามารถขยับมือและเท้าได้ ก็เลยไม่มีหนทางให้ดิ้นรนต่อสู้ ท่าทางของเธอตอนนี้เหมือนทารกในครรภ์ของมารดา ขดตัวแน่นเป็นวงกลม ทั้งดูจนตรอกและน่าสงสาร
คุณป้าแม่บ้านถือชามข้าวต้ม แล้วก็เอื้อมมือไปปัดผมบนใบหน้าของเธอออก และบีบคางของเธอไว้อย่างแรง หลังจากนั้นก็กรอกโจ๊กเข้าไป
เกล้าแก้วขมวดคิ้วเข้าหากัน สีหน้าของเธอนั้นดูเจ็บปวด พยายามส่ายหัวเพื่อหลีกเลี่ยง แต่ว่าก็ไม่สามารถหนีได้ ของเหลวไหลลงไปในปากของเธอ บางส่วนก็เลอะอยู่ด้านนอก ไหลจากคางลงไปถึงคอของเธอ……
ภาพเหตุการณ์นี้นั้นมันดูโหดร้ายมาก แต่ว่าภูผาที่นั่งอยู่บนโซฟานั้นยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย สายตาจับจ้องไปที่ภาพเหตุการณ์ที่อยู่บนเตียงนิ่งๆ
เกล้าแก้วไอออกมาด้วยความเจ็บปวด เธอหอบ แล้วก็พยายามบ้วนโจ๊กที่เข้าปากไปเมื่อกี้ออกมา และคุณป้าก็ขยับเข้าไปอีกครั้งพร้อมกับบีบคางของเธอเอาไว้ และกรอกโจ๊กลงไป……
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นประมาณสิบกว่านาที ชามโจ๊กถึงได้เริ่มพร่องไปบ้าง บนตัวของเกล้าแก้ว และผ้าปูที่นอนด้านข้างเลอะเต็มไปด้วยของเหลวที่เธอบ้วนออกมา
คุณป้าแม่บ้านหอบหายใจอย่างหนัก แล้วก็หันไปมองภูผาที่อยู่ด้านข้างพร้อมกับพูดอย่างไม่มีทางเลือกว่า “คุณผู้ชาย ทุกครั้งก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ พวกเราก็ไม่รู้จะทำยังไง……”
พอภูผาได้ยินดังนั้น คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันทันที สายตาของเขาเต็มไปด้วยความระอา เขายืนขึ้น สายตาจับจ้องไปที่เกล้าแก้วที่นอนหอบอยู่บนเตียงพร้อมกับพูดอย่างเยือกเย็นว่า “ในเมื่อเธอไม่ให้ความร่วมมือ ต่อไปก็เอาคนมาช่วยกรอกหลายคนหน่อยฉันไม่เชื่อหรอกว่าถ้าเกิดว่ากรอกไปสิบชาม เธอคายออกมาได้ทุกหยด”
พอพูดจบ เขาก็เดินออกจากประตูไป
เกล้าแก้วที่นอนอยู่บนเตียงนั้นเงยหน้าขึ้นมา และจ้องไปยังทิศทางที่เขาจากไปเขม็ง ตอนที่เห็นว่าเขากำลังจะเดินออกไปนั้น จู่ๆ เธอก็พูดออกมา “ภูผา คุณมันไร้หัวใจ……”
ภูผาชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ว่าก็เดินต่อไปแบบไม่ได้หันกลับมา และเสียงประตูปิดก็ดังขึ้นดัง “ปัง!”
ตั้งแต่เกิดเรื่องที่ทะเลครั้งนั้น เขาก็พาเกล้าแก้วกลับมาที่นี่ แต่ว่าเธอกลับเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน บ้าบอ สุดขั้ว และไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูดเลยแม้แต่อย่างเดียว
และพยายามจะหนีไปจากเขาครั้งแล้วครั้งเล่า หกปีมานี้ เธออยู่กับเขามาโดยตลอด จนเขาคุ้นชินกับการมีเธออยู่แล้ว จนเขาตั้งใจแล้วว่าเธอจะต้องอยู่กับเขาไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่สามารถอดทนให้เธอจากไปได้
ต่อให้ต้องเก็บเธอไว้ข้างกายด้วยวิธีนี้ เขาก็ไม่ยอมปล่อยให้เธอจากไป และยิ่งไปกว่านั้น เธอก็รู้ความลับของเขาตั้งมากมาย ถ้าเกิดว่าปล่อยเธอออกไป ก็เหมือนกับทิ้งระเบิดเวลา ที่มันอาจจะระเบิดได้ตอนไหนก็ไม่รู้
เพราะฉะนั้นก่อนที่เขาจะบรรลุเป้าหมาย เธอไม่สามารถไปไหนได้ทั้งนั้น
พอออกมาจากห้องได้ไม่กี่ก้าว เขาก็เห็นครามที่ยืนอยู่ตรงหน้าบันได
พอครามเห็นเขา ก็รีบเดินเข้ามาทันที “คุณผู้ชายครับ มีข่าวมาใหม่จากทางฝั่งอเมริกาครับ”
ภูผาเดินต่อไปที่ห้องนอน และก็เอ่ยถามต่อว่า “ว่าไง? ”
“ช่วงนี้คุณท่านฟื้นฟูสุขภาพได้ค่อนข้างดี เริ่มขออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ครั้งแล้วครั้งเล่าแล้วค่ะ”
ภูผาหัวเราะในลำคอ “ตาแก่นี่ เริ่มเอาใหญ่แล้วสินะ”
พอเดินมาถึงหน้าประตูห้องนอน เขาก็พูดอย่างเย็นชาว่า “โอเค ฉันเข้าใจแล้ว นายไปพักผ่อนเถอะ”
หลังจากพูดประโยคนี้จบ เขาก็เปิดประตูห้องและเดินเข้าไปพร้อมกับปิดประตู
สถานการณ์ตอนนี้ค่อนข้างเร่งรีบ เขาต้องคิดวิธีจัดการคุณหนูของตระกูลทิวะศิริให้ได้เร็วที่สุด หลังจากนั้นก็รับปกรณ์กลับมา ถึงจะทำให้เป้าหมายของเขามีความคืบหน้า
เวลานั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียว ก็ผ่านไป 2 วันแล้ว
ช่วงนี้ดร.ยติภัทรกับคุณปภาวียุ่งอยู่กับการเตรียมตัวไปเที่ยวยุโรป ถึงแม้ว่าจะยังพอมีเวลาก่อนออกเดินทางอยู่บ้าง แต่ว่าพวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นและรอคอยเป็นอย่างมาก
ตอนแรกญาธิดาไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ว่าพวกเขาจะมีเรื่องที่ดีแบบนี้ แต่ว่าหลังจากนั้นพอคุณปภาวีอธิบายครั้งแล้วครั้งเล่า บวกกับการที่คนแก่ทั้งสองคนยุ่งอยู่กับการท่องเที่ยวในครั้งนี้ ตื่นเต้นเหมือนกับได้กลับไปเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง เธอก็เลยอดไม่ได้ที่จะไปขัด
2 วันที่ผ่านมา เธอเลี้ยงลูกอยู่ที่บ้านคนเดียว หลังจากได้ทำอะไรด้วยกันมากมาย เธอก็เริ่มสนิทกับเณรศีลมากขึ้น แต่ว่าต่อให้เป็นแบบนี้ก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ดี
ช่วงบ่าย เธอเพิ่งจะกล่อมเด็กน้อยทั้ง 3 คนให้นอนหลับได้ แต่ว่าพึ่งจะออกมาจากห้องเด็กได้ไม่นาน โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น
พยัคฆ์เป็นคนโทรมา ญาธิดาก็ไม่ได้คิดอะไรมากและกดรับสายในทันที
“ฮัลโหล?”
ปลายสายนั้นเป็นเสียงหอบหายใจของพยัคฆ์ “พี่ธิดา ทางผมเจออะไรเข้าแล้วได้แล้ว!”
“คนที่พี่บอกให้ผมไปสืบแบบลับๆ เพราะว่าเขาอาจจะเป็นคนที่ทรยศทีมได้น่ะ ผมตรวจสอบบัญชีของคนที่ไปสถานปฏิบัติธรรมกับเราทั้งหมด แล้วก็พบว่ามีคนหนึ่งที่ช่วงนี้มีเงินก้อนใหญ่โอนเข้าบัญชีมา ผมก็เลยจับตามองเขามากขึ้น แล้วก็พบเบาะแสจนได้!”
เสียงที่ตื่นเต้นของพยัคฆ์ดังออกมาจากลำโพง ญาธิดาชะงักไปเล็กน้อย แล้วก็ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “จริงเหรอ? ”
“จริงแท้แน่นอนครับ ตอนนี้จับตัวเขาได้แล้ว และเขาก็สารภาพเองกับปาก ตอนนี้ผมกำลังพาเขาไปหาพี่ น่าจะประมาณ20กว่านาทีก็น่าจะถึงแล้ว”
พอญาธิดาได้ยินดังนั้น ก็พูดออกมาเบาๆ ว่า “โอเค ฉันจะรอพวกนาย”
ถึงแม้ว่ามันจะผ่านมาพักหนึ่งแล้วตั้งแต่ตอนที่เกิดเรื่อง แต่ว่าพอเธอมาคิดว่าถ้าเกิดวันนั้นไม่มีคนทรยศ เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นมันก็จะไม่เกิดขึ้น พอคิดแบบได้แบบนี้แล้วเธอก็เริ่มรู้สึกโกรธ
ถ้าเกิดว่าได้เห็นคนทรยศนั้นกับตา ไม่แน่ว่าเธออาจจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ ถ้าเกิดว่าย้อนเวลากลับไปได้ เธอก็จะไม่ไปที่สถานปฏิบัติธรรมเขารามเด็ดขาด และก็จะไม่นำภัยพิบัติไปที่นั่น
แต่ว่าตอนนี้ ไม่ว่าจะพูดอะไรมันก็สายไปแล้ว
ความผิดที่เธอทำ ครั้งนี้เธอต้องจบมันด้วยตัวเองไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น