ดวงใจภวินท์ - บทที่609 เขาไม่ใช่สามีฉัน
บทที่609 เขาไม่ใช่สามีฉัน
เมื่อญาธิดาหันกลับมา เห็นเพียงภาพที่เขาเดินเข้าไปในร้าน เธอถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตามไป
เส้นทางที่เลือกเอง แม้จะลำบากแค่ไหนก็ต้องเดินไปให้ถึงสุดทาง จริงไหม?
ทันทีที่เธอเดินเข้าไปในร้าน เธอก็เห็นพนักงานขายหลายคนล้อมรอบชวิศไว้ สีหน้ายิ้มแย้มและถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร
“คุณผู้ชายท่านนี้ เป็นสมาชิกของทางร้านหรือเปล่าคะ?”
“มาเลือกซื้อเสื้อผ้าให้แฟนสินะคะ? อยากดูคอลเลกชั่นใหม่ประจำฤดูกาลของเราไหมคะ?”
บางคนเทน้ำเทชาต้อนรับ บางคนก็แนะนำสินค้า ทุกคนนั้นกระตือรือร้นมาก ญาธิดาตะลึงเล็กน้อย นี่คือการต้อนรับผู้ชายหล่อหรอ? เธอจำได้ว่าตัวเองก็เคยมาร้านนี้ แต่พวกหล่อนไม่ค่อยกระตือรือร้นกับเธอเท่าไหร่!
เธอเดินเข้าไปอย่างลังเล พอดีกับชวิศหันมามองเธอ เขายกยิ้มมุมปาก แสดงรอยยิ้มที่หล่อจนวัวตายความยล้มออกมา เขายกคางขึ้นเล็กน้อย แล้วมองไปทางเธอ “ผมมาซื้อให้เธอ ลองถามเธอดูสิว่าชอบไหม”
“หา?”
ญาธิดางงไปหมด และก่อนที่เธอจะได้ตอบโต้ พนักงานขายก็รีบเข้ามาถามเธอว่าเธอกระหายน้ำไหม หรือเธอชอบเสื้อผ้าสไตล์ไหน
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆว่า “แนะนำคนเดียวก็พอแล้วค่ะ คนอื่นๆก็ไปทำธุระของตัวเองเถอะค่ะ”
พนักงานขายเข้าใจในทันที หลังจากที่พวกหล่อนจ้องหน้ากันไปมา สุดท้ายก็เหลือพนักงานไว้คนหนึ่ง มาแนะนำเธอ “คุณต้องการสไตล์ไหนคะ ฉันสามารถพาคุณไปดูได้ค่ะ”
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึกๆ และพูดออกมาทีละคำ “ฉันขอดูเองก่อนนะคะ”
“ได้ค่ะ”
ในที่สุดข้างหูก็เงียบสงบลง ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันไปมองชวิศที่กำลังยืนยิ้มอยู่ข้างๆ เธอจึงถามขึ้นเสียงต่ำว่า “ชวิศ คุณหมายความว่ายังไง! มาเลือกเสื้อผ้าให้น้องสาวไม่ใช่หรอ?แล้วทำไมถึงกลายเป็นฉันล่ะ?”
ชวิศเดินเข้าไปหาเธอและกระซิบว่า “คุณตัวพอๆกับเธอ ดังนั้น แน่นอนว่าคุณต้องลองใส่มันดู”
แม้จะพูดอย่างนั้น แต่เธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆปนอยู่ในน้ำเสียงของเขาอย่างชัดเจน ญาธิดารู้สึกเหมือนถูกหลอก แต่ต่อหน้าพนักงานขาย เธอทำอะไรมากไม่ได้ ทำได้เพียงหันกลับเลือกดูเสื้อผ้าต่อ
หลังจากเลือกไปเลือกมา สุดท้าย แววตาของเธอก็ไปสะดุดกับชุดเดรสยาว รูปทรงดีและผ้าบาง แต่ไม่โป๊จนเกินไป อีกอย่าง ผ้าสีเบจแบบนี้ มันเข้ากับคนทุกผิวสี
เธอชี้ไปที่ชุดนั้น แล้วพูดกับพนักงานด้วยเสียงที่เบาว่า”ขอลองชุดนี้หน่อยค่ะ”
ตาของพนักงานขายเป็นประกาย และเธอก็รีบกล่าวชมว่า “คุณลูกค้าตาถึงจริงๆเลยค่ะ ชุดนี้เป็นคอลเลคชั่นฤดูกาลใหม่ของเรา ผลิตจากวัสดุคุณภาพดี และเป็นงานฝีมือ งานประณีต เมื่อสวมใส่แล้วดูดีมากเลยค่ะ”
ตอนที่กำลังพูด เธอก็หยิบเสื้อลงมา จากนั้นเดินไปข้างหน้า และพาญาธิดาไปที่ห้องลองเสื้อ
ญาธิดาลองสวมชุดเดรสในห้องลองเสื้อ ขนาดกำลังพอดี แม้ว่าเอวจะแน่นไปหน่อย แต่ว่าเนื้อผ้านุ่ม จึงไม่รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย แถมยังทำให้เอวดูบางกว่าเดิม และมีหนึ่งเดียวในโลก
ญาธิดาสวมชุดเดรสแล้วออกมาจากห้องลองชุด ชวิศที่กำลังก้มหน้าดูโทรศัพท์ สีหน้าของเขาเย็นชาและกำลังจริงจัง เหมือนเขารู้สึกได้ถึงผู้มาใหม่ จึงเงยหน้าขึ้น ตอนที่เขาสบตากับญาธิดา ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายทันที และนุ่มนวลขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
ไม่นาน เขาก็ละสายตาจากเธอ และพูดขึ้นเบาๆว่า “ใช้ได้”
เมื่อได้ยินความคิดเห็นของ”ชายแท้”อย่างเขา ญาธิดาก็ขมวดคิ้ว และรู้สึกอยากจะหัวเราะเล็กน้อย ตอนที่เธอกำลังจะหันหลังกลับ เพื่อไปถอดชุดออก ใครจะไปรู้ว่า ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงของชวิศดังขึ้นจากด้านหลัง”เดี๋ยวก่อน”
ญาธิดาสวมชุดเดรสแล้วออกมาจากห้องลองชุด ชวิศที่กำลังก้มหน้าดูโทรศัพท์ สีหน้าของเขาเย็นชาและกำลังจริงจัง เหมือนเขารู้สึกได้ถึงผู้มาใหม่ จึงเงยหน้าขึ้น ตอนที่เขาสบตากับญาธิดา ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายทันที และนุ่มนวลขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
ญาธิดารู้สึกงงเล็กน้อย แล้วหันกลับไปมองเขา”มีอะไรหรอ?”
“มานี่หน่อย”
ชวิศพูดขึ้นอย่างจริงจัง
ญาธิดานิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็หันกลับไป แล้วเดินเข้าไปหาเขาด้วยความลังเล “มีปัญหาอะไรหรอ?”
เห็นเพียงชวิศยกมือขึ้น กดไหล่ของเธอเบาๆ เพื่อให้เธอนั่งลงที่โซฟาข้างๆและพูดขึ้นเบาๆว่า “รอก่อน”
ทิ้งคำพูดนี้ไว้ จากนั้นเขาก็เหยียดขายาวของเขา เดินไปที่โซนรองเท้าผู้หญิงที่อยู่ด้านข้าง
ญาธิดามองดูเขาด้วยความสงสัย เมื่อมองไปที่ไหล่กว้างและเอวที่เล็กของเขา เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆแล้วพูดออกมาว่า “หุ่นดีจัง”
เดิมทีเธอบ่นพึมพำกับตัวเอง แต่ใครจะไปรู้ว่า พนักงานที่ยืนอยู่ข้างๆก็ได้ยิน พนักงานใช้มือปิดหน้าและหัวเราะคิกคัก อดไม่ได้ที่พูดเห็นด้วย “แฟนของคุณหล่อมากเลยค่ะ แถมหุ่นก็ดี เหมาะกับคุณมากเลย!”
เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนั้น ญาธิดาก็ยิ้มแล้วส่ายหัว “ไม่ใช่……”
ตอนที่พูด เธอยกมือข้างที่สวมแหวนขึ้นมาปฏิเสธ เดิมทีเธออยากจะพูดอธิบาย แต่จู่ๆพนักงานก็รีบพูดขอโทษ “ขอโทษด้วยนะคะ พวกคุณแต่งงานกันแล้วนี่เอง!”
ญาธิดาพูดไม่ออกทันที ขณะที่เธอกำลังจะพูดอธิบายความเข้าใจผิดนี้ เสียงของผู้ชายก็ดังขึ้นข้างๆหูเธอ “ลองสวมรองเท้าคู่นี้ดู”
ทันทีที่เธอหันไปดู เธอก็เห็นชวิศถือรองเท้าส้นสูงสีเงินคู่หนึ่งไว้ ก่อนที่เธอจะได้ตอบโต้ เขาก็ย่อตัวลง ชันเข่าข้างหนึ่งกับพื้น จากนั้นยกเท้าของเธอขึ้นเบาๆ แล้วถอดรองเท้าส้นเตี้ยของเธอออก
ญาธิดาชักเท้าของตัวเองกลับโดยสัญชาตญาณ ใครจะรู้ว่า ชวิศได้จับข้อเท้าของเธอไว้แน่นแล้ว เขาดึงเท้าของเธอเข้าหาตัวเอง แล้วบีบเท้าของเธอเบาๆ จากนั้นก็สวมรองเท้าส้นสูงสีเงินให้เธอ
สวมใส่ได้พอดีอย่างคาดไม่ถึง
ญาธิดาประหลาดใจ “ทำไมคุณถึง……”
ก่อนที่เธอจะพูดจบ ชวิศก็เอื้อมมือออกไปถอดรองเท้าอีกข้างออกจากเท้าของเธอ จากนั้นก็สวมรองเท้าส้นสูงให้เธออย่างสบายๆ
ชวิศพูดอย่างใจเย็น “คาดคะเนด้วยสายตา ความสามารถนี้ผมก็มีเหมือนกัน”
เมื่อพนักงานเห็นภาพนี้ ก็รู้สึกประทับใจ เธอควบคุมตัวเองไม่ได้จนรีบพูดออกไปว่า “สามีคุณดีจังเลยค่ะ ฉันทำงานที่นี่มาสองสามปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นสามีสวมรองเท้าให้ภรรยา!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของญาธิดาก็ร้อนขึ้น ตอนที่เธอกำลังจะพูดปฏิเสธ ชวิศกลับพูดกับพนักงานด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่งว่า “ขอบคุณครับ”
ทันใดนั้น ในหัวของญาธิดาก็เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม เขาหมายความว่าอย่างไร? หรือเป็นเพียงการตอบส่งๆ?
ก่อนที่เธอจะถามต่อ เขาก็ยืนขึ้น ก้าวถอยหลังแล้วพูดว่า “ผมคิดว่าชุดนี้โอเคนะ คุณลองลุกขึ้นดู”
ญาธิดาไร้คำพูดที่จะคัดค้าน เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ยืนขึ้น และเดินไปที่กระจกเพื่อดูตัวเอง
จะว่าไป รองเท้าคู่นี้เข้ากับชุดเดรสนี้มาก เป็นสไตล์สาวหวาน
ชวิศมองไปที่เธอ แล้วถามขึ้นว่า “คุณคิดว่าไง?”
ญาธิดาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ใช้ได้เลยล่ะ”
รอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นในแววตาของชวิศ เขาหันไปพูดกับพนักงาน “โอเคครับ งั้นเอาทั้งหมดนี้เลย ใส่ถุงให้หน่อยครับ”
พนักงานยกยิ้มมุมปากทันที และพูดขึ้นอย่างขยันขันแข็งว่า “คุณผู้ชาย คิดตังค์ทางนี้ค่ะ”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ญาธิดาก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก สามารถเลือกซื้อของขวัญได้เร็วแบบนี้ เธอค่อยโล่งอกหน่อย ไม่ต้องพูดถึง เธอกับชวิศมาเดินซื้อของแบบนี้ แค่หนุ่มสาวที่โสดมาด้วยกัน ถ้าเจอคนรู้จัก ก็อาจจะเกิดความเข้าใจผิดกันได้
ตอนที่กำลังคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็ไปที่ห้องลองชุดเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที เมื่อชวิศจ่ายเงินเสร็จ เธอก็เดินออกจากร้านขายเสื้อผ้าพร้อมกับเขา
ทันทีที่เดินไปถึงประตู ญาธิดาก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมา เหลือบมองดูเวลา แล้วพูดขึ้นว่า “ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ยังไม่ถึงเวลาสำหรับอาหารค่ำ งั้นเอาอย่างนี้ไหม ไว้มีโอกาส คุณค่อยเลี้ยงข้าวกับชานมฉันก็แล้วกัน”
เป็นการบอกอีกนัยหนึ่งว่า เธอกำลังจะกลับบ้านแล้ว
พูดจบเธอก็โบกมือให้ชวิศ แล้วเดินจากไป
ใครจะรู้ว่า จู่ๆชวิศก็เดินไปขวางหน้าเธอ สายตามองต่ำ และถามขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ใครบอกว่ามันเสร็จแล้ว?