ดวงใจภวินท์ - บทที่617 ฉันขอให้เธอคิดดีๆ
บทที่617 ฉันขอให้เธอคิดดีๆ
อัญมณีเห็นญาธิดาไม่พูดอะไรอยู่นาน เธอก็โกรธจนแทบจะควบคุมไม่ไหวแล้ว “ธิดา ฉันว่าพวกเขาตั้งใจ! พวกเราเห็นก่อนนะ ฉันจะไปพูดกับพวกเขาเดี๋ยวนี้!”
ว่าแล้ว อัญมณีก็เดินไปหาภวินท์กับแพรวาอย่างไม่ลังเล
และทางนั้น แพรวากำลังยืนอยู่ข้างภวินท์ กระตุกยิ้มมุมปากอย่างได้ใจและมองดูพวกเธอด้วยสายตาที่เย็นชา
เห็นว่าอัญมณีใกล้เดินเข้าไปถึงตัวพวกเขาแล้ว ญาธิดาก็ถึงตั้งสติได้ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วรีบเดินไปข้างหน้า เรียกเสียงเบาว่า “อันอัน! กลับมานะ……”
ไม่รู้ว่าอันอันไม่ได้ยินหรือไม่ยอมฟังกันแน่ เธอไม่คิดจะหยุดเดินด้วยซ้ำ รีบเดินพุ่งไปหาภวินท์อย่างรวดเร็ว
สุดท้ายญาธิดาก็ช้ากว่าอยู่ดี และหยุดเธอไว้ไม่ทัน
เห็นอัญมณีมองขวางแพรวาอย่างเย็นชา ต่อมาก็ถามภวินท์ด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ภวินท์ นายหมายความว่ายังไงกัน?”
ภวินท์ถามกลับอย่างไม่รีบร้อนว่า “ทำไมเหรอ?”
“นายว่าทำไมล่ะ?” อัญมณีถูกเขาถามกลับแบบนี้ ก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ เธอกัดฟันกรอด เห็นพนักงานเอาถุงสวยๆกำลังจะห่อของ เธอก็ชี้ไปทางนั้นแล้วพูดว่า “นายพูดมาสิ ทำไมต้องแย่งของที่พวกเขาเห็นก่อนด้วย?”
ภวินท์เงยหน้ามองไปยังญาธิดา สักพักไม่ได้พูดอะไร แต่แพรวาที่อยู่ข้างๆกลับพูดขึ้นก่อน
“คุณอัญมณี คุณช่วยเข้าใจหน่อยว่า ของที่พวกเราซื้อเป็นของที่ทางร้านยังไม่ได้ขาย ตอนนั้นคุณยังไม่ได้ซื้อ ก่อนที่คุณยังไม่ได้ซื้อไม่อนุญาตให้คนอื่นซื้อก่อนเหรอ!”
แพรวาพูดอย่างมีเหตุผล ทำเอาอัญมณีเงียบพูดไม่ออก
ญาธิดาเดินเข้ามา ได้ยินที่พวกเขาพูดกัน ลังเลสักพักก็ยื่นมือไปจับแขนของอัญมณีไว้ แล้วพูดเสียงเบาว่า “อันอัน พวกเราไปกันเถอะ ไปดูของอย่างอื่นกัน ไม่แน่อาจจะมีที่สวยกว่านี้นะ”
อัญมณีขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเธอไม่พอใจอย่างมาก และไม่อยากไปด้วย
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดเกลี้ยกล่อมต่อว่า “พวกเรายังไม่ได้ซื้อจริงนี่ ในเมื่อมีคนซื้อแล้วก็ช่างเถอะ ไม่ได้มีแค่อันนี้สักหน่อย”
ได้ยินดังนี้ สีหน้าของอัญมณีก็ดีขึ้นเล็กน้อย เธอหันไปมองญาธิดา กะพริบตาแล้วพูดอย่างเห็นด้วยว่า “เธอพูดถูก นี่ไม่ใช่ของที่สำคัญจนต้องมีครอบครองไว้สักหน่อย”
ว่าแล้ว เธอก็หันไปมองแพรวา เชิดหน้าขึ้นอย่างดูถูก กลับหลังหันแล้วลากญาธิดาเดินออกไป
ญาธิดาเห็นอัญมณีไม่ได้พูดอะไร สีหน้าก็ดีขึ้นมา ต่อมาเธอก็กลับหลังหันกำลังจะเดินออกไป แต่ตอนนี้เอง ภวินท์ที่นั่งอยู่บนรถเข็นก็พูดขึ้นกะทันหันว่า “เดี๋ยวก่อน”
ไม่รอญาธิดาพูดจบ เขาก็พูดต่อว่า “ฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอ”
ญาธิดาลังเลสักพัก กลับหลังหันไปมองเขา “มีอะไร?”
ภวินท์หันไปมองอัญมณีที่อยู่ข้างๆ แล้วพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ฉันอยากพูดกับเธอสองคน”
คำพูดของเขาเห็นได้ชัดว่าให้คนอื่นๆออกไปก่อน อัญมณีก็ฟังออกเหมือนกัน เธอขมวดคิ้วกำลังจะพูดอะไร แต่ตอนนี้เอง ญาธิดาก็พูดขึ้นว่า “ไม่จำเป็นหรอก ตอนนี้พวกเราไม่ได้พาคนนอกมาสักหน่อย มีอะไรก็พูดมาตรงๆเถอะ”
ภวินท์ขมวดคิ้วเล็กน้อย จ้องมองเธอไม่ได้พูดอะไร
ตอนนี้เอง แพรวาก็ยิ้มแล้วเดินไปข้างหน้า พูดกับอัญมณีว่า “คุณอัญมณี พวกเราไปเดินดูทางนั้นด้วยกันไหม? ฉันรู้สึกว่าพวกเราชอบอะไรเหมือนๆกันนะ”
ว่าแล้ว เธอก็อวดถุงสวยๆในมือให้อัญมณีดู
อัญมณีกลอกตามองบนอย่างไม่หลีกเลี่ยง กำลังจะปฏิเสธ แต่แพรวากลับเดินเข้ามา คล้องแขนเธอแล้วลากเธอไปทางนั้น
อัญมณีตกใจรีบพูดว่า “เธอจะทำอะไรน่ะ?”
“ไปเดินเที่ยวด้วยกันนะ ไม่แน่อาจจะมีของสวยๆก็ได้นะ!”
แพรวาพูดแล้วก็ลากเธอไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ถึงแม้อัญมณีจะไม่อยากไป แต่เพราะถูกแพรวาลากไป เธอไม่มีแรงขัดขืนสะบัดยังไงก็ไม่ออก ถูกลากให้เดินออกไป
ญาธิดามองดูแผ่นหลังของพวกเขาแล้วขมวดคิ้ว หันไปมองภวินท์ด้วยสีหน้าที่เข้มงวด “หมายความว่ายังไงกันแน่?”
ภวินท์เลิกคิ้วขึ้น “ทำไมไม่รับสาย?”
ญาธิดาโมโห ตอบกลับโดยไม่คิดว่า “ทำไมฉันต้องรับด้วย? ฉันสนิทกับนายเหรอ?”
ทันใดนั้นเอง สีหน้าของภวินท์ก็มืดมนลง เขาจึงไม่ได้พูดไร้สาระอีก พูดเข้าประเด็นทันที “ฉันอยากถามเธอว่า เธอจะจัดงานแต่งกับธีทัตที่เมือง J จริงเหรอ?”
ญาธิดาแปลกใจ ไม่คิดว่าเขาจะรู้เรื่องของตัวเองขนาดนี้ ทันใดนั้นเอง เธอก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา “นายรู้ได้ยังไง?”
ภวินท์ไม่ได้ตอบ แต่พูดต่อว่า “เธอมาเลือกเครื่องประดับ เพื่อเตรียมตัวกับงานแต่งนั้น”
เขาไม่ได้พูดประโยคคำถาม แต่เป็นประโยคบอกเล่า
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่ได้พูดอะไร ความเงียบเป็นคำตอบของทุกอย่าง เธอไม่จำเป็นต้องปกปิดภวินท์ เพราะยังไงตั้งแต่นี้ต่อไป เธอจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ เรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา
เธอเงียบสักพักแล้วพูดว่า “ใช่แล้วยังไง”
“เธอคิดดีแล้วเหรอ?” น้ำเสียงของภวินท์เข้มงวดขึ้นมา “เธอต้องรู้ว่า เมือง J ไม่ใช่ต่างประเทศ ถ้าเธอป่าวประกาศออกไปเมื่อไหร่ ตั้งแต่นี้ต่อไปมีเรื่องผิดพลาดอะไรเธอต้องรับผิดชอบกับผลที่ตามมาทั้งหมด”
ญาธิดาจ้องมองเขาด้วยสีหน้าที่เย็นชา “หมายความว่าไง? จะมีอะไรผิดพลาด? ภวินท์ หรือว่านายจะทำอะไร?”
ภวินท์พูดด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนว่า “ฉันไม่ทำอะไรหรอก แต่เธอแน่ใจเหรอว่าหลังจากนี้จะใช้ชีวิตอยู่กับธีทัตตลอดไป? เธอประกาศความสัมพันธ์กับเขาที่เมือง J เท่ากับว่าเธอถอยอีกไม่ได้แล้ว คนในครอบครัวของเธอ ครอบครัวของเธอ สังคมทั้งหมดของเธอก็จะ……”
ภวินท์ขมวดคิ้วหยุดพูดไปสักพัก แล้วกลืนคำพูดที่กำลังจะพูดกลับเข้าไปใหม่
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “นายว่ามาต่อสิ”
ภวินท์แววตาเป็นประกาย มองดูเธออย่างลึกซึ้ง “สรุปคือ ฉันขอให้เธอคิดดีๆ”
คำพูดนี้เป็นเหมือนหนามที่ทิ่มแทงเข้าหัวใจของญาธิดา ความรู้สึกไม่สบายใจผุดขึ้นมาในจิตใจ ทำให้เธอตัวสั่นคลอนอย่างควบคุมไม่ได้
ไม่รู้ว่าทำไม ได้ยินเขาพูดแบบนี้ เธอก็รู้สึกตัวหนาวไปหมด ราวกับว่าจะเหมือนกับที่เขาพูดจริงๆ เธอจะถอยหลังอีกไม่ได้ จนตรอกไม่มีทางให้ไปอีก……
แต่ความสัมพันธ์ห้าหกปีมานี้ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าธีทัตเป็นคนที่เชื่อถือได้ เขาใส่ใจและทำให้คนรู้สึกสบายใจ
เธอครุ่นคิดสักพัก แล้วเงยหน้าขึ้นมองภวินท์ จากนั้นก็ถามเสียงทุ้มต่ำว่า “นายรู้อะไรมาใช่ไหม?”
ภวินท์ส่ายหน้า “ฉันแค่รู้สึกว่าธีทัตไม่ใช่ผู้ชายที่เชื่อถือได้ เธอเชื่อใจเขาแล้วไม่กลัวว่าต่อไปจะเกิดเรื่องอะไรที่ทำให้เธอผิดหวังเหรอ?”
ญาธิดาหัวใจเต้นตึกตัก ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่สบายใจ แต่ภายนอกเธอก็ทำตัวเข้มแข็งเอาไว้ เธอส่ายหน้าแล้วพูดอย่างเด็ดขาดว่า “เขาเชื่อถือได้ สำหรับฉันแล้ว เขาเชื่อถือได้มากกว่านายด้วยซ้ำ”
พูดจบ เธอก็รีบกลับหลังหันโดยไม่กล้าสบตากับภวินท์อีก
เธอรีบเดินออกจากร้านเครื่องประดับ คำพูดของภวินท์ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว