ดวงใจภวินท์ - บทที่618 เกิดลังเลกะทันหัน
บทที่618 เกิดลังเลกะทันหัน
ครั้งนี้ตกลงที่จะจัดงานแต่งที่เมือง J กับธีทัตเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องจริงเหรอ?
ญาธิดาเดินไปข้างหน้าพลางถามคำถามกับตัวเองในใจ คิดไปคิดมา เธอก็ยังไม่ได้คำตอบอยู่ดี
เธอเดินไปถึงเขตพักผ่อนของห้างโดยไม่รู้ตัว ทางนั้นมีโซฟาอยู่หลายตัว เธอเดินไปทางนั้นแล้วนั่งลงอย่างไม่ได้สติ เพิ่งมารู้ตัวทีหลังว่าลืมอัญมณีไว้ที่ร้าน
เธอรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กำลังจะโทรหาอัญมณี แต่กลับมีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นเสียก่อน “ธิดา เธอมาอยู่นี่ได้ยังไง? ฉันตามหาเธอตั้งนาน!”
เธอหันไปก็เห็นอัญมณีหน้านิ่วคิ้วขมวดเดินมาทางนี้ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามทำใจสงบแล้วพูดเสียงเบาว่า “เมื่อกี้หาเธอไม่เจอ ฉันเลยออกมาดู……”
ว่าแล้ว สายตาของเธอก็มองไปยังถุงในมือของอัญมณี เป็นแบรนด์ร้านเครื่องประดับที่พวกเขาไปเดินเที่ยวเมื่อกี้
ญาธิดาถามเสียงเบาว่า “เธอซื้อเครื่องประดับมาเหรอ?”
พอเธอถามแบบนี้ อัญมรีก็ถึงรู้สึกตัวขึ้นมา เธอรีบยกถุงในมือขึ้นมาดูแล้วพูดว่า “ไม่ใช่หรอก เธอเดาสิว่ามาจากไหน? เมื่อกี้แพรวาลากฉันไปไม่ใช่เหรอ? ไม่คิดว่าสุดท้ายหล่อนจะเอาของให้ฉัน บอกว่าภวินท์ให้เธอเป็นของขวัญแต่งงาน ฉันไม่กล้ารับไว้ แต่หล่อนบอกว่าเป็นน้ำใจของภวินท์ ให้ฉันฝากเอาให้เธอหน่อย ถ้าเธอไม่รับไว้ก็โยนทิ้งเลยก็ได้ เธอว่าแปลกไหม?”
ได้ยินดังนี้แล้ว ญาธิดาก็มองถุงในมือด้วยแววตาที่มืดมนลง หัวใจหนักอึ้งเหมือนถูกก้อนหินกดทับไว้ หนักจนเธอไม่สามารถหายใจได้
อัญมณีเห็นเธอไม่พูดไม่จา ก็ถามต่ออีกว่า “จะจัดการยังไงดี?”
ญาธิดาเงียบไปสักพัก แล้วพูดเสียงเบาว่า “เก็บไว้เถอะ ฉันค่อยเอาเงินให้เขา”
อัญมณีพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ พวกเราจะไม่เอาเปรียบเขา!”
ว่าแล้ว สีหน้าของอัญมณีจากมืดมนก็ร่าเริงขึ้นมา เธอจับมือญาธิดาแล้วพูดว่า “เอาล่ะ! พวกเราไปเดินเที่ยวทางนั้นกันเถอะ! ฉันได้ยินมาว่าตรงนั้นเพิ่งเปิดร้านใหม่ มีสินค้าใหม่ๆขายเยอะเลย!”
ญาธิดาพยักหน้าตกลง แต่ในใจกลับไม่อยากเดินเที่ยวต่อแล้ว ในสมองของเธอยังคงมีคำพูดของภวินท์ลอยขึ้นมาไม่หยุด ในใจก็รู้สึกไม่สบายมากขึ้นไปอีก
เดินไปถึงแกรนด์ บูเลอวาร์ด ญาธิดาก็เหนื่อยและเมื่อยไปทั้งตัวตัวเหนื่อยแล้วหัวใจยังเหนื่อยอีก แต่คุณปภาวีเห็นเธอกลับมาแล้วก็รีบลากเธอไปข้างๆอย่างลับๆล่อๆ
ดูออกว่าคุณปภาวีมีอะไรจะพูด ญาธิดาจึงถามไปตรงๆ “แม่คะ มีอะไรหรือเปล่า?”
คุณปภาวีลังเลสักพัก แล้วพูดว่า “ที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่……”
เธอพูดครึ่งประโยค ทันใดนั้นก็เงียบไม่พูดอะไรอีก
ญาธิดาขมวดคิ้วแล้วถามว่า “แม่คะ มีอะไรก็พูดมาตามตรงเถอะค่ะ”
“คือว่าตั๋วเครื่องบินไปยุโรปที่พ่อกับแม่จองไว้ เหลืออีกไม่ถึงสัปดาห์ก็ต้องไปแล้ว แต่แม่กับพ่อตกลงกันไว้ว่า เข้าร่วมงานแต่งของลูกก่อนค่อยไป กลัวว่าเวลาจะชนกันจนมาไม่ทันน่ะ!”
ญาธิดาสงสัย “จองตั๋วเครื่องบินไว้แล้ว?”
คุณปภาวีพยักหน้า “ตอนที่พ่อของลูกไปแลกรางวัลมา ทางนั้นก็ยืนยันเวลาเที่ยวของพวกเราแล้ว เลยจองตั๋วเครื่องบินไว้เลย ตอนนั้นพวกเราไม่คิดว่าพวกลูกจะจัดงานแต่ง ดังนั้น……”
คำพูดด้านหลังถึงแม้คุณปภาวีจะไม่พูด ญาธิดาก็รู้ดี ถ้าพูดก่อนหน้านี้ เธอก็คงไม่รู้สึกอะไร แต่วันนี้หลังจากที่เจอภวินท์ในห้างแล้ว ความคิดที่จะจัดงานแต่งกับธีทัตก็เกิดไม่แน่ใจขึ้นมา
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึกๆ เงียบไม่พูดอะไร
คุณปภาวีเห็นท่าทางหนักใจของเธอ ก็เดาออกว่าเธอต้องมีเรื่องหนักใจอยู่แน่ จึงถามเสียงเบาว่า “หรือว่าเวลาชนกันเหรอ? แต่งานแต่งของลูกกับธีทัตใกล้จะมาถึงแล้วไม่ใช่เหรอ ไหนว่าจะจัดอีกไม่กี่วันนี้ไง!”
ญาธิดาขมวดคิ้วแน่นเป็นปม แล้วพูดว่า “แต่ตอนนี้หนูรู้สึกลังเลน่ะค่ะ”
คุณปภาวีงุนงงไปหมด “ลังเลอะไร? พวกลูกตอนนี้ยังดีๆกันอยู่ เรื่องแบบนี้จัดยิ่งเร็วยิ่งดีนะ!”
“แม่คะ หนูไม่แน่ใจค่ะ” ญาธิดาพูดอย่างหนักใจ “หนูรู้สึกว่างานแต่งครั้งนี้อย่าจัดเร็วจะดีกว่าค่ะ……”
คุณปภาวีรีบข่มเสียงเบาแล้วพูดว่า “ลูกอย่าไปพูดที่ไหนเชียวนะ เดี๋ยวทัตได้ยินแล้วจะเสียใจเอาได้! ช่วงนี้ใช่ว่าลูกจะไม่รู้สักหน่อย เขาเอาแต่ยุ่งเรื่องงานแต่งครั้งนี้เลยนะ!”
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่ได้พูดอะไร ในสมองวุ่นวายไปหมด
ในขณะเดียวกัน ทางเลี้ยวตรงบันไดกำลังมีคนยืนอยู่ตรงนั้น
ธีทัตหลังพิงผนัง ยืนตรงราวกับรูปปั้น เขายืนอยู่ตรงนั้นนานแล้ว เมื่อกี้ที่คุณปภาวีกับญาธิดาพูดกันเขาก็ได้ยินทั้งหมดแล้วด้วย
สีหน้าของเขาเย็นชามากขึ้น มือที่จับภาพออกแบบงานแต่งไว้ก็กำแน่นขึ้น กำแน่นจนยับโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าของเขาเยือกเย็น แววตาประกายไปด้วยความเย็นชา สักพักหลังจากนั้น เขาก็กลับหลังหันเดินขึ้นบันไดกลับเข้าห้องหนังสือเงียบๆ
หลังจากปิดประตูแล้ว เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างไม่ลังเล กดโทรออกไป ไม่นาน ทางนั้นก็มีเสียงของหมอกดังขึ้น “สวัสดีครับ คุณธีทัต”
“หมอก ไปสืบสิว่าวันนี้ญาธิดากับอันอันไปเที่ยวที่ไหน? เจอใครมาบ้าง?”
“ครับ ผมจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้”
โทรศัพท์ตัดสายไป มือเขากำโทรศัพท์ไว้แน่น สายตาจ้องมองหน้าต่างนิ่ง แต่กลับไม่ได้โฟกัสตรงนั้น
ผ่านไปสักพัก โทรศัพท์ก็มีแสงประกายและสั่นขึ้น เขานิ่งสักพักแล้วกดรับสาย ทางนั้นมีเสียงของหมอกดังขึ้น “สืบได้แล้วครับ วันนี้คุณธิดากับคุณอันอันไปเที่ยวที่ร้านเครื่องประดับร้านหนึ่งเจอกับภวินท์และแพรวา แพรวาเป็นดาราสาวที่ติดตามเขาเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้ออกจากวงการแล้ว……”
หลังจากที่ได้ยินชื่อของ “ภวินท์” ธีทัตก็ไม่ได้ฟังอะไรอีกเลย เขากำโทรศัพท์ไว้แน่น ข้อต่อขาวขึ้น แววตาเย็นชาและมืดมนลง ไม่มีความโกรธเลยสักนิด
ที่แท้ วันนี้ญาธิดาก็ไปเจอภวินท์มานี่เอง ถึงว่าเธอถึงได้เปลี่ยนความคิดกะทันหัน……
ธีทัตกัดฟันกรอด ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมาในใจ เขาลังเลสักพัก ฟังรายงานจากหมอกก็โมโหอย่างมาก เขารีบตัดสายโทรศัพท์แล้วโยนออกไปข้างๆ
ไม่ได้ เขาจะนิ่งเฉยแบบนี้ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว!
และในตอนนี้เอง ด้านนอกประตูก็มีเสียงหัวเราะของเด็กๆดังขึ้น เขาขมวดคิ้วมีความคิดหนึ่งปรากฏขึ้น ในใจคิดวิธีการออกแล้ว
อารมณ์หดหู่ของญาธิดาดำเนินต่อไปจนถึงเวลาก่อนทานมื้อค่ำ ยังดีที่มีเสียงหัวเราะและเตะบอลวิ่งไปมาในสนาม เธอเห็นพวกเขาแล้วความไม่สบายใจก็ผ่อนคลายลงไปอย่างไม่รู้ตัว
ตอนนี้เอง คุณปภาวีก็ปรากฏขึ้นที่หน้าประตู แล้วเรียกเธอ “ธิดา มานี่สิ มาดูเค้กที่แม่ทำสิว่าเป็นยังไงบ้าง?”
ญาธิดาตอบรับ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เล็กหน้าประตู เดินกลับเข้าไปในบ้าน ยังไม่ทันได้เข้าห้องครัว เธอก็ได้ยินหอมของเนยและนมโชยออกมา เดินเข้าไปแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แม่ไปเรียนการทำขนมมาเมื่อไหร่คะ?”
คุณปภาวียิ้มแล้วพูดว่า “เรียนเองน่ะ”
ผ่านไปสักพัก เธอกำลังจะช่วยคุณปภาวีทำเนย แต่นอกห้องครัวกลับมีเสียงเท้าเดินดังขึ้น ลูกแฝดวิ่งพุ่งเข้ามาโดยไม่สนใจอะไร
ญาธิดากำลังจะให้พวกเขาลองชิมเค้กเมื่อกี้ดู แต่เธอเพิ่งหันหน้าไปมอง ก็เห็นสีหน้าของเขาตกตะลึง ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา เรียกเธออย่างน่าสงสารว่า “แม่……”
ญาธิดาใจสั่น รีบถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“พี่เณรศีลเขา……เขาวิ่งออกไป หายไปแล้ว!”