ดวงใจภวินท์ - บทที่64 ยืนยันแหล่งไต
ภวินท์หยุดนิ่งไปแป๊บนึง แล้วตอบรับไปว่า “ได้เลยครับ เราว่างแล้วละก็จะกลับไปเยี่ยมท่านย่านะครับ”
พูดปลอบใจไปหลายคำ เขาถึงจะวางสายไป
เก็บมือถือ ภวินท์มองไปดูญาธิดาที่อยู่ข้างๆ เอ่ยปากถามว่า“คุณย่าให้เรากลับไปตอนเย็น คุณอยากกลับไปไหม?”
ญาธิดาพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “ได้สิคะ”
คุณย่าดีกับเธอ เธอเข้าใจดี บังเอิญตอนเย็นไม่มีธุระด้วย จึงกลับไปเยี่ยมคุณยายดีกว่า
ทานข้าวเที่ยงเสร็จ พวกเขาเก็บของแบบง่ายๆ แล้วก็นั่งรถกลับไปที่บ้านเก่าเลย
รถเพิ่งถึงหน้าบ้าน ญาธิดาลงจากรถปุ๊บก็เห็นคุณย่าถูกคนพยุงไว้ และโบกมือให้กับพวกเขา
ญาธิดาอบอุ่นใจ และก้าวขาเข้าไปทันที
คุณย่าเห็นเธอปุ๊บ ยื่นมือจับมือเธอไว้ และถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ “เป็นไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง?”
ญาธิดายิ้มแย้มอย่างเชื่อฟัง “ไข้ลดแล้วค่ะ ทานยาตรวเวลาแค่ไม่กี่วันก็หายแล้วค่ะ”
คุณย่าได้ยิน พยักหน้าด้วยการยิ้มแย้ม จูงเธอเข้าไปในห้องรับแขก
ภวินท์เดินอยู่ข้างหลังพวกเขา สีหน้าก็ผ่อนคลายโดยไม่รู้ตัว
“ธิดา ครั้งนี้ย่าตั้งใจให้คนใช้เลือกยาบำรุงหลายกล่องเลยนะ”
ญาธิดาเพึ่งนั่งลงไปบนโซฟา ก็ได้ยินคุณย่าพูดเช่นนี้ ทั้งอยากหัวเราะและอยากร้องไห้ “คุณย่าคะไม่ต้องหรอกค่ะ ยายำรุงพวกนั้นท่านเก็บไว้ทานเองเถอะค่ะหนูยังสาว ร่างกายแข็งแรง ไม่จำเป็นต้องใช้พวกนั้นหรอกค่ะ”
“พูดแบบนี้ไม่ได้นะลูก ผู้หญิงเราจำเป็นต้องบำรุงนะ ต้องเตรียมพร้อมเพื่อมีลูก”
ญาธิดาอึ้งไปเลย เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของคุณย่าที่ซ่อนความหมายอันลึกซึ้ง ถึงเข้าใจคำพูดของเธอ
คุณย่ายื่นมือจับมือของญาธิดาไว้ และพูดอย่างหัวเราะเบาๆว่า“เขินอะไรเล่า?ผู้หญิงล้วนต้องผ่านเรื่องพวกนี้ หนูกับวินต้องสู้ๆนะลูก ให้ยายแก่คนนี้สามารถอุ้มหลานเร็วๆนะลูก”
ญาธิดาได้ยิน เงยหน้าขึ้นมามองภวินท์ที่นั่งอยู่ตรงหน้า แก้มเหมือนไฟเผาเช่นนั้น เผาไหม้มาถึงหลังหูเลยทีเดียว
สังเกตเห็นสีหน้าของเธอ คุณย่าหันไปมองภวินท์ ตั้งใจทำเป็นเข้มงวดและพูดว่า “ตาวิน ที่ย่าพูดเมื่อกี้นายได้ยินหรือยัง ให้ย่าได้อุ้มหลานเร็วๆนะ”
ภวินท์ขมวดคิ้ว ในที่สุดก็ยกรอยยิ้มขึ้นมา และเอ่ยปากตอบรับไว้ “คุณย่าสบายใจได้เลยครับ”
ได้ยินเขาตอบรับไว้แล้ว คุณย่าหัวเราะชอบใจใหญ่เลย จับมือของญาธิดาเอาไว้แน่นๆ “ธิดา การสืบทอดของตระกูลเราก็ต้องพึ่งหนูแล้วนะ”
มองดูสายตาที่คาดหวังของคนแก่ ญาธิดาพยักหน้าแบบเขินอาย
พูดคุยเรื่องชีวิตประจำวันกับคุณย่าเยอะมาก เห็นว่าเวลาสายแล้ว คุณย่าถึงสั่งคนใช้ให้เอากล่องยาบำรุงมาเป็นกอง แล้วยัดเข้าไปในท้ายรถให้หมด ถึงปล่อยตัวไป
คุณย่ายื่นมือจับมือของญาธิดาไว้ และพูดอย่างหัวเราะเบาๆว่า“เขินอะไรเล่า?ผู้หญิงล้วนต้องผ่านเรื่องพวกนี้ หนูกับวินต้องสู้ๆนะลูก ให้ยายแก่คนนี้สามารถอุ้มหลานเร็วๆนะลูก”
ญาธิดานั่งอยู่บนรถ ในหัวสมองล้วนมีแต่เรื่องสืบทอดตระกูลที่คุณนย่าสั่งเธอนั้นโผล่ออกมา
รถขับอยู่ ขับตั้งครึ่งค่อนวันแล้ว ภวินท์เห็นผู้หญิงข้างๆไม่พูดไม่จาเลยแม้แต่คำเดียว เพียงแต่เบลอๆ เขาอดที่จะกระแอมเสียงไม่ได้ “คิดอะไรอยู่หล่ะ”
ญาธิดาได้สติกลับมาอย่างกะทันหัน แก้มแดงๆ “ไม่…ไม่มีอะไร”
ยิ่งเธอเป็นแบบนี้ และยิ่งอยากปกปิดมากเท่าไหร่กลับยิ่งเผยให้เห็นมากเท่าไหร่ ภวินท์เห็นแก้มแดงๆของเธอ พลิกริมฝีปากแล้วพูดว่า “ที่คุณย่าพูดเหล่านั้น คุณอย่าจริงจังไปเลยนะ ผมไม่บีบบังคับคุณหรอก”
ถึงแม้เขาไม่พูดให้ชัดเจน แต่ว่าญาธิดาฟังออกว่าเขาหมายถึงอะไร แน่นอนเป็นเรื่องที่มีลูกอยู่แล้ว
ญาธิดากัดริมฝีปาก จับมือแน่นมากขึ้น เอ่ยปากด้วยการรวบรวมความกล้า “ความจริง ฉันไม่ได้ปฏิเสธหรอกนะ”
ตอนนี้เธอเป็นลูกสะใภ้บ้านตระกูลสถิรานนท์ และเป็นภรรยาของเขา แน่นอนอยู่แล้วว่ามีหน้าที่สืบทอดตระกูล
ภวินท์จับพวงมาลัยแน่นขึ้นทันที สีหน้าเข้มงวดอย่างกะทันหัน ตั้งครึ่งค่อนวันก็ไม่ตอบรับ
ญาธิดาไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติของภวินท์ เกิดจากความเขิน ก็เลยไม่ขอพูดเรื่องนี้ต่อ
หลังจากสักครู่ มือถือของภวินท์ได้ดังขึ้น รถเชื่อมกับบรูทูธ ญาธิดามองดูแว๊บหนึ่ง มองเห็นหน้าจอหมายเหตุด้วยตัวหนังสือใหญ่ตัว p
ภวินท์เหลือบมองแว็บหนึ่ง และยกมือวางสายไปเลยโดยตรง
ญาธิดามีความสงสัยเล็กน้อย เอ่ยปากถามว่า “ทำไมไม่รับสายคะ?”
ภวินท์พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เรื่องงาน ขับรถเสร็จค่อยว่ากัน ไม่เป็นไรหรอก”
ญาธิดาได้ยิน พยักหน้า และไม่ใส่ใจอีกเลย
กลับไปถึงบ้าน ภวินท์ลงจากรถ หลังจากให้คุณป้าจันทร์เอายาบำรุงไป เขายืนอยู่ที่หน้าบ้าน หยิบมือถือขึ้นมา แล้วโทรศัพท์
“Peter มีอะไรหรือ?”
“คุณภวินท์ครับ ธีมของเราได้เตรียมพร้อมแล้วนะครับ ขอแค่อาการของคุณหนูนิวราโอเค เราสามารถทำการผ่าตัดทุกเวลา ผู้บริจาคไตของคุณทางโน้นจำเป็นต้องยืนยันให้เร็วที่สุด ป้องกันอุบัติเหตุอย่างอื่นเกิดขึ้น”
ภวินท์ได้ยิน จับมือถือแน่นมากขึ้น หลังจากนิ่งไปหลายวินาที เขาเอ่ยปากตอบรับไปว่า “ได้เลย ทางนี้คอนเฟิร์มเมื่อไหร่ ฉันจะแจ้งคุณเอง”
“ตกลง”
ภวินท์วางสายไป เหมือนมีก้อนหินใหญ่ๆทับไว้ที่หน้าอก หดหู่ใจเล็กน้อย
เขาก้าวขาเดินเข้าไปประตู เข้าไปปุ๊บก็เห็นป้าจันทร์กับญาธิดากำลังเก็บกล่องยาบำรุงอยู่
ไม่รู้ว่าป้าจันทร์พูดอะไรไป แก้มญาธิดาแดงก่ำอย่างยิ้มแย้ม หน้าตาเขินอายอย่างน่ารัก
มองดูเธอไกลๆ ภวินท์ยิ่งสับสนวุ่นวายใจ
ตอนนั้นเขากับเธอตกลงแต่งงานกัน ล้วนหวังผลประโยชน์อย่างอื่น ถึงแม้ว่าในใจก็รู้ดีว่าช้าเร็วก็ต้องบอกความจริงนี้ให้กับเธอก็ตาม แต่ว่าเผชิญหน้ากับเธอแบบนี้ เขากลับพูดไม่ออก
ญาธิดาเห็นภวินท์ยืนอยู่ตรงหน้าประตูตั้งนานแล้ว อดที่จะเข้าไปถามไม่ได้ว่า “มีอะไรหรือคะ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ”
ภวินท์เลิกขมวดคิ้ว และพูดด้วยเสียงเบาๆว่า “ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
ญาธิดาเอียงหัว และยิ้มหวานให้กับเขา “พูดเถอะค่ะ”
มองดูรอยยิ้มที่จริงใจงของผู้หญิงตรงหน้า ภวินท์ขยับริมฝีปากกลับไม่รู้ควรเอ่ยปากยังไง
ตั้งนานแล้วเห็นผู้ชายไม่เอ่ยปาก ส่วนสีหน้ายิ่งดูแย่ขึ้น ญาธิดาขมวดคิ้ว แล้วถามด้วยความเป็นห่วงว่า “มีอะไรหรือคะ คุณไม่สบายรึเปล่า ”
พูดอยู่ เธอยื่นมือออกมาโดยธรรมชาติ จับหน้าผากของเขาดู จับอุณหภูมิไปด้วย และพืมพำไปด้วย “คงไม่ใช่เป็นหวัดอีกคนหรอกนะ”
ภวินท์ร้อนระอุกลางหน้าผาก ยื่นมือจากจิตใต้สำนึก จับมือของเธอเอาไว้
ญาธิดาตื่นตกใจ “เป็น…เป็นอะไรคะ”
ภวินท์เงียบไปแป๊บนึง และพูดเสียงเบาไปว่า “ไม่เป็นไร”
ญาธิดาประหลาดใจเล็กน้อย แล้วก็ไม่ได้ถามอีกเลย นึกถึงคำพูดของเขาเมื่อสักครู่ เธอถามด้วยเสียงเบาๆว่า “เมื่อสักครู่คุณอยากพูดอะไรเหรอ ”
ภวินท์เก็บความเย็นชาในแววตาเข้าไป และเอ่ยปากพูดว่า “ไม่มีอะไร คือว่าอีกไม่กี่วันก็คือวันครบรอบการก่อตั้งบริษัทแล้ว ผู้บริหารชั้นสูงตัดสินใจให้วันหยุดกับทุกคนสองวัน ไปoutingกัน”
พูดถึงวันก่อตั้งปุ๊บ ญาธิดาก็นึกถึงบรรยากาศวันครบรอบการก่อตั้งบริษัทศเมื่อสองปีก่อน outingครั้งนั้นก็มีปีนเขาอะไรนั่นนี่ ซึ่งก็ไม่ได้สนุกอะไร แต่กลับปวดหลังและเมื่อยขามากกว่า
ญาธิดาก้มตาและบ่นเสียงเบา “คงไม่ใช่ปีนเขาอีกแล้วนะ”
“ไม่ใช่ ไปlakeside manorที่ชานเมือง”
“lakeside manor?”ญาธิดาได้ยิน เกิดสนใจขึ้นมาทันที เธอตื่นเต้นเล็กน้อย จับแขนของภวินท์อย่างไม่รู้ตัว “คุณจะไปพร้อมกับเรามั๊ยคะ?”