ดวงใจภวินท์ - บทที่801 สามีและเพื่อน
น้ำเสียงรู้สึกผิดของนิธิศดังขึ้นจากปลายสาย “ธิดาครับ ผมต้องขอโทษจริงๆ ผมเคยบอกต้นกล้าแล้วว่าอย่าไปรบกวนชีวิตของคุณ แต่เด็กนี้มัน……”
“ไม่เป็นไรค่ะ ต้นกล้าแกเป็นแค่เด็ก ฉันเข้าใจได้” พอนึกถึงต้นกล้า ญาธิดาก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“ธิดาครับ ผมต้องขอโทษเรื่องงานเลี้ยงแวดวงการเมืองครั้งที่แล้วด้วยนะครับ ถ้าผมรู้ว่าคุณภวินท์จะมาร่วมงานด้วย ผมคงจะไม่ทำให้คุณต้องลำบากใจ”
ญาธิดารีบตอบกลับว่า “ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องครั้งที่แล้วเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ คุณไม่ต้องนำมาใส่ใจก็ได้ค่ะ”
ก่อนที่ทั้งสองจะคุยกันต่อ เสียงร้องไห้ของต้นกล้าก็ดังขึ้นทันที น้ำเสียงเต็ฒไปด้วยความน่าสงสาร “ทานข้าว……กับคุณแม่……”
“ต้นกล้าเป็นเด็กดีนะ คุณพ่อทานข้าวเป็นเพื่อนดีไหมครับ?” นิธิศทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงต่ำ แต่ผลก็ดูจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เสียงร้องไห้ของต้นกล้าดังขึ้นเรื่อยๆ
ญาธิดาเพิ่งจะดึงสติกลับมาได้ แล้วถามผ่านโทรศัพท์เสียงเบาว่า “ต้นกล้าอยากทานข้าวกับฉันเหรอคะ?”
“ครับ” นิธิศตอบด้วยน้ำเสียงที่ลำบากใจเล็กน้อย “หลังจากที่คุณออกจากบ้านครั้งก่อน ต้นกล้าก็เอาแต่พูดถึงเรื่องนี้ไม่หยุดเลยครับ ผมกลัวว่าแกจะไปรบกวนคุณ ก็เลยเกลี้ยกล่อมแกมาโดยตลอด ไม่คิดว่าจะทำให้คุณลำบากมากกว่าเดิม”
เสียงร้องไห้ของต้นกล้าดังขึ้นข้างหูเป็นระยะ ญาธิดาใจอ่อนลงเพราะเสียงที่น่าสงสารนี้ ครุ่นคิดอยู่สักพัก “ฉันตกลงเรื่องทานข้าวกับต้นกล้าที่ร้านอาหารนอกบ้านค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ ธิดา เรื่องนี้เดี๋ยวผมจัดการเองครับ” นิธิศกล่าวปฏิเสธ แต่น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด
ญาธิดาได้ยินเช่นนั้นก็หลุบตาต่ำ น้ำเสียงมั่นใจกว่าเดิม “เอาเป็นว่าตกลงตามนี้นะคะ เดี๋ยวฉันจะส่งโลเคชั่นร้านอาหารให้คุณ ฉันจะรีบไปอย่างเร็วที่สุดค่ะ”
นิธิศถอนหายใจออกมาอย่างรู้สึกโล่งอก น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความดีใจที่ไม่สามารถปิดบังได้ “ไม่รู้ว่าต้องขอบคุณยังไงเลยนะครับ”
หลังจากที่กดวางสาย เขาก็รีบโผเข้ากอดต้นกล้า รอยยิ้มบนหน้าของเขาแอบทำให้รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “ต้นกล้าทำดีมากครับ มีเพียงวิธีนี้ที่จะทำให้คุณแม่อยู่กับลูกไปตลอด เข้าใจไหม?”
ต้นกล้าพยักหน้าด้วยสีหน้าที่งุนงง มือเล็กๆ ของเขานวดแขนที่ถูกพ่อตัวเองหยิกจนแดงอย่างไม่รู้ตัว
เพียงไม่นานญาธิดาก็ได้รับข้อความโลเคชั่นที่นิธิศส่งมา เธอเดินมาถึงหน้าประตูแล้วหยุดลงครุ่นคิดอยู่สักพัก สุดท้ายก็ชวนอีธานและเอลล่ามาด้วย แม่ลูกทั้งสามตรงดิ่งไปยังจุดหมายปลายทาง
ภายในร้านอาหารที่สว่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเปิดเพลงคลอเสียงเบา กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกกุหลาบที่วางอยู่บนโต๊ะอาหาร ยิ่งทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารนั้นดูคลุมเครือมากกว่าเดิม
ไม่ว่าจะมองยังไง ที่นี่ก็ดูเหมือนที่เดทกันของหนุ่มสาว มากกว่าร้านอาหารสำหรับครอบครัว
พอเห็นญาธิดาผลักประตูแล้วเดินเข้ามา ดวงของเขาสว่างขึ้น แต่ตามมาด้วยอีธานและเอลล่าที่รีบวิ่งมาทางต้นกล้า ความสว่างในดวงตาของเขาก็ดับลงเล็กน้อย สุดท้ายก็ถูกแทนที่ด้วยความเย็นชา
ที่เขาพาต้นกล้ามาด้วยนั้นเพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ค่อยยังชั่วที่ต้นกล้ายังไม่รู้เรื่องอะไร จะอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่ได้ต่างกันมาก แต่ตอนนี้ดันมีเด็กเพิ่มมาอีกสองคน แล้วยังเป็นลูกของภวินท์อีก ในใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ
ญาธิดาก้าวเดินมาถึงโต๊ะอย่างสง่า เธอมองโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กๆ รอยยิ้มบางๆ เผยขึ้นบนหน้าของเธอ
นิธิศมองสีหน้าของเธอถึงจะรู้ตัวในทันที ก่อนจะโบกมือเรียกพนักงานอย่างอ่อนโยน “ที่นั่งที่จองก่อนหน้านี้นั่งไม่พอ รบกวนคุณช่วยย้ายให้หน่อยครับ”
ร้านอาหารร้านนี้เป็นร้านขึ้นชื่อในเมือง Jเพราะบรรยากาศที่โรแมนติก คนที่จะมาทานร้านนี้ดีต้องเป็นคู่หนุ่มสาวที่พอจะมีฐานะประมาณหนึ่ง หรือพวกเสี่ยที่มาเลี้ยงสาว เป็นครั้งแรกที่เห็นมีคนมาทานอาหารกันเป็นครอบครัว
พนักงานที่เห็นความอ่อนโยนของ ก็หน้าแดงขึ้น เธอโน้มตัวลงแล้วพูดอย่างสุภาพว่า “สวัสดีค่ะคุณผู้ชาย โต๊ะส่วนใหญ่ของร้านอาหารเรานั้นจะเป็นสำหรับสี่ท่าน หากคุณไม่ถือสา สามารถไปห้องวีไอพีได้นะคะ”
บรรยากาศในห้องวีไอพีจะดีเท่าตรงนี้ได้ยังไง!
เมื่อนิธิศคิดเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้ไม่ชอบเด็กที่หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มทั้งสองที่อยู่ตรงหน้า แต่เพราะญาธิดาอยู่ตรงนี้ เขาก็ไม่มีสิทธิ์พูดอะไรมาก ทำได้เพียงยอมที่จะย้ายไปยังห้องวีไอพีไปด้วยกัน
อีธานและเอลล่าที่ใช้ชีวิตอยู่อเมริกาตั้งแต่เด็ก ไม่ค่อยชอบอาหารตะวันตกที่หรูหราสักเท่าไหร่ แต่กลับชอบอาหารจานหลักๆ ในประเทศมากกว่า ดังนั้นพวกเขาทานได้ไม่กี่คำก็พาต้นกล้าไปเล่นที่โซฟาด้านข้าง เสียงหัวเราะของเด็กๆ ดังขึ้นในห้องเป็นระยะๆ
นิธิศพยายามระงับอารมณ์ที่หงุดหงิดและโมโหของเขา และเติมน้ำตักอาหารให้ญาธิดาอย่างใส่ใจ พอมองจากที่ไกลๆ ก็จะทำให้รู้สึกว่าพวกเขาเหมือนคู่รักที่กำลังอินเลิฟกันอยู่
อีธานปรายมองไปที่ทั้งสองเหมือนกำลังจับผิด และความไม่สบายใจก็ค่อยๆ ผุดขึ้นในใจเขา
ไม่รู้ว่าทำไม เขาถึงได้รู้สึกว่าพ่อของต้นกล้าไม่ได้นิสัยดีเหมือนที่เขาแสดงออกมาต่อหน้าทุกคนอยู่ตลอด แล้วเขายังรู้สึกว่าพ่อของต้นกล้าให้ความรู้สึกที่ไม่ดีต่อเขา อีกอย่างที่พ่อกับแม่ของเขาทะเลาะกันครั้งที่แล้ว ก็น่าจะเพราะคุณลุงคนนี้
เมื่อมองไปที่ใบหน้ามุมข้างของนิธิศที่แสดงความอ่อนโยนออกมานั้น แสงในตาของอีธานก็ค่อยๆ หมองลง
ญาธิดาเงยหน้าขึ้นแล้วสบตาเข้ากับนิธิศพอดี ทั้งสองรีบคุยเรื่องงานกันในทันที อาหารในมือหลุดออกจากมือ แล้วตกลงไปในซุปที่อยู่ในจานอย่างไม่ได้ตั้งใจ
น้ำมันกระเด็นใส่ตัวและริมฝีปากของเธอ บนใบหน้าเธอเผยรอยยิ้มที่เป็นการขอโทษ เธอกำลังเตรียมจะเช็กมุมปาก นิธิศก็ยื่นมือออกมาเสียแล้ว เขาใช้นิ้วโป้งแล้วเช็ดมุมปากของเธอเบาๆ
เธออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย ปรายตามองเขาแวบหนึ่ง ร่างกายของเธอหนีเขาอย่างไม่มีสาเหตุ บรรยากาศที่กลมกลืนกันในตอนแรกน่าอึดอัดขึ้นเพราะการกระทำที่เล็กน้อยของเธอ
เธออดไม่ได้ที่จะกระแอม แล้วพูดช้าๆ ว่า “คุณนิดรอสักครู่นะคะ ฉันขอตัวไปจัดการเสื้อผ้าก่อนค่ะ”
อีธานที่อยู่บนโซฟาด้านข้างมองสถานการณ์ตรงหน้าอยู่ตลอด ความเย็นชาที่ไม่เข้ากับอายุแวบเข้ามาในดวงตาของเขา แต่เพียงชั่วพริบตา รอยยิ้มไร้เดียงสาที่เด็กควรจะมีปรากฏบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง
เขานั่งลงบนที่นั่งเดิมของญาธิดา แล้วเล่นมีดกับซ่อมในมือเหมือนเด็กซน ก่อนที่น้ำเสียงเด็กน้อยจะดังขึ้นช้าๆ “คุณลุงดีกับคุณแม่มากเลยนะครับ”
สายตาที่รังเกียจแวบผ่านดวงตาของนิธิศ เพียงไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่สุภาพว่า “ลุงเป็นเพื่อนสนิทกับคุณแม่ ก็ต้องดูแลคุณแม่ดีๆ สิครับ”
อีธานตอบ “ครับ” ลากเสียงยาว และพูดกับตัวเองว่า “ผมว่าคุณพ่อดีกับคุณแม่มากกว่า นี่คงเป็นความแตกต่างระหว่างสามีกับเพื่อนสินะครับ”
นิธิศที่ถือมีดกับซ่อมเอาไว้กระชับปลายนิ้วเล็กน้อย เขามองสีหน้าที่ใสซื่อของอีธาน เขาไม่สามารถที่จะแยกแยะได้ว่าคำพูดของเด็กคนนี้คือคำพูดที่ใสซื่อไร้เดียงสาหรือมีความหมายอื่นแฝงกันแน่
“อีธานครับ ความสัมพันธ์ระหว่างคุณพ่อกับคุณแม่ดีมากเลยเหรอครับ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
อีธานเลิกคิ้ว มองเขาด้วยสีหน้าที่สงสัย “แน่นอนสิครับ คุณลุงคงไม่ได้ยั่วยุความสัมพันธ์ของคุณพ่อกับคุณแม่ แล้วใช้โอกาสนี้จีบคุณแม่หรอกใช่ไหมครับ”
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงล่ะครับ?” นิธิศกระตุกมุมปาก น้ำเสียงเย็นชาลงอย่างเห็นได้ชัด “หนูชอบคุณพ่อมากกว่า หรือว่าคุณมากกว่าครับ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของอีธานฉีกกว้าง มองไปที่เขาแล้วถามด้วยน้ำเสียงของเด็กว่า “ผมชอบใครสำคัญเหรอครับ? ความจริงแล้วคุณแม่ชอบใครก็ไม่สำคัญ……”