ดวงใจภวินท์ - บทที่810 รักเขามากกว่ารักตัวเอง
ญาธิดากลับบ้านมาแล้วอาบน้ำอุ่นอย่างสบายเนื้อสบายตัว หลังจากที่ล้างคราบเลือดและฝุ่นออกจากร่างกาย แล้วสวมชุดเดรสยาวพอดีตัว ก่อนจะถือกระเป๋าแล้วออกจากบ้าน
ภวินท์เอนหัวมองเธอ พูดด้วยน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์ “คุณจะออกไปข้างนอกเหรอ?”
“อื้ม” เธอตอบแล้วหยุดไปสักพัก แล้วอธิบายอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “ไม่ได้เข้าบริษัทนานแล้ว ต้องเข้าไปดูหน่อย”
ภวินท์ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เป็นอีธานที่ก้าวไปข้างหน้าแล้วกอดขาเธอเอาไว้ ดูเป็นเด็กดีอย่างมาก “ผมไปด้วยได้ไหมครับ เพราะสถานการณ์ที่รุนแรงล่าสุดนี้ คอมพิวเตอร์คุณแม่ก็ต้องเพิ่มระบบความปลอดภัยนะครับ”
ญาธิดารีบตอบอย่างรวดเร็ว “ครั้งหน้าดีไหมครับ วันนี้คุณแม่มีเรื่องสำคัญมากจริงๆ ครับ”
อีธานและภวินท์ส่งสายตาหากัน ถึงจะยอมปล่อยมือออกจากญาธิดา หลังจากที่เธอแอบถอนหายใจอย่างรู้สึกโล่งก็เดินออกจากบ้านไป และตรงดิ่งไปยังห้างสรรพสินค้าแถวบ้านเพื่อเลือกของขวัญวันเกิดให้ต้นกล้า นิธิศนั้นก็ได้ส่งโลเคชั่นให้เธอแล้วเรียบร้อย
เมื่อเห็นเธออยู่ถนนฝั่งตรงข้ามคนเดียวจากหน้าต่าง นิธิศที่อยู่ในร้านอาหารก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ
เพียงไม่นานญาธิดาก็ผลักประตูเข้ามา เมื่อเห็นว่าบนโต๊ะอาหารมีเขาแค่คนเดียวก็อดไม่ได้ที่จะชะงักเล็กน้อย “ต้นกล้าล่ะคะ”
นิธิศเชิญให้เธอนั่งลงอย่างสุภาพ ก่อนจะผลักแว่นกรอบทองของเขาแล้วอธิบายว่า “แกกำลังเรียนฟื้นฟูการพูดอยู่ที่โรงเรียนครับ เดี๋ยวคนขับรถจะส่งแกมาครับ เราสั่งอาหารกันก่อนเถอะครับ”
เธอไม่ได้สงสัยอะไรมาก แค่ได้ยินว่าตอนนี้ต้นกล้ายอมให้ความร่วมมือในการฟื้นฟู ในใจก็รู้สึกดีใจมากแล้ว “ตอนนี้ต้นกล้าให้ความร่วมมือในการรักษาแล้วเหรอคะ?”
นิธิศพยักหน้า “ธิดาครับ ทั้งหมดนี้เพราะคุณเลยครับ ถ้าไม่ได้คุณคอยกล่อมต้นกล้ามาโดยตลอด เขาคงไม่ยอมรักษาเร็วขนาดนี้หรอกครับ”
“ฉันก็ดีใจที่ช่วยคุณได้ค่ะ”
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกันอยู่นั้น พนักงานก็นำอาหารเสิร์ฟลงบนโต๊ะญาธิดานั้นคุยเรื่องที่เป็นห่วงต้นกล้าไม่หยุด ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะหยิบตะเกียบเลยแม้แต่น้อย
นิธิศพยายามเร่งเธออยู่หลายครั้ง แต่เธอก็ยิ้มแล้วส่ายมือ “เจ้าของวันเกิดตัวน้อยยังไม่มาเลยค่ะ เราจะทานกันก่อนได้ยังไงคะ”
เสียงจุกขวดไวน์ที่ถูกเปิดออกดังก้องอยู่ในหูของทั้งสอง พนักงานวางขวดไวน์ลงกลางโต๊ะด้วยความเคารพ
เมื่อเธอได้ยินเสียงนั้นหัวใจของเธอก็ค้างไปครู่หนึ่ง สายตาของเธอหยุดลงบนอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ ราวกับว่าเพิ่งจะรู้ตัว เธอขมวดคิ้วเข้าหากันตามสัญชาตญาณ
อาหารบนโต๊ะไม่มีจานไหนที่เหมาะสำหรับเด็กเลยจานเดียว แม้แต่ส้อมก็มีเพียงสองชุดเท่านั้น
งานเลี้ยงวันเกิดที่ลูกตัวเองมาเป็นข้ออ้างนั้น นิธิศไม่ได้เตรียมแม้แต่เค้กสักก้อนเดียว แต่กลับเปิดไวน์ที่ราคาไม่เบาขวดหนึ่ง
นิธิศดูออกว่าสีหน้าของเธอไม่ค่อยดีนัก จึงรีบแก้ตัวว่า “อีกสองชั่วโมงกว่าต้นกล้าจะมาถึงครับ ข้าวมื้อนี้ผมเลี้ยงคุณเพียงคนเดียวครับ ขอบคุณที่ปฏิบัติต่อต้นกล้าเหมือนลูกของตัวเองครับ”
“คุณนิดคะ มันดูไม่ค่อยเหมาะสมที่จะใช้คำว่าปฏิบัติเหมือนลูกแท้ๆ” ริมฝีปากบางเธอเม้มเบา ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
สายตาของเขามุ่งมั่นพลางเอากล่องผ้ากำมะหยี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้ออย่างจริงจัง ก่อนจะเปิดออกแล้วดันไปตรงหน้าของเธอ “ผมรู้ว่าสถานการณ์แบบนี้มันกะทันหันเกินสำหรับคุณ แต่ผมหวังว่าคุณจะให้โอกาสผมสักครั้งหนึ่งนะครับ”
สีหน้าบนหน้าของญาธิดาหยุดนิ่ง แล้วตะลึงกับการกระทำของเขา
“ธิดาครับ ต้นกล้าต้องการแม่คนหนึ่ง และต้องการครอบครัวที่มีแม่ สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นคือความรู้สึกของผมที่มีต่อคุณนั้นเป็นเรื่องจริง หวังว่าคุณจะพิจารณาข้อเสนอของผมอย่างจริงจังนะครับ”
นิธิศหยิบแหวนแต่งงานแกมา พลางคว้าแขนของเธอ ระหว่างที่พูดนั้นก็เตรียมที่จะสวมแหวนบนนิ้วนางของเธอ โดยไม่สนใจแหวนแต่งงานที่แวววาวบนนิ้วนางของเธอเลยแม้แต่น้อย
“นิธิศ!” ญาธิดาพยายามดึงมือกลับอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตบหน้าเขาอย่างแรง น้ำเสียงของเธอโกรธเล็กน้อย
“ต้นกล้าจะได้พบกับแม่ที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างจริงใจแน่นอนค่ะ ส่วนคุณก็จะได้พบกับคนที่คุณชอบจริงๆ สิ่งสำคัญที่สุดคือฉันแต่งงานแล้วค่ะ”
“แต่งได้ก็หย่าได้นิครับ คุณกับภวินท์ก็เพิ่งแต่งงานกันใหม่ ผมไม่ถือเรื่องนี้หรอกครับ และผมจะปฏิบัติต่ออีธานเอลล่าเหมือนลูกแท้ๆ เลยครับ” น้ำเสียงของนิธิศจริงจังเป็นอย่างมาก
หัวใจของญาธิดารู้สึกหนาวสั่น รู้สึกว่าบุคลิกของชายตรงหน้าไม่ได้ธรรมดาเหมือนที่เธอเห็น ภายนอกนั้นดูดีมาก แต่ภายในคือรับทรุดโทรม แล้วยังให้ความรู้สึกแย่กับเธอ
“ฉันแคร์……” เธอตอบกลับอย่างเฉยเมย “นิธิศ ที่ฉันกับภวินท์หย่ากันเพราะเรื่องที่เข้าใจผิดค่ะ ที่กลับมาแต่งงานกันใหม่เพราะฉันไม่เคยลืมเขา ฉันรักเขามากกว่ารักตัวเองด้วยซ้ำค่ะ”
คำพูดของญาธิดาเหมือนกะละมังน้ำเย็นที่ใส่น้ำแข็งจนเต็ม แล้วราดลงบนตัวนิธิศอย่างไม่ปรานี ทำให้เขารู้สึกหนาวตั้งแต่หัวจรดเท้า
เธอยอมรับด้วยปากตัวเองว่าคนที่รักคือภวินท์!
สายตาที่เกลียดชังของเขาปรากฏขึ้น ยังไม่ทันได้มองเธอชัดๆ ก็ไร้เงาเสียแล้ว
ญาธิดาไม่รอให้เขาได้พูดอะไรก็รีบลุกขึ้น แล้ววางของขวัญที่เตรียมให้ต้นกล้าวางลงบนโต๊ะ เธอแสดงสีหน้าที่ระแวดระวังและห่างเหิน “นี่คือของขวัญที่ฉันเตรียมให้ต้นกล้า ขอตัวก่อนค่ะ”
เธอรีบก้าวเท้าเดินออกจากร้านอาหาร แล้วรีบเข้าไปนั่งในรถแท็กซี่ข้างทาง “พี่คะ ไปเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ค่ะ…….”
เสียงของเธอที่ดังออกมาจากลำโพงคอมพิวเตอร์ ทำให้อีธานถอนหายใจออกมาเบาๆ
ตั้งแต่ที่คุณแม่ยืนคุยกับคุณพ่อที่ห้องโถง ท่าทางก็เริ่มมีพิรุธแล้ว เขาสงสัยว่าคุณแม่ของเขาเตรียมทำเรื่องโง่ๆ แล้วก็กลัวว่าคุณแม่จะตกอยู่ในอันตราย เลยใช้โอกาสที่กอดขาเธอนั้น ยัดอุปกรณ์สื่อสารเข้าในกระเป๋าของคุณแม่
อุปกรณ์สื่อสารเครื่องนี้มีระบบบันทึกเสียงได้ด้วย มีขนาดเท่ากระดุม เป็นการออกแบบใหม่ของozoneที่ลุงจรณ์ส่งมาให้เขา
ตอนแรกกะว่าจะเขียนรายงานการทดลงใช้งานส่งกลับozone แต่ไม่คิดว่าจะได้ใช้ครั้งแรกในสถานการณ์แบบนี้ ดูเหมือนว่าแพนที่จะเขียนรายงานนั้นคงต้องล่มแล้ว
เขาอดไม่ได้ที่จะพึมพำเสียงเบา “ค่อยยังชั่วที่ไปเจอลุงนิธิศแค่นั้น น่ากลัวแต่ปลอดภัย”
อย่างน้อยก็ปลอดภัยกว่าไปเจอนพเก้าอะไรนั่น
“น่ากลัวแต่ปลอดภัย?” น้ำเสียงเยือกเย็นดังขึ้นช้าๆ มาจากทางบันได พร้อมกับอาการหึงอย่างแรง “ปฏิบัติเหมือนลูกแท้ๆ?”
อีธานได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่รู้สึกแผ่นหลังเย็นวาบ บิดคอที่เคล็ดเพื่อมองต้นตอของเสียง
ในมือของภวินท์ถือแก้วอเมริกาโน่ที่เพิ่งบดเสร็จสดๆ ยืนพิงอยู่ที่ราวจับบันได สีหน้าเข้มจนน่ากลัว
อีธานคลี่รอยยิ้มที่ไร้เดียงสาออกมาอย่างเขินอาย จงใจทำเสียงน่ารักแล้วถามว่า “ทำไมวันนี้คุณพ่อลงมาบดกาแฟเองครับ?”
“เพื่อคำพูดประโยคเมื่อกี้” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา
อีธานเดินไปหน้าเขาสองก้าว “คุณพ่อที่ได้ยินสิ่งที่คุณแม่พูดเมื่อสักครู่แล้วใช่ไหมครับ มีอะไรให้หึงอีกครับ อีกอย่างคุณพ่อมีผมและเอลล่าที่คอยปกป้องคุณแม่ ไม่มีชายคนไหนเข้าใกล้ได้แน่นอนครับ”
“นิธิศไม่คู่ควร” ไม่คู่ควรให้เขาหึง……
พอนึกถึงสิ่งที่ญาธิดาพูดเมื่อครู่นี้ สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ อ่อนลง “ในเมื่อไม่ได้ทำเรื่องที่ผิด ทำไมก่อนออกไปเมื่อกี้ไม่บอกตรงๆ”
ข้ออ้างไร้สาระอย่างการเข้าออฟฟิศ แม้แต่อีธานยังไม่เชื่อ นับประสาอะไรกับภวินท์ที่ไอคิวสูงกว่า
“เพราะคุณพ่อใจแคบแล้วก็ขี้น้อยใจไงครับ”
เอลล่าขยี้ตาที่เพิ่งตื่นแล้วนั่งอยู่บนบันไดชั้นบนสุด เพราะเพิ่งตื่นนอน เสียงของเธอจึงดูอ้อนมากกว่าเดิม “หนูได้ยินแค่ครึ่งหนึ่ง ตอนนี้สงสัยรายละเอียดเรื่องซุบซิบนี้เป็นอย่างมาก พี่รีบเล่าเร็ว!”