ดั่งรักบันดาล - บทที่ 515 เสียชีวิตแล้วจริงๆเหรอ?
อวี้กู้เป่ยนึกไม่ถึงว่าเธอจะถามคำถามนี้ แววตาของเขาแข็งกร้าวขึ้นมาชั่วขณะ ในมือของเขาที่กำลังเล่นปากกาลิมิเต็ดอิดิชั่น เขาตอบด้วยความใจเย็นว่า : “คุณหร่วนมาหาผมถึงที่นี่ เพื่อถามคำถามนี้เหรอครับ?”
หร่วนซือซือสีหน้าเข้มขรึมขึ้นมา จ้องมองเขาตาไม่กระพริบ เธอสูดลมหายใจเข้า พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่ว่า : “สถานการณ์ของอวี้อี่มั่ว คุณเป็นน้องชายคุณก็คงจะเข้าใจดีที่สุด คำพูดที่พูดกันอินเทอร์เน็ตฉันไม่ได้เชื่อ เพราะฉะนั้นวันนี้ฉันจึงมาถามคุณด้วยตัวเอง”
เมื่อได้ยินแล้ว อวี้กู้เป่ยก็หัวเราะขึ้นมา เขาส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “งั้นเธอก็คงจะมองฉันผิดไปแล้วล่ะ ใช่ว่าเธอจะไม่รู้เสียหน่อย ว่าความสัมพันธ์ของฉันกับพี่ชายไม่ได้ดีขนาดนั้น ข้อความที่ปรากฎอยู่บนอินเทอร์เน็ตก็คือเรื่องจริง”
หร่วนซือซือเห็นว่าเขามีทิฐิสูงมาก ไม่ยอมพูดออกมาง่ายๆอย่างแน่นอน เธอเองเตรียมใจมาในระดับหนึ่ง ค่อยๆยิ้มขึ้นมุมปาก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “งั้นคุณคงจะดีใจไม่ใช่น้อยเลยมั้ง?”
เวลานั้นเอง สีหน้าของอวี้กู้เป่ยก็เปลี่ยนเป็นเข้มขรึมและเย็นชาขึ้นมา เขามองตรงไปยังผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้า ด้วยสายตาที่เย็นยะเยือก
พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “งานศพพี่ชายของผมเพิ่งจัดไปไม่นานนี้เอง คุณมาพูดแบบนี้ต่อหน้าผม จะไม่ค่อยเหมาะหรือเปล่า?”
“เหรอคะ?”
หร่วนซือซือหัวเราะขึ้นแบบไม่แคร์ มองสีหน้าของเขาที่เปลี่ยนเร็วเสียยิ่งกว่าอะไรดี ในใจของเธอเย็นชาขึ้นมาเท่าตัว
จากบทสนทนาเพียงไม่กี่คำ เธอก็สามารถรับรู้ได้ทันทีว่า อวี้กู้เป่ยคนนี้ไม่ธรรมดา ถึงแม้ว่าจะเป็นคนอื่นที่ทำ เธอก็คงจะหาคำตอบอะไรจากเขาไม่ได้แน่นอน
เธอเลือกที่จะไม่สนใจสีหน้าของเขา ลุกขึ้นช้าๆ แล้วหันไปจ้องมองเขา พร้อมกับทิ้งท้ายว่า : “ขอโทษที่รบกวนนะคะ”
พูดจบ ไม่รอให้อวี้กู้เป่ยได้ตอบอะไร เธอก็หมุนตัวสาวเท้าเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงโซฟาทอดสายตามองแผ่นหลังของเธอ ที่กำลังเดินออกไปด้วยแววตาที่เครียดขรึม แสงที่มืดมนต์ปรากฏบนดวงตาของเขา
เพียงครู่ เดียวก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามมาด้วยเช่าจัวที่เปิดประตูเข้ามา เขารีบมารายงานความคืบหน้า : “คุณชาย* หร่วนซือซือไปแล้วครับ”
ได้ยินชื่อนี้แล้ว อวี้กู้เป่ยก็ขมวดคิ้วขึ้น
ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้สำคัญอะไรเลย เป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งที่เขาใช้หลอกล่ออวี้อี่มั่วก็เท่านั้น เขาไม่เคยคิดเลยแม้แต่ครั้งเดียวว่าเธอเป็นคู่ต่อสู้ แต่ว่าเมื่อครู่นี้ เค้าสัมผัสได้ถึงความตื่นตัวมัดระวังและไวต่อความรู้สึกบนตัวเธอ คำพูดน้ำเสียงเต็มไปด้วยการหยั่งเชิงนั้น
นี่ถือว่าอันตราย เขาแค่ต้องการจัดการกับความโกรธเกลียดทั้งหมดของเขาที่มีต่ออวี้อี่มั่วเท่านั้น ไม่ต้องการที่จะมาเสียเวลากับคนอื่น แต่เห็นได้ชัดว่า ตอนนี้หร่วนซือซือเองก็แสบไม่เบาเลย
ยังไม่ทันที่เขาจะได้สติ เช่าจัวที่ยืนอยู่ข้างๆก็รายงานต่อว่า : “คุณชาย เมื่อกี้ก่อนที่หร่วนซือซือจะจากไป เธอยังมาถามผมถึงสุสานที่ฝังศพของอวี้อี่มั่วครับ”
อวี้กู้เป่ยเลิกคิ้วขึ้นสูง : “นายได้บอกเธอไปหรือเปล่า?”
“บอกครับ” เช่าจัวเริ่มอธิบายว่า : “เรื่องนี้ไม่ได้เป็นความลับ มีอยูในข้อมูลข่าวที่นำเสนอไปเมื่อเร็วๆนี้ ผมเกรงว่าถ้าไม่พูดจะยิ่งเป็นการทำให้เธอสงสัยมากขึ้น เพราะงั้นผมจึงบอกเธอไปครับ”
อวี้กู้เป่ยพยักหน้าเบาๆ พูดขึ้นน้ำเสียงเรียบเฉยว่า : “ไม่เป็นไร ไม่ต้องตื่นตูมไป”
เช่าจัวนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงถามขึ้นว่า : “จะให้ผมสั่งคนไปจับตาเธอไว้รึเปล่าครับ?”
อวี้กู้เป่ยพูดขึ้นอย่างไม่ลังเลว่า : “จับตาดูไว้”
ถ้าหาศพของอวี้อี่มั่วไม่เจอ ก็ไม่สามารถฟันธงร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ เพราะฉะนั้นนาทีสุดท้าย เขาต้องเฝ้าระวังให้ดี จะต้องไม่มีอะไรผิดพลาดอย่างเด็ดขาด!
หร่วนซือซือผู้หญิงคนนี้ ถึงแม้ว่าเธอจะฉลาด แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้
เมื่อคิดแบบนี้แล้ว ความหนักอึ้งของอวี้กู้เป่ยก็ผ่อนคลายลง เขาวางมือกดลงบนคีย์ลัดของโทรศัพท์ เรียกทุกแผนกมาประชุม
หลังจากหร่วนซือซือออกจากบริษัทอวี้กรุ๊ปแล้ว เธอก็เรียกแท็กซี่คันหนึ่ง เพื่อไปยังสุสานซีหลิงของเขตเจียงโจว ที่นี่ใกล้กับแม่น้ำเจียงโจว ฮวงจุ้ยที่ดีเยี่ยม แต่ละตารางเมตรแพงหูฉี่ ไม่ใช่ที่ที่คนธรรมดาที่จะสามารถซื้อได้
หร่วนซือซือได้อ่านตามข่าวต่างๆ และเคยเห็นหัวข้อตามกระทู้ ว่าอวี้กู้เป่ยได้จัดงานศพของอวี้อี่มั่วได้ยิ่งใหญ่และสมเกียรติ พากันยกย่องเขาที่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทายาทคนที่สองของตระกูลอวี้
พอหร่วนซือซือมาคิดๆแล้ว ก็รู้สึกว่าน่าขำสิ้นดี
เธอขึ้นแท็กซี่ไป มองรถที่กำลังแล่นตรงไปข้างหน้า ไม่รู้ทำไม จู่ๆในใจก็รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เธอพยายามทบทวนคำพูดพวกนั้นของอวี้กู้เป่ย ที่นั่งอยู่ในห้องประธานบริษัทอวี้กรุ๊ป ในใจก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้ว่าเธอจะดูออกว่าอวี้กู้เป่ยกำลังโกหก แต่ดูจากท่าทีของเขาแล้ว เขาค่อนข้างใจเย็นและมีความมั่นใจมาก จึงทำให้เธอรู้สึกกังวลใจขึ้นมาแปลกๆ
วันนี้ที่อวี้กู้เป่ยนั่งอยู่บนที่นั่งของประธานบริษัทอวี้กรุ๊ป ดูเหมือนเขาจะไม่ห่วงอะไรเลย ถ้าเกิดอวี้อี่มั่วยังไม่ตายจริงๆ เขาไม่แสดงท่าทีแบบนี้ออกมาแน่นอน
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาฆ่าอวี้อี่มั่วไปแล้ว ก็อาจจะเป็นเพราะเขากำจุดอ่อนของอวี้อี่มั่วอยู่ในมือ ที่สามารถควบคุมความเป็นความตายของอวี้อี่มั่วได้ ราวกับลูกไก่ในกำมือก็ไม่เชิง
เมื่อคิดแบบนี้แล้ว หร่วนซือซือก็รู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งหัวใจอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งใกล้ถึงที่สุสานซีหลิง หัวใจของเธอก็ยิ่งกระวนกระวายเพิ่มมากขึ้น
ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมากับอวี้อี่มั่วจริงๆ……
เมื่อความคิดนี้แว๊บเข้ามาอยู่ในหัว เธอก็รู้สึกเจ็บแปล๊บข้างในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก น้ำตาเอ่อล้นขึ้นมา อย่างไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเธอได้สติ ก็รีบเช็ดน้ำตาออก สูดลมหายใจเข้า พยายามข่มความรู้สึกของตัวเองไว้
ทำไมเธอถึงคิดมากขนาดนี้? เมื่อก่อนเธอเกลียดอวี้อี่มั่วอย่างชัดเจน แต่ทำไมตอนนี้ เพียงแค่คิดว่าเขาจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ก็รู้สึกทรมานใจอย่างบอกไม่ถูก
หรือเป็นเพราะเขาคือพ่อแท้ๆของเซินเซินและซาซาเหรอ? เธอถึงได้คิดมากและเป็นกังวลใจขนาดนี้
ผ่านไปครู่หนึ่ง ข้างในก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมา ราวกับว่าเธอกำลังสะกดจิตใจของตัวเองอยู่ หยุดอารมณ์ที่ซับซ้อนของตัวเอง ความหนักอึ้งภายในหัวใจจึงค่อยๆทุเลาขึ้น
“เราไปเยี่ยมญาติที่สุสานคนเดียวเหรอ!”
บางทีมันอาจจะเป็นการเดินทางที่ยาวนานและน่าเบื่อ คนขับรถจึงเอ่ยปากพูดคุยกับเธอ เขาเงยหน้ามองเธอจากกระจกหลัง
หร่วนซือซือได้ยินแล้ว ก็ตอบกลับเสียงเบา
“เฮ้ย!” คุณลุงคนขับรถมองหน้าของเธอ ที่สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง เขาถอนหายใจพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ชีวิตคนเรามีทั้งเศร้าและสุข เกิดแก่เจ็บตาย เป็นเรื่องธรรมดาที่หนีไม่พ้น เราเองต้องยอมรับให้ได้นะ”
เมื่อได้ยินคุณลุงคนขับรถพูดมาแบบนี้ หร่วนซือซือเองไม่ได้ตอบอะไร จนเมื่อใกล้จะถึงสุสานซีหลิงแล้ว คุณลุงคนขับรถจึงพูดกับเธอว่า : “สุสานที่นี่ ราคาแพงยิ่งกว่าทองเสียอีก”
หร่วนซือซือนิ่งเงียบไป เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงถามขึ้นว่า : “คุณลุงรู้ราคาของสุสานที่นี่หรือเปล่าคะ?”
คุณลุงคนขับรถหัวเราะพร้อมกับพยักหน้า เขาชูนิ้วขึ้นมาเพื่อบอกราคากับเธอ : “ราคานี้”
เมื่อหร่วนซือซือเห็นแล้ว ก็รู้สึกแปลกใจมาก ตอนแรกเธอไม่รู้ราคาเลย รู้เพียงแต่ว่าที่นี่ราคาแพง แต่ไม่คิดว่ามันจะแพงขนาดนี้ เกินกว่าที่เธอจินตนาการไว้มาก
พูดจบพวกเขาก็ถึงจุดหมายปลายทาง คุณลุงคนขับรถจอดรถที่หน้าปากทางเข้าสุสาน หร่วนซือซือกล่าวขอบคุณแล้ว เธอก็เปิดประตูลงรถไป
เมื่อถึงทางเข้าสุสานแล้ว เธอมองไปยังประตูใหญ่ของสุสาน สูดลมหายใจเข้า พร้อมกับรวบรวมความกล้าแล้วเดินเข้าไป
เมื่อเข้าไปแล้ว ก่อนอื่นต้องเซ็นชื่อลงนามก่อน เมื่อเขียนเสร็จแล้ว ก็หยิบช่อดอกเบญจมาศสีขาวขึ้นมาหนึ่งช่อ แล้วเดินเข้าไปด้านใน
ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ตั้งแต่เธอเดินเข้ามาในสุสาน ก็รู้สึกตึงเครียดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ในหัวของเธอคิดเพียงแต่ว่าอวี้อี่มั่วอาจจะไม่อยู่แล้วจริงๆ หัวใจของเธอก็เหมือนกับถูกมีดที่แสนคมแทงเข้าตรงกลางใจ เจ็บปวดทรมาน จนแทบจะทนไม่ไหว