ดั่งรักบันดาล - บทที่ 571 ลิปสติกเลอะ
หร่วนซือซือหันไปมองเขา รู้สึกกระวนกระวายใจ แก้มของเธอก็เริ่มแดงขึ้นมา : “ไม่มีอะไรน่าดูหรอก!”
อวี้อี่มั่วจ้องมองไปที่ใบหน้าของเธอ : “หน้าเธอแดงขนาดนี้ คงไม่ได้คิดว่าฉันจะทำอะไรหรอกใช่ไหม?”
หร่วนซือซือรีบเฉไฉทันที : “อะไรเหรอ?”
“งั้นก็ให้ฉันดูหน่อย สบายใจได้ ฉันไม่คิดจะทำอะไรกับเธอหรอก”
คำพูดของเขาคลุมเครือไม่ชัดเจน ทำให้หร่วนซือซือทั้งอายทั้งโกรธ แก้มของเธอแดงไปหมด กำลังจะรีบอธิบายกับเขา จู่ๆเขาก็จับมือทั้งสองของเธอไว้ หลังจากนั้นก็ยื่นมืออีกข้างที่ว่างอยู่เข้าปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเธอ
แผลโดนน้ำร้อนลวกที่หลังเริ่มตกสะเก็ด บางส่วนหลุดลอกไปแล้ว เหลือบางส่วนที่ยังไม่แห้ง รอบแผลเป็นรอยขาวบริเวณกว้าง พอดูแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
“เพี๊ยะ!”
หร่วนซือซือสะบัดมือของเขาทิ้ง พร้อมกับตบแขนเขาไปทันที เธอทั้งโกรธทั้งโมโห : “อวี้อี่มั่ว คุณทำอะไรน่ะ!”
มีอย่างที่ไหนจู่ๆก็มาถอดเสื้อผ้าผู้หญิง!
อวี้อี่มั่วเงยหน้า สีหน้าเข้มขรึมขึ้นมา เขาจ้องเธอตาไม่กระพริบ : “นี่คือแผลที่เธอพูดว่าหายแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
น้ำเสียงของเขาไม่ได้เพียงแค่เย็นชา แต่ปนความเคืองเข้ามาด้วย
เมื่อโดนเขามองแบบนี้ เธอก็แบนเป็นลูกบอลรั่ว จนไม่กล้าที่จะฉุนต่อ
เธอเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วอ้าปากกำลังจะพูด แต่จู่ๆอวี้อี่มั่วก็ขยับเข้ามาใกล้ พูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า : “แผลบนร่างกายยังไม่ทันจะหาย เธอยังกล้าไปดื่มเหล้าเหรอ หร่วนซือซือ ใครให้ท้ายเธอจนได้ใจขนาดนี้?”
หร่วนซือซือรีบปฏิเสธเฉไฉทันที : “ฉันไปดื่มเหล้าตอนไหนกัน?”
“ค็อกเทลมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ นึกว่าจะหลอกฉันได้เหรอ?”
พูดจบ ก็ยื่นมือมาเชยคางเธอขึ้น เขาที่สูงกว่าเหมือนกำลังคร่อมเธอไว้
เวลานั้นเอง หร่วนซือซือเหมือนจะหายใจไม่ออก ร่างกายของเธอเกร็งไปหมด มองเขาพี่ค่อยๆใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หัวใจเธอเต้นโครมครามราวกับจะทะลุออกมาให้ได้
จมูกของทั้งคู่ห่างกันเพียงหนึ่งเซนติเมตร อวี้อี่มั่วเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงค่อยๆขยับออกไป สายตาจ้องไปที่เธอด้วยความเย็นชา : “เบสของน้ำสับปะรดก็คือวอดก้า ดื่มกับผู้ชายสี่คน เธอกะจะมอมเหล้าตัวเองเหรอ?”
หร่วนซือซืออึ้งไปชั่วขณะ เขารู้ถึงขนาดว่าเธอดื่มเหล้าอะไร และยังรู้ว่าเธอดื่มเหล้ากับผู้ชายสี่คน เธอทั้งอึ้งทั้งประหลาดใจ : “คุณ……คุณรู้ได้ยังไง?”
อวี้อี่มั่วแววตาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง จ้องเธอแล้วพูดว่า : “แผลบนตัวเธอยังตกสะเก็ดไม่หมด ไปดื่มเหล้าตอนนี้ แอลกอฮอล์จะทำให้มันบวมแดงขึ้นมาอีกครั้ง กระตุ้นการสร้างเม็ดสีเพิ่มมากขึ้น เธออยากจะนั่งจ้องแผลนี้ไปตลอดชีวิตเลยหรือไง?”
หร่วนซือซือพูดอะไรไม่ออก เพราะรู้ว่าตัวเองทำไม่ถูก แต่จู่ๆก็นึกขึ้นมาได้ เธอมีรอยแผลเป็นแล้วมันเกี่ยวอะไรกับอวี้อี่มั่วล่ะ?
เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว เธอก็บ่นพึมพำออกมา : “ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณซะหน่อย……”
อวี้อี่มั่วขมวดคิ้วแน่น : “เพราะฉะนั้นเธอก็เลยไปดื่มเหล้ากับผู้ชายคนอื่นเหรอ?”
เมื่อกี้ตอนที่เขาอยู่ในรถ มองเห็นหร่วนซือซือและผู้ชายตัวสูงคนนั้นอยู่ด้วยกันอย่างชัดเจน ก่อนที่ทั้งคู่จะจากกัน ยังเห็นเขาคนนั้นใส่อะไรบางอย่างในมือของเธอ วินาทีนั้น ข้างในใจของเขาเดือดจนแทบจะทนไม่ไหว
อวี้อี่มั่วรู้สึกเยือกเย็นทั้งหัวใจ คำพูดที่พูดออกมาก็เยือกเย็นไปด้วย : “ไม่กลัวซ่งเย้อันกับเซินเซินซาซาจะมาเห็นเข้าเหรอ?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ สีหน้าของหร่วนซือซือก็เปลี่ยนไปทันที
เธอมองไปที่อวี้อี่มั่ว จู่ๆในใจก็รู้สึกฉุนขึ้นมา : “ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับคุณ!”
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางที่เคืองขุ่นของเธอบวกกับคำพูดคำจาของเธอแล้ว ยิ่งทำให้เขาโมโหเข้าไปใหญ่
เขาดึงเธอเข้ามาใกล้ แขนใหญ่ของเขาโอบรอบเอวของเธอไว้แน่น จนเธอขยับไม่ได้ : “ทำไมจะไม่เกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ?”
ระยะห่างระหว่างทั้งคู่ใกล้กันมาก ทั้งสองสบตากัน ได้กลิ่นซึ่งกันและกัน บวกกับร่างกายที่โมโหจนร้อนระอุ บรรยากาศของห้องโดยสารในรถก็เกิดความคลุมเครือขึ้นมาทันที
ดวงตาเต็มไปด้วยเปลวไฟแห่งความโกรธเคือง หร่วนซือซือมองเห็นสิ่งนั้นในแววตาของเขา อวี้อี่มั่วเองก็เห็นว่าเธอกำลังโมโห ทั้งคู่ทั้งโกรธทั้งโมโห จ้องตากันไม่กระพริบ
หนึ่งวินาที สองวินาที และสามวินาที……ความโกรธค่อยๆเปลี่ยนเป็นความรู้สึกแปลกๆ ที่อธิบายไม่ได้ ทันใดนั้นเอง อวี้อี่มั่วเงยหน้าขึ้น จู่ๆก็มากัดริมฝีปากของเธอ
เหมือนพายุซัด เหมือนฝนกระหน่ำลงมา หลังจากที่ท้องฟ้าอึมครึมตั้งนานแล้ว เหมือนทุกอย่างพังทลายลงมา
หร่วนซือซือที่โดนต้อนจนจนมุม เธอที่ผลักก็ผลักไม่ออก หลบก็หลบไม่ได้ ทั้งโกรธทั้งอยากร้องไห้ สุดท้ายจึงกัดริมฝีปากของเขากลับ ได้ยินเสียงอุทานของเขาอยู่ครู่หนึ่ง เธอจึงกัดให้แรงขึ้นอีกครั้ง
ที่น่าแปลกก็คือ ร่างกายกลับอ่อนระทวย และเริ่มร้อนขึ้น เริ่มไม่มีแรง เหมือนเธอกำลังโดนครอบงำ รุนแรง สิ่งเร้าที่มาบรรจบกันในวังวนด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาด เขากอดเธอแน่น เธอที่กำลังจมดิ่งลงไป มือที่ก่อนหน้านี้กำลังผลักอกของเขาออก กลับค่อยๆโอบคอของเขาช้าๆ ครางเสียงเบาออดอ้อนเป็นแมวน้อย
หลังรถมีเงาของทั้งคู่ที่กำลังกอดกัน เริ่มตั้งแต่ต่อต้านและปฏิเสธ จนมาตอนหลังกลับถูกดึงดูดเข้าหากัน เหมือนขั้วลบกับขั้วบวกที่มาเจอกัน ทิ้งความกังวลใจทั้งหมดไป สนใจแต่เพียงสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้เท่านั้น……
จู่ๆก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ทำลายแรงเสน่หาและความหลงใหลนี้ลง ทั้งสองที่กำลังกอดกันแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียว หร่วนซือซือเริ่มผลักเขาออกก่อน เธอขยับจนตัวชิดประตู หายใจหอบไม่เป็นจังหวะมองไปที่เขา
อวี้อี่มั่วกำลังหัวเสียกับเสียงมือถือที่ดังขึ้น กำลังจะกดปิดเสียง ก็เห็นหร่วนซือซือรีบคว้ากระเป๋าของเธอ พร้อมกับเปิดประตูลงจากรถไปอย่างรีบร้อน
เธอรีบจนไม่ทันได้ปิดประตูรถ ก็วิ่งตัวปริวทันที
เมื่ออวี้อี่มั่วหันไปมอง ก็เห็นเพียงแผ่นหลังของเธอที่หนีไปอย่างรีบร้อน เขาที่โมโหอยู่ แต่จู่ๆก็ยิ้มขึ้นมาแทน
ริมฝีปากที่ยังร้อน จมูกพี่ยังได้กลิ่นหอมอ่อนๆ อวี้อี่มั่วยกมือขึ้นมาลูบริมฝีปากของเขาเบาๆ แววตาลุ่มลึก
เพียงครู่เดียว เขาก็หรี่ตาลง หันไปมองการ์ดที่วางอยู่บนเบาะ จ้องอย่างเพ่งเล็ง สีหน้าของเขาก็จริงจังขึ้นมาทันที
เขายื่นมือไปหยิบมันขึ้นมาดู เป็นนามบัตรสีขาวเรียบง่ายใบหนึ่ง ด้านบนถูกพิมพ์ชื่อและเบอร์โทรไว้
เฉินจุน
อวี้อี่มั่วจ้องนามบัตรใบนั้นอยู่พักใหญ่ เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ ค่อยๆเก็บนามบัตรใบนั้นลง
ถ้าเขาทายไม่ผิด นี่น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นยื่นให้หร่วนซือซือ เมื่อกี้เขาได้ยินเสี่ยวเหมิงพูดว่าผู้ชายคนนั้นเป็นเพื่อนของพี่หลง เขาจะช่วยหร่วนซือซือหาเกี่ยวกับข้อมูลเบาะแส เห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่ทหารนายหนึ่ง
แต่เขากลับรู้สึกไม่เชื่อ เขารู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา
ผู้ชายที่อยู่ใกล้ๆหร่วนซือซือทุกคน เขาไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น
ใช้ความคิดอยู่สักพัก ในที่สุดเขาก็หยิบมือถือขึ้นมาโทรออก : “ฮัลโหล ช่วยฉันหาข้อมูลของคนๆหนึ่ง”
หร่วนซือซือวิ่งไปที่รถของตัวเองอย่างรีบร้อน พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าเสี่ยวเหมิงเองนั่งอยู่ฝั่งคนขับ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม จ้องมองเธออย่างสนใจ
หร่วนซือซือที่รู้สึกร้อนตัวจึงพูดขึ้นว่า : “มองฉันแบบนี้หมายความว่ายังไง?”
เสี่ยวเหมิงยิ้มอย่างมีเลศนัย พร้อมกับชี้นิ้วไปที่ปากของเธอ : “ลิปสติกของพี่ เลอะน่ะ”