ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 10
ตอนที่ 10 ดอกบัวดำ
“ชีวิตเจ้าจบสิ้นเพียงเท่านี้!” ชายหน้าเหลี่ยมตะโกนอย่างคลุ้มคลั่ง
ระยะห่างออกไปไม่ไกลนัก ร่างคนจำนวนหนึ่งกำลังพุ่งมาอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้หลินเซวียนจะไม่ได้กลัว เขาก็ไม่ได้โง่พอจะเผชิญหน้ากับกลุ่มปราณเทวะคนเดียว ใครจะรู้ว่าพวกมันมีเท่าไหร่ในขุนเขานี้ กล่าวได้ว่าเขาเสียบเปรียบอย่างมากหากต้องสู้ด้วย
ขณะที่กำลังเตรียมพร้อมจะวิ่งหนี
ฟึบ!
ประกายแสงเย็นเยือกได้เข้ามาขัดขวางเขา ปรากฏว่าเป็นชายหน้าเหลี่ยมที่พยายามจะหยุดหลินเซวียนไว้ เมื่อเห็นว่าพรรคพวกกำลังพุ่งมา เขาจึงไม่คิดจะปล่อยหลินเซวียนหนีไปโดยง่าย
“ปล่อย!” หลินเซวียนตวัดดาบใส่อย่างไม่ลัง ทันใดนั้นเสียงของชายหน้าเหลี่ยมได้ดังขึ้นอย่างโหยหวน
ด้วยความล่าช้านี้ เป็นผลให้กองหนุนของชายหน้าเหลี่ยมมาถึงทันที ชายสามคนได้กระโจนเข้าไปขวางทางหลินเซวียนไว้อย่างรวดเร็ว
“ใครที่มันกล้าหาเรื่องพรรคปราณเทวะพวกมันต้องตาย!” ร่างของพวกเขาเปล่งรังสีพลังออกมาอย่างหนักแน่น กล่าวได้ว่าคนเหล่านี้อยู่ไม่ต่ำกว่าขั้นเปิดชีพจรระดับสาม
“หลินเซวียน เป็นเจ้านั่นเอง!” ชายผู้หนึ่งประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะอย่างพึงพอใจ “เมื่อเจ้าพบข้า เช่นนั้นก็ตายเสีย!”
ปรากฏว่าชายผู้นั้นคือจางปิ่น เขารู้สึกอิจฉาหลินเซวียนมาตั้งแต่การทดสอบ ตอนนี้จิตสังหารที่เขาปล่อยออกมารุนแรงจนสัมผัสได้
“ไห่เก๋อ ไอ้หนูนี้คือขี้ข้าดาบที่ข้าบอกเจ้า อย่าปล่อยมันไปเด็ดขาด!” จางปิ่นกล่าวและหันไปออกคำสั่งพรรคพวกของตน
“ไม่ต้องห่วง คนในพรรคที่เหลือกำลังเดินทางมา ต่อให้เป็นเทพสวรรค์ก็ช่วยเขาไม่ได้” ศิษย์ผู้ที่เย้ยเยาะอีกคนมีนามว่าไห่เก๋อ
หัวใจของหลินเซวียนจมดิ่ง เมื่อกลุ่มคนนี้ต้องการสังหารเขา เช่นนั้นคงจะมานั่งรอความตายไม่ได้อีก เขาเริ่มมองดูภูมิประเทศรอบด้านโดยพลันเพื่อหาทางหนี
จากนั้นหลินเซวียนได้กระโดดขึ้น ดาบเหล็กดำในมือได้กลายเป็นวิชาดาบดาวตกโดยทันที
ชิ้ง!
ทุกอย่างได้เกิดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณใด ความเร็วที่หลินเซวียนใช้นั้นรวดเร็วปานสายฟ้า
ไห่เก๋อที่กำลังชะงักอยู่รีบดึงสติกลับมา เขาอยากจะหลบแต่ดูเหมือนจะไม่ทัน เช่นนั้นจึงทำได้แค่เบี่ยงเลี่ยงจุดตายเท่านั้น ดาบที่ฟันลงมาเฉือนไปยังหน้าอกเขาจนเกิดรอยแผลยาว
“อ๊าก!!!”
เมื่อเสียงร้องโอดครวญดังขึ้น หลินเซวียนไม่รอช้าที่จะฝ่าวงล้อมออกไป เขาพุ่งขึ้นไปยังต้นไม้ใหญ่สองสามต้น จากนั้นค่อยกระโจนลงบนก้อนหินก่อนจะพุ่งหนีออกไปตามเส้นทาง
“ตามมันไป!” ไห่เก๋อตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว เขารีบโคจรพลังไปที่แผล จากนั้นได้นำเม็ดยาสีแดงออกมากิน
“อย่าปล่อยมันหนีไปได้ ตรวจดูเส้นทางที่มันมุ่งไปแล้วส่งสัญญาณบอกกลุ่มพวกเราที่เหลือ มันจะต้องถูกฆ่าวันนี้!”
ทั้งสามออกไล่ตามหลินเซวียนทันที จางปิ่นนั้นเห็นว่าหลินเซวียนเริ่มเก่งกาจขึ้นเรื่อย ๆ เวลานี้ในหัวเขามีเพียงความคิดเดียว นั่นคือหลินเซวียนต้องตาย มิเช่นนั้นผู้ที่จะลำบากหลังจากนี้คงเป็นเขา
“ฮึ่ม พลังกายของมันลดลงมาก ไล่มันให้ทันแล้วสังหารทิ้งเสีย!” ไห่เก๋อที่กำลังรักษาบาดแผลอยู่ส่งเสียงขึ้นดัง
ท้ายที่สุดเขาก็ถูกไล่ตามจนทัน
ศิษย์ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสี่นามไห่เก๋อคนนี้ราวกับหมาป่าหิวโหย และแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม เขาหวังเพียงแค่ได้ฟันหลินเซวียนให้เป็นสองซีก จางปิ่นและพรรคพวกอีกสองเองก็ใกล้จะตามทันแล้วเช่นกัน
ที่หลินเซวียนหนีไปมาอยู่ตอนนี้เพราะต้องการถ่วงเวลา เขาต้องการให้ไห่เก๋อที่อยู่ระดับสี่ของผู้ใช้วิญญาณเหน็ดเหนื่อยลงและยอมถอดใจเท่านั้น
หากพลั้งมือสังหารคนของกลุ่มปราณเทวะเข้า เช่นนั้นจะต้องรับการแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งกลับมาแน่นอน พวกเขาไม่มีทางยอมอับอายมากไปกว่านี้ บางทีมันอาจถึงขั้นศิษย์ชั้นในจะลงมาจัดการเอง
นั่นไม่ใช่สิ่งที่หลินเซวียนต้องการ เป้าหมายของเขาคือได้กลายเป็นศิษย์สายตรงและกลับไปยังตระกูลอย่างสงบ
ดาบในมือของเขาถูกยกขึ้นอีกครั้ง มันเปล่งประกายราวกับดาบแห่งสวรรค์ตัดผ่านความว่างเปล่า
นั้นต้นไม้ด้านหน้าของเขาล้มลงขวางทางทันที พวกที่ไล่ตามมาไม่คาดคิดว่าหลินเซวียนจะยังมีพลังเหลือถึงขั้นนี้ มันเป็นแค่การฟันพื้นฐานเท่านั้น แต่กลับดูไม่ธรรมดาต่อสายตาพวกเขา
จางปิ่นรู้สึกเกรงกลัวในใจมากขึ้นทุกขณะ ท้ายที่สุดเขากัดฟันแน่นพร้อมหยิบแผ่นอักขระโบราณออกมา เขาโคจรพลังวิญญาณลงไปก่อนจะโยนใส่หลินเซวียน
แผ่นยันต์นั้นเริ่มขยายตัวกลางอากาศอย่างต่อเนื่องพร้อมปล่อยรังสีพลังอันน่าสะพรึงออกมา
หลินเซวียนรู้สึกตกใจขึ้นตามสัญชาตญาณ การผันผวนของพลังวิญญาณจากยันต์แผ่นนั้นทำให้หัวใจเขาสั่นสะท้าน ‘มันคืออะไรอีก!? เราเกรงว่าต่อให้เป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับห้าก็ไม่มีพลังน่าสะพรึงเท่านี้’
วูม!
ยันต์กลางอากาศส่องแสงวูบวาบอยู่ชั่วครู่ จากนั้นดาบยาวสีเงินขนาดเท่าต้นไม้ได้พุ่งออกมา มันราวกับมังกรที่มีชีวิตพุ่งไปหาหลินเซวียนอย่างรวดเร็ว
พลังวิญญาณอันน่าสะพรึงสั่นสะเทือนไปทั่วแผ่นดิน
หลินเซวียนพลิกแพลงการก้าวเท้าไปมาจนถึงขีดสุด เขาบิดเอียงร่างกายเพื่อหลบอย่างสุดกำลัง
แต่ดาบสีเงินทั้งสามเล่มจาผลของยันต์นั้นรวดเร็วเกินไป แม้หลินเซวียนจะพยายามหลบหลีกมันอย่างถึงที่สุด เขาก็ถูกดาบนั้นโจมตีใส่อยู่ดี ร่างของหลินเซวียนสั่นเทาก่อนจะร่วงลงพื้นราวกับใบไม้ที่แห้งเหี่ยว
ตู้ม!
เขากระแทกลงพื้นอย่างแรง มันรู้สึกราวกับถูกฟาดด้วยค้อนหนักหลายชั่ง
เวลานี้ทั่วทั้งร่างของหลินเซวียนเต็มไปด้วยรอยแผลฉีกขาด อีกทั้งอวัยวะภายในยังบอบซ้ำจากพลังวิญญาณ
“มันบาดเจ็บแล้ว ฆ่ามันให้ตาย!” จางปิ่นรู้สึกโกรธอย่างมากที่เห็นยันต์ของตนไม่สามารถสังหารหลินเซวียนได้
สถานการณ์ของหลินเซวียนตอนนี้นับว่าย่ำแย่ ศัตรูทั้งสามคนกำลังพุ่งมาอย่างเกรี้ยวกราด
เขารีบใช้พลังเฮือกสุดท้ายเดินพลังคงกระพันอย่างบ้าคลั่ง ส่งผลให้พลังวิญญาณรอบกายเขาหลั่งไหลราวกับสายน้ำ มันวิ่งไปทั่วจุดในร่างกายจนบาดแผลของเขาเริ่มฟื้นฟู
ควบคู่ไปกับการกินยาฟื้นพลัง ร่างของหลินเซวียนค่อย ๆ ลุกขึ้นจากพื้น จากนั้นได้วิ่งหนีออกไปด้วยแรงทั้งหมด
ขณะที่ทั้งสามวิ่งไล่ตามหลินเซวียนไป พวกเขาไม่ทันสังเกตว่าสัตว์ป่าโดยรอบด้านถูกรบกวนจนตื่นขึ้น แต่ด้วยโทสะในใจที่ปรารถนาเพียงการสังหารหลินเซวียน มันจึงทำให้พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็น
“ไอ้บัดซบ ตายซะ!” ทั้งสามคนพุ่งเข้ามาอย่างคลุ้มคลั่ง ไห่เก๋อผู้ที่แข็งแกร่งสุดได้กระโจนเข้าหาเขาก่อนคนอื่น
หลินเซวียนรู้สึกช่วยไม่ได้จึงต้องจับดาบขึ้นมาอีกครั้ง
ตึง!
ทันใดนั้นเขารู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนในร่างกาย ดอกบัวสีดำที่เคยหายไปได้ปรากฏขึ้นบนปลายดาบของเขาอย่างลึกลับ
มันดูประหลาดตาและน่าสะพรึงอย่างราวกับอสูรที่กระหายเลือด เพียงสองลมหายใจ มันดูดกลืนเลือดเนื้อของไห่เก๋ออย่างไม่หิวโหย และทิ้งไว้เพียงผิวหนังอันแห้งเหือดไว้บนพื้น
จางปิ่นและศิษย์ที่เหลือต่างพากันขนลุกขนพองเมื่อมาเห็น พวกเขาตัวสั่นอย่างหนักและคิดจะวิ่งหนี
“แก ไอ้สัตว์ประหลาด…”
วูม! ดูเหมือนหลินเซวียนจะควบคุมมันไม่ได้ ดาบได้แทงไปยังศิษย์ที่เหลืออีกสองคน ทันใดนั้นพวกเขาถูกดูดกลืนเลือดเนื้อทันที
ปั้ง!
จางปิ่นกลัวจนดาบตกพื้นและฉี่ราด เขายังคงพยายามจะถอยหนี เมื่อเห็นหลินเซวียนยกดาบขึ้นอีกครั้ง เขาถึงกับยอมนั่งคุกเข่าลงอย่างไม่ลังเล
“อย่าฆ่าข้าเลย!” จางปิ่นโขกศีรษะลงพื้นขณะตัวสั่นเทา เขาไม่คาดคิดว่าหลินเซวียนจะมีพลังแปลกประหลาดที่สามารถดูดกลืนเลือดเนื้อมนุษย์ได้ หากทราบมาก่อน เช่นนั้นคงไม่คิดจะยั่วหลินเซวียนแน่นอน
‘เรารู้ความลับของมันแล้ว เช่นนั้นคงหนีไม่พ้นความตาย!’ จางปิ่นนึกขึ้นมาในใจ ‘ร้องขอความเมตตาก่อน จากนั้นค่อยโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว!’ เมื่อนึกได้เช่นนี้ เขาจึงแอบหยิบยันต์อีกแผ่นมาไว้ในมือ
“นายท่าน! ไว้ชีวิตข้าด้วย!” จางปิ่นอ้อนวอน “ไม่สิ ท่านเป็นท่านปู่ของข้าได้เลย ข้าจะเป็นหลานชายผู้โง่เง่า ปล่อยข้าไปเถิด!”
หลินเซวียนพยายามอย่างหนักที่จะระงับแรงกระหายเลือดในร่างกายของเขา แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้เพียงแค่ดอกบัวดำตรงหน้านั้นเป็นแค่สิ่งลึกลับที่เคยผนึกจุดชีพจรของเขา
สิ่งเดียวที่เขารู้สึกตอนนี้คือความกระหายเลือดเท่านั้น จิตของเขาคงพังพินาศไปนานแล้วหากไม่มีวิชาคงกระพัน ขณะนี้ในร่างของเขามีขุมพลังอยู่สองอย่าง หนึ่งคือพลังวิญญาณสีฟ้าที่หลอมหลวมจากวิชาคงกระพัน อีกหนึ่งคือพลังวิญญาณสีดำที่เกิดจากดอกบัวลึกลับ พลังทั้งสองนี้ต่างฝ่ายต่างอยู่คนละด้าน
เมื่อจางปิ่นเห็นหลินเซวียนเงียบไป ดวงตาของเขาได้เผยประกายเย็นเยือกออกมาโดยพลัน
เขารีบโคตรพลังวิญญาณใส่ยันต์เพื่อจะโจมตีหลินเซวียนอีกครั้ง
“ไปลงนรกซะ!” จางปิ่นคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว
ตู้ม!
กระดาษยันต์ระเบิดออกจนส่องสว่างไปทั่ว ส่งผลให้ลูกไฟขนาดมหึมาได้พุ่งไปหาหลินเซวียน
กลับกันร่างของหลินเซวียนได้กลายเป็นเหมือนหลุมดำที่พร้อมดูดกลืนทุกสิ่ง ลูกไฟที่พุ่งเข้ามาถูกดูดเข้าไปทันที ทันใดนั้นจี้ดาบในตัวของหลินเซวียนได้สั่นสะเทือนราวกับว่าถูกปลุก มันรีบเข้าสยบพลังของดอกบัวสีดำอย่างไม่รอช้า
หลังจากได้สติกลับมา หลินเซวียนหันไปแทงดาบใส่คอของจางปิ่นอย่างไม่ลังเลอีก
“แก…” จางปิ่นกุมคอของตนพร้อมรูม่านตาที่ค่อย ๆ ขยาย “ข้า พี่ใหญ่ของข้าเป็น…”
เขาล้มลงกับพื้นก่อนที่จะกล่าวจบ…