ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 112
ตอนที่ 112 วันก่อนเดินทาง
“นอกจากนั้น ว่ากันว่ามันมีวรยุทธ์ลึกลับอยู่ด้วย ใครที่หามันได้ นอกจากจะแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ในอนาคตก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะบรรลุขั้นแก่นแท้แห่งวิญญาณ” ผู้อาวุโสฮวากล่าวเสียงต่ำ
“น่าจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ไม่สงสัยเลยว่าทําไมศิษย์ในหลายคนถึงอยากเข้าไปในนั้น” หลินเซวียนนึกคิด
ขั้นแก้นแท้แห่งวิญญาณนั้นแบ่งได้เป็นสามระดับ นั่นขั้นคือวิญญาณหลอมรวม ขั้นวิญญาณแปรเปลี่ยน และขั้นวิญญาณแห่งจิต ผู้อาวุโสฮวาเองก็เป็นผู้ที่อยู่ในสามขอบเขตวิญญาณ ถึงแม้นางจะดูเหมือนอายุสามสิบกว่าปี แต่อายุจริง ๆ นั้นปาเข้าไปหนึ่งร้อยปีแล้ว เพราะหลังจากเข้าสู่ขั้นแก่นแท้แห่งวิญญาณ อายุขัยของคนผู้นั้นจะเพิ่มขึ้น มันจึงเป็นขั้นที่น่าดึงดูดต่อมนุษย์ทั่วไป
หากบรรลุไปถึงขั้นแก่นแท้แห่งวิญญาณได้ ผู้นั้นจะมีอายุขัยอย่างต่ำสามร้อยปี กล่าวได้ว่าพวกตาแก่ที่บรรลุขั้นวิญญาณแห่งจิตนั้นจะอยู่ได้สี่ถึงห้าร้อยปี
” พวกเจ้าไม่ต้องหวังแค่สมบัตินี้ มันต้องพึ่งพาโชคด้วย ข้าต้องการบอกพวกเจ้าอีกอย่าง หากไม่อยากใช้สมุนไพร อาวุธ หรือวิชาที่หามาได้ เจ้าสามารถเอามาแลกกับสํานัก แน่นอนว่าสํานักจะให้หินวิญญาณ หรือทรัพยากรบ่มเพาะพลังอื่น ๆ ในการแลกเปลี่ยน”
”อีกอย่าง เจ้าสามารถฝึกวิชาที่นํามามอบให้สํานักได้เช่นกันถ้าต้องการ”
จากนั้นผู้อาวุโสฮวาได้อธิบายเรื่องทรัพยากรและวิชาที่สํานักสนใจ และราคาที่ส่วนใหญ่จะได้รับ
ในหมู่สมบัติ วิชาขั้นสีดําระดับสูงนั้นสามารถแลกได้ห้าร้อยหินวิญญาณระดับกลาง ส่วนวิชาขั้นวิญญาณระดับต่ำจะได้สามพันหินวิญญาณระดับกลาง นั่นเท่ากับหินวิญญาณระดับต่ำสามแสนก้อน!
เมื่อได้ยินราคา หลินเซวียนอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึก ดูเหมือนวิชาขั้นวิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่สํานักต้องการอย่างมาก
นอกจากนั้นผู้อาวุโสฮวาไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะทุกครั้งที่เข้าไป มันจะเปลี่ยนไปทุกครั้ง ทุกสิ่งจะขึ้นอยู่กับความสามารถของตนเอง
หลินเซวียนกลับไปยังที่พักหลังจากบอกลาผู้อาวุโสฮวา
หลังจากได้ข้อมูล หลินเซวียนก็รู้สึกว่าสถานที่ที่ต้องไปให้ได้คือราชวังโลหิต เพราะพวกสมบัติที่อยู่ข้างในนั้นล่อตาล่อใจอย่างแท้จริง
หากสามารถรอดจากพื้นที่ดังกล่าวได้ เช่นนั้นเขาจะต้องได้รับผลประโยชน์มากมายกลับมาแน่นอน แต่เดิมเขาต้องการบรรลุขั้นเปิดชีพจรระดับเก้าในเวลาสองวันที่เหลือ แต่เขาก็ข่มพลังไว้ และคิดจะไปบรรลุพลังภายในพื้นที่ทดสอบโลหิตแทน
ภายในห้องโถงของสํานักชวนเทียน
ผู้อาวุโสเยว่กําลังนั่งอยู่พร้อมเผยใบหน้าหงุดหงิด ด้านข้างเขามีชายหนุ่มกําลังจิบน้ำชา
“ไอ้พวกกระจอกนั้นแพ้ให้กับเด็กขั้นเปิดชีพจรระดับแปด! มันทําให้ข้าอับอายอย่างมาก!” น้ำเสียงของเขาเย็นเยือกและดังไปทั่วห้องโถง
ชายหนุ่มที่จิบชาเผยรอยยิ้ม “อันที่จริงจะโทษศิษย์น้องทั้งสองก็ไม่ได้ เพราะคนผู้นั้นเข้าใจเจตนารมณ์แห่งดาบ มันจึงทําให้คํานวณพลังโจมตีได้ยาก”
“แต่ไม่ต้องห่วงอาจารย์ ไม่ว่าเขาจะอัจฉริยะแค่ไหน เขาก็จะเติบโตไปมากกว่านี้ไม่ได้!” น้ำเสียงของชายผู้นั้นฟังดูเย้ยหยันและเต็มไปด้วยจิตสังหาร
“ข้าจะทําให้มันนอนอยู่ในพื้นที่ทดสอบโลหิตไปตลอดชีวิต!”
ผู้อาวุโสเยว่มองศิษย์ตรงหน้าอย่างพึงพอใจขณะกล่าวเสียงต่ำ “สังหารมันเป็นเรื่องธรรมดา สิ่งที่สําคัญที่สุดคือสมบัติในราชวังโลหิต”
“เท่าทีข้ารู้ มันยังมีมรดกตกทอดอยู่อีกชิ้นหนึ่งภายในนั้น ครั้งนี้มันคลายผนึกหนึ่งร้อยปีแล้ว เจ้าจะต้องชิงมาให้ได้”
“เข้าใจแล้วขอรับ!” ดวงตาของชายหนุ่มผู้นั้นเปล่งประกาย
อวิ๋นโจว ตระกูลหลิง
พวกเขาส่งคนไปทั้งหมดสิบคน สิบคนนี้คือศิษย์อัจฉริยะของตระกูลหลิง ความหวังทั้งหมดขึ้นอยู่กับพวกเขา
สําหรับหลานของผู้อาวุโสหลิง หลิงเจ๋อ เขาย่อมได้ไปอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นเขายังรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับหลินเซวียนให้ตระกูลฟัง และขอให้สังหารหลินเซวียน
” หลังจากเข้าเจตนารมณ์แห่งดาบได้ เขาก็เป็นศัตรูกับตระกูลหลิงแล้ว เขาต้องชดใช้ทั้งหมดที่ทําไป!” หัวหน้าตระกูลหลิงกล่าวเสียงต่ำ ” หลังจากเข้าไปยังพื้นที่ทดสอบโลหิตแล้วจงจัดการให้เรียบร้อย”
“จําไว้ว่าอย่าให้สํานักทราบเรื่องนี้เด็ดขาด”
” ขอรับ” คนตระกูลหลิงตอบกลับ
วันก่อนจะออกเดินทาง หลินเซวียนถูกเรียกพบอีกครั้ง
ครั้งนี้เป็นชายผ้าคลุมสีม่วงที่นั่งอยู่บนเมฆในครั้งนั้น เขามีนามว่าต้วนมู่ฉิง เป็นผู้อาวุโสของสํานัก เขามองหลินเซวียนพร้อมถอนหายใจเบา ๆ
“แต่เดิมข้าอยากให้เจ้าเข้าไปยังพื้นที่ทดสอบโลหิตครั้งหน้า ด้วยขั้นพลังปัจจุบัน มันยังเสี่ยงเกินไป แต่เมื่อเจ้ายังยืนกรานจะไป ข้าก็ไม่ห้าม”
ต้วนมู่ฉิงขยับมือ จากนั้นมีของสองอย่างปรากฏขึ้น
อย่างแรกคือชุดเกราะขึ้นสนิม มันมีร่องรอยจากการต่อสู้อยู่เต็มไปหมด อีกทั้งยังดูธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ อีกอย่างคือกระดาษอาคมสีเหลือง
“นําทั้งสองอย่างนี้ไปด้วย เกราะนี้สามารถป้องกันการโจมตีของยอดฝีมือขั้นต่ำกว่าสมุทรวิญญาณได้ หากเจ้าไม่เข้าไปยังสถานที่ต้องห้าม มันจะปกป้องชีวิตเจ้าได้” ผู้อาวุโสต้วนมู่กล่าวเสียงลุ่มลึก “หากเจ้าเข้าใจเจตนารมณ์แห่งดาบที่แท้จริงเมื่อไหร่ เจ้าจะต้องเก่งขึ้นไม่ด้อยกว่าพวกข้าแน่นอนในอนาคต ดังนั้นมันไม่จําเป็นต้องเสี่ยงตายขนาดนั้น”
“อีกอันคือยันต์ระดับสูง มันสามารถสังหารยอดฝีมือขั้นสมุทรวิญญาณได้ในครั้งเดียว แต่มันก็ใช้ได้แค่ครั้งเดียวเช่นกัน อย่าใช้มันหากไม่จําเป็น”
หลินเซวียนรับของวิเศษทั้งสองก่อนจะกล่าวอย่างเคารพ ” ขอบคุณผู้อาวุโส ข้าจะกลับมาอย่างปลอดภัย!”
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตา ทุกอย่างก็เริ่มขึ้น
ในช่วงเช้าตรู่ท้องฟ้าส่องประกายสีเทา
มันมีแสงอาทิตย์เรืองรองส่องตัดลงมา หลินเซวียนและคนอื่น ๆ ได้มายังห้องโถงกันก่อนเพื่อรอออกเดินทาง
ในหมู่พวกเขา มู่หรงเฉียนหลิงและเจิ้งจวิ๋นมีขั้นพลังที่สูงที่สุด พวกเขาอยู่ขั้นสมุทรวิญญาณระดับสงคราม ส่วนอีกสามคนอยู่ขุนสมุทรวิญญาณระดับต้น
หว่านเจี้ยนซิง หัวหน้าศิษย์สายตรงอยู่ขั้นสมุทรวิญญาณระดับต้นเช่นกัน ส่วนคนอื่นจะอยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับเก้า
ในกลุ่มพวกเขา หลินเซวียนถือว่าขั้นพลังน้อยที่สุด แต่ก็ไม่มีศิษย์สายตรงคนใดกล้าเย้ยหยันเขา เพราะเขาสามารถเอาชนะจ้าวจือเฉิงและตงหยิงได้ ความแข็งแกร่งของเขานั้นอยู่ในห้าอันดับแรกของศิษย์สายตรง
สิ่งที่น่าประหลาดใจกว่านั้นคือ ช่างกวนหลิวหยุนเองก็อยู่ในขั้นเปิดชีพจรระดับเก้าแล้ว ลมหายใจของเขาหนักอึ้งราวกับภูผา
“ดูเหมือนทุกคนจะเตรียมตัวกันมาอย่างดี!” หลินเซวียนมองซ่างกวนหลิวหยุน
เมื่อสัมผัสสายตาของหลินเซวียน ซ่างกวนหลิวหยุนจึงพยักหน้ากลับ พวกเขาคุ้นเคยกันดี แต่ด้วยความเป็นคู่แข่งในวัยเดียวกัน พวกเขาจึงไม่ค่อยสนิทกันมากนัก
” หลินเซวียน ข้าจะไม่แพ้เจ้าแน่ครั้งนี้!” ดวงตาช่างกวนหลิวหยุนเต็มไปด้วยจิตวิญญาณนักสู้
” ข้าก็เช่นกัน!” คําของหลินเซวียนฟังดูมั่นใจอย่างมาก
“ฮึ่ม!” เสียงอุทานเย็นเยือกดังขึ้นพร้อมจิตสังหารอันรุนแรง
ช่างกวนหลิวหยุนเก็บตัวเงียบไปนานขณะที่หลินเซวียนโด่งดังขึ้นเรื่อย ๆ
ในหมู่พวกเขา มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มชั่วร้ายกําลังมองมาทางหลินเซวียน เขามองเพียงชั่วครู่เท่านั้น มันไม่ต่างจากการมองมดปลวกบนพื้นดิน
“เจิ้งจวิ๋น! หัวใจหลินเซวียนจมลงเล็กน้อย
ในหมู่คนเหล่านี้ คนที่เขากลัวมากที่สุดก็คือเจิ้งจวิ๋น ผู้ที่อยู่ขั้นสมุทรวิญญาณระดับสงคราม อีกทั้งยังเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสเยว่
ผู้อาวุโสเยว่เกลียดหลินเซวียนเข้ากระดูกดํา “เราเกรงว่าเจิ้งจวิ๋นจะต้องลอบโจมตีแน่นอน