ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 113
ตอนที่ 113 ทางเข้า
“เมื่อไหร่ก็ตามที่เราบรรลุขั้นสมุทรวิญญาณ เราก็จะไม่กลัวพวกเขาอีก!” หลินเซวียนมั่นใจในตัวเอง แค่เขาขาดแค่เวลาฝึกฝนเท่านั้น
ยิ่งกว่านั้นเท่าที่เขาทราบ เมื่อเข้าสู่พื้นที่ทดสอบโลหิตแล้ว พวกเขาจะถูกสุ่มไปยังพื้นที่ต่าง ๆ หากโชคดีพอ เขาก็อาจจะไม่พบกับเจิ้งจวิ๋น
หลินเซวียนสูดหายใจลึกเพื่อทําสมาธิและรออย่างเงียบ ๆ
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ลมหายใจอันแข็งแกร่งได้ปรากฏขึ้น จากนั้นผู้อาวุโสห้าคนได้แหวกอากาศเข้ามายังห้องโถง
ในหมู่พวกเขามีผู้อาวุโสด้วนมู่ ผู้อาวุโสฮวา ผู้อาวุโสเยว่ และผู้อาวุโสอื่นอีกสองคน ทั้งห้าคนราวกับภูเขาที่หนักอึ้งเมื่อเข้ามาในห้องโถง
“คารวะผู้อาวุโส!” ศิษย์ทั้งหมดทําการคํานับ
เมื่อผู้อาวุโสต้วนมู่สะบัดมือ เรือเหาะหยกขาวขนาดใหญ่ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา ตัวเรือมีลายไม้ ด้านบนจะตกแต่งราวกับราชวัง
“ไปได้” ผู้อาวุโสาวนมู่กล่าว
ทันใดนั้นร่างของศิษย์ทั้งหมดได้กระโดดขึ้นเรือหยกขาวอย่างไม่รอช้า เมื่อครบทุกคน เรือหยกขาวก็ได้ลอยขึ้นก่อนจะกลายเป็นประกายแสงหายวับไป
เวลานี้มหาอํานาจต่าง ๆ ในเขตอวิ่นโจวก็เริ่มเดินทางเช่นกัน
ในแดนกลางของเขตอวิ่นโจว มันมีหุบเขาทะเลเมฆอยู่ ซึ่งที่แห่งนี้จะมีเมฆปกคลุมอยู่ทั้งปีราวกับแดนสวรรค์ ปกติจะไม่ค่อยมีผู้คนมากนัก แต่วันนี้ทะเลเมฆเต็มไปด้วยผู้คน
นักสู้ที่มีสวมเสื้อผ้าแตกต่างกันจากสํานักและตระกูลต่าง ๆ ได้มารวมกันอยู่ที่นี่
ทันใดนั้นประกายแสงสีเงินได้ปรากฏขึ้นในชั้นเมฆก่อนจะทะยานลงพื้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อแสงนั้นถึงพื้น มันได้หยุดและเผยให้เห็นรูปร่างที่แท้จริง
มันคือเรือเหาะวิญญาณขนาดใหญ่ของสํานักซวนเทียน
ฟูม! ฟูม!
กลุ่มคนบนเรือเหาะได้กระโดดลงมา จากนั้นเรือเหาะก็ได้หายไป
คนเหล่านั้นคือพวกหลินเซวียนจากสํานักซวนเทียน หลังจากผ่านไปครึ่งวัน พวกเขาก็มาถึงยังหุบเขาทะเลเมฆ
” พี่ต้วนมู่ ท่านสบายดีนะ?”
หลังจากพวกเขามาถึง บรรดาผู้อาวุโสจากสํานักและตระกูลต่าง ๆ ก็เริ่มทักทายกัน
ในช่วงเวลานี้ หลินเซวียนได้แอบสังเกตการณ์ไปด้วย มันมีผู้คนอยู่ทุกทิศทาง ขณะมองไปมองมา ศิษย์ของที่ต่าง ๆ ได้มองกลับอย่างเป็นศัตรู กลับกัน บรรดาผู้อาวุโสของสํานักต่าง ๆ ล้วนเป็นสหายกันทั้งสิ้น เมื่อพบหน้า พวกเขาจึงเข้าไปทักทายกันอย่างเพลิดเพลิน
” หาที่พักก่อนเถอะ” ในกลุ่มคน มู่หรงเฉียนหลิงและเจิ้งจวิ๋นวรยุทธ์สูงสุด ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นผู้นําในตอนนี้ พวกเขาหาสถานที่เพื่อพักผ่อน
“ยอดฝีมือเต็มไปหมด!” ช่างกวนหลิวหยุนถอนหายใจ
หลินเซวียนพยักหน้า เขามองไปรอบด้านและพบว่ามีหลายคนที่มีลมหายใจแข็งแกร่งมาก พวกเขาบางคนไม่ได้ด้อยไปกว่ามู่หรงเฉียนหลิงหรือคนอื่น ๆ เลย
ถังอี้กล่าวขึ้นด้านข้างหลินเซวียน “พื้นที่แห่งนี้ตั้งอยู่มาหลายร้อยปี ดังนั้นจึงมีผู้เข้าร่วมมากขึ้นทุกปี”
“ไม่แปลกใจเลย!” หลินเซวียนและศิษย์พรรคของเขาต่างยิ้มอย่างขมขื่น
ทันใดนั้นท้องฟ้าได้มีประกายแสงปรากฏขึ้นอีกครั้ง จากนั้นดอกบัวขนาดใหญ่ได้ลอยออกมาพร้อมแรงกดดันมหาศาล
จากนั้นกลุ่มศิษย์ของสํานักดอกบัวได้ปรากฏตามมา
ผู้อาวุโสหลายคนสูดหายใจลึกเพื่อรอต้อนรับผู้อาวุโสสํานักนี้ ส่วนบรรดาศิษย์ของพวกเขาได้เดินไปทางหลินเซวียนและคนอื่น ๆ
ผู้ที่นําหน้ามาจากสํานักดอกบัวมีลมหายใจของขั้นสมุทรวิญญาณอยู่
“มู่หรง ไม่ได้เจอกันนานนะ!” ชายหนุ่มรูปงามได้กล่าวพร้อมรอยยิ้ม ดวงตาของเขาเผยความเสน่ห์หาอย่างชัดเจน
“นี่คือเซียชางเฟิง ศิษย์สายตงของสํานักดอกบัว ฝีมือร้ายกาจไม่เบา” ถังอี้กล่าวเสียงต่ำ ” ชายหนุ่มผิวทองแดงด้านข้างเขาคืออ้วนเฟย หัวหน้าศิษย์ของสํานักดอกบัว”
เมื่อพวกเขามองไปยังอ้วนเฟย ความคิดแรกที่พวกเขาคิดคือ ชายผู้นี้ดูเหมือนผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่ายี่สิบห้าปี อีกทั้งยังมีกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งและเต็มไปด้วยพลัง
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของหลินเซวียนและคนอื่น ๆ ชายหนุ่มนามอ้วนเฟยได้หันหน้าไปมอง
พวกเขาต่างตกใจ ดวงตาของชายหนุ่มผู้นี้ราวกับสัตว์ป่าดุร้ายจนหัวใจสั่นไหว
” ศิษย์พี่ถัง โปรดให้ข้อมูลพวกเราเกี่ยวกับศิษย์มีฝีมือของสํานักอื่นด้วย” ศิษย์สายตรงคนหนึ่งกล่าว
ถังอี้พยักหน้าก่อนจะกล่าว “ในกลุ่มคนทางทิศตะวันออก สตรีที่สวมชุดสีม่วงคือเทพธิดาจื่อเซีย อัจฉริยะในเทียบอันดับมังกรแฝง”
“ด้านข้างสํานักเมฆาม่วงคือตระกูลหลิง หนึ่งในสี่ตระกูลหลัก ผู้นําของพวกเขาคือหลิงเฟิงยอดฝีมือที่ไม่ด้อยไปกว่าศิษย์เอกของสามสํานักใหญ่ ยิ่งกว่านั้นเขายังชั่วร้ายด้วย พวกเจ้าอย่าไปยุ่งกับเขาล่ะ”
หลินเซวียนมองไปยังชายหนุ่มในกลุ่มตระกูลหลิง ทันใดนั้นเขาก็เห็นหลิงเจออยู่ด้วยก่อนจะตกตะลึง
“เมื่อหลิงเจ๋อมาที่นี่เช่นกัน เราคิดว่าตระกูลหลิงจะต้องเล็งมาที่เราด้วยแน่” หลินเซวียนนึกคิด “ดูเหมือนพื้นที่ทดสอบโลหิตจะไม่สงบเสียแล้วสิ
ครึ่งชั่วยามต่อมา พวกเขาทุกคนได้มารวมตัวกัน เมื่อรวมคนจากสํานักใหญ่ทั้งสาม สี่ตระกูลหลัก และผู้เข้าร่วมอื่น ๆ จํานวนคนที่นี่ก็มีเกือบร้อยคน
คนเหล่านี้ต่างรอพื้นที่ทดสอบโลหิตเบิด ในหมู่พวกเขา สายตาของหว่านเจี้ยนซิง อ้วนเฟ่ยและคนอื่น ๆ ต่างปะทะกันกลางอากาศ พวกเขาต่างเป็นคู่แข่งกันมานาน หลินเวียนและคนอื่น ๆ แทบจะโดนเมินไปเลย
เพราะพวกเขาคือผู้ที่เข้าไปสู่ขั้นสมุทรวิญญาณแล้ว ดังนั้นผู้ที่อยู่ขั้นเปิดชีพจรก็ไม่ต่างจากฝุ่นในสายตา หลินเซวียนคืออัจฉริยะที่บรรลุเจตนารมณ์แห่งดาบ แต่ชื่อเสียงของเขาก็โด่งดังแค่ในสํานักเท่านั้น มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่สํานักอื่นจะไม่รู้จัก
แต่ก็ยกเว้นศิษย์ตระกูลหลิงและเจิ้งจวิ๋นที่เกลียดหลินเซวียนเข้าไส้ เวลานี้พวกเขากําลังมองมาอย่างเกลียดชัง
หลินเซวียนหาได้สนใจไม่
ไม่นานนัก กระแสลมที่รุนแรงได้พัดออกมาจากหุบเขา จากนั้นเมฆหมอกรอบด้านได้กระจายออกไปพร้อมมิติที่เริ่มสั่นสะเทือน
จากนั้นไม่นาน รอยแยกมิติได้ฉีกออกกลางอากาศ มันราวกับปากของอสูรที่พร้อมจะกลืนกินผู้คน เมื่อมันหยุดสั่นไหว พวกผู้อาวุโสต่างร่วมมือกันโคจรพลังเพื่อสร้างทางเข้ารูปวังวน
“เอาล่ะ ไปกันได้!” ผู้อาวุโสทั้งหมดกล่าว
ทันใดนั้นศิษย์นับร้อยได้กระจายกันเข้าไปในทางเข้าทันที
เมื่อพวกเขาเข้าไป พื้นที่รอบด้านที่เงียบสงบลง และเหลือเพียงแค่ผู้อาวุโสด้านนอก ดวงตาของพวกเขาเปล่งประกายราวกับคาดหวังจะได้บางอย่างกลับมา
ในสถานที่ลึกลับด้านนอกหุบเขา ร่างลึกลับสวมชุดสีดํากลุ่มหนึ่งได้รวมตัวกันพร้อมหัวเราะอย่างแหบแห้ง ” พวกเขาเข้าไปแล้ว หากพวกเขาหาสิ่งนั้นได้ เวลาที่ลัทธิของพวกเราจะฟื้นคืนกลับมาก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม” เสียงที่กล่าวเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
หลังจากดีใจอยู่ชั่วครู่ คนลึกลับเหล่านั้นก็ได้หายไป