ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 134
ตอนที่ 134 ยอดเขาทมิฬ
ดาบของหลินเซวียนคุกคามชีวิตเขาอย่างมาก หากไม่มีชุดเกราะอยู่ เช่นนั้นคงบาดเจ็บถึงตาย
เขาเห็นหลินเซวียนเป็นเพียงมดมาตลอด แต่ตอนนี้มดตัวนั้นสามารถทําร้ายเขาได้!
หลังจากดึงเสื้อนอกออก หลิงเฟิงได้เผยชุดเกราะข้างใน
เขาอยากจะเห็นสีหน้าของหลินเซวียนตอนนี้ แต่กลับพบว่าหลินเซวียนไม่ได้มองมาที่ตนแม้แต่น้อย เขากําลังพุ่งไปยังสมบัติกลางอากาศ
สิ่งนี้ทําให้เขาถึงกับกระอักเลือด
“อ๊าก!!”
หลิงเฟิงมองขึ้นไปอย่างโกรธเกรี้ยว ลมหายใจของเขาพ่นออกมาราวกับน้ําวน
มือขวาของเขาถือดาบและมือซ้ายได้ใช้วิชาฝ่ามือ และรอบตัวก็โคจรพลังป้องกันจากชุดเกราะขณะพุ่งขึ้นไป
ตู้ม!
หลิงเฟิงใช้พลังเต็มพิกัดในการโจมตีหลินเซวียน
ฟิ้ว! หลินเซวียนถอยอย่างรวดเร็วก่อนจะหันไปปะทะกับหลิงเฟิง
ทั้งสองประลองกันหลายกระบวนท่า คลื่นพลังได้กวาดออกมาไม่ขาดสาย
ผู้คนรอบด้านมองกันอย่างตกตะลึง พวกเขาทราบดีถึงความแข็งแกร่งของหลิงเฟิง พลังของขั้นสมุทรวิญญาณขั้นกลางระดับสามนั้น จัดได้ว่าอยู่อันดับต้น ๆ ของยอดฝีมือ
แต่การตอบโต้ของหลินเซวียนก็เหนือกว่าที่พวกเขาคาดคิดไว้ เพราะเขาสามารถสู้กับหลิงเฟิงได้อย่างสบาย ๆ มันจึงทําให้พวกเขาแทบจะอ้าปากค้าง
“สมแล้วที่เขาสามารถเข้าใจเจตนารมณ์แห่งดาบได้” คนมากมายถอยไปขณะชื่นชม เพราะรัศมีการต่อสู้เริ่มจะกว้างขึ้น
“พี่เฟิง ข้ามาช่วยแล้ว!”
นักสู้ตระกูลหลิงอีกสามคนด้านล่างคิดจะเข้ามาช่วย
” ถอยไปซะ!”
หลินเซวียนแทงเงาดาบออกไป ความคมของดาบทําให้หลิงเฟิงถอยไปหลายก้าว ขณะเดียวกันหลินเซวียนได้หันไปหน้าไปคํารามใส่คนทั้งสามที่กําลังพุ่งเข้ามา
เสียงอันทรงพลังนั้นทําให้พวกเขาถึงกับชะงัก
“อ๊าก!!”
คลื่นเสียงราวกับคลื่นมรสุมลากทั้งสามลงไปยังพื้นอีกครั้ง
พุบ! พบ! พบ!
พวกเขายังคงกระเด็นอยู่ขณะอาเจียนเลือดออกมา
“ราชสีห์คําราม?” ใบหน้าหลิงเฟิงเปลี่ยนเป็นไม่สู้ดี ”เจ้าไปเอาวิชานี้มาจากไหน?”
“ล้อเล่นหรือไง!” หลินเซวียนกล่าว “นี่คือคลื่นเสียงของฟ้าผ่า ราชสีห์คํารามอะไร?”
กล่าวตามตรง เขาไม่คิดจะยอมรับว่าตนสังหารคนของตระกูลหลิงไปมากมาย เพราะมันมีคนอื่น ๆ อยู่รอบด้าน หากข่าวนี้กระจายออกไป เช่นนั้นเขาจะต้องถูกผู้อาวุโสตระกูลหลิงไล่ล่าแน่นอน
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
หลิงเฟิงรู้สึกสงสัยขณะใบหน้าเปลี่ยนสี เพราะนอกจากพวกเขาสี่คนแล้ว ศิษย์ตระกูลหลิงคนอื่นยังไม่ปรากฏตัวเลย
” เจ้าสังหารพวกเขาไปหมดแล้วหรือ?”
ถึงแม้หลิงเฟิงไม่อยากจะเชื่อ แต่สถานการณ์ปัจจุบันทําให้เขาเชื่อ
” ชดใช้ด้วยชีวิตมาซะ!” ใบหน้าหลิงเฟิงเปลี่ยนเป็นมืดดํา เขาคิดจะใช้ไพ่ตายที่มี
“เจ้าควรจะภูมิใจที่ได้ตายด้วยมือข้า!”
ในมือของเขามีหินแปดเหลี่ยมปรากฏขึ้น และมียอดภูเขาอยู่ตรงกลางซึ่งเหมือนจริงอย่างมาก
ทันทีที่หินแปดเหลี่ยมปรากฏ บรรยากาศของห้องโถงทั้งห้องก็มีดดลงทันที ราวกับว่ามีภูเขาลูกใหญ่กดทับจิตใจของผู้คนอยู่
“ระวังตัว มันมีคําจารึกอยู่!” เซียนสุราเอ่ยขึ้น
ม่านตาหลินเซวียนจมลงเล็กน้อย เขาไม่คาดคิดว่าจะมีคนที่มีสิ่งนี้อยู่
นี่คือคําจารึกของจริง มันแตกต่างจากอักขระที่เขาเคยพบมาก่อน
ศิษย์ทั้งสามของตระกูลหลิงสงบลงเมื่อเห็นหลิงเฟิงนําหินนั้นออกมา
“ยอดเลย เมื่อสิ่งนั้นออกมา ไอ้หนูนั้นตายแน่!”
“ใช่ เมื่อยอดเขาทมิฬออกมา ไม่มีใครรอดชีวิตได้! แต่ไม่คาดคิดเลยว่าการสู้กับมันจะต้องใช้ยอดเขาทมิฬ!”
“เราควรจะซ้อมมันให้หนําใจ และให้มันลิ้มรสความทรมานก่อน!”
ศิษย์ตระกูลหลิงต่างพากันเย้ยหยันอย่างภาคภูมิใจ
ผู้คนรอบด้านเริ่มตกตะลึง
ถึงแม้พวกเขาจะไม่เคยเห็นพลังของยอดเขาทมิฬ แต่ก็เคยได้ยินตํานานของมันมานาน
“คุกเข่าขอขมาซะ ข้าอาจจะเหลือร่างของเจ้าไว้ให้” หลิงเฟิงถือยอดเขาทมิฬในมือขณะหัวเราะดัง
“เจ้าต่างหาก” หลินเซวียนกล่าวย้อน “หากคุกเข่าอ้อนวอนตอนนี้ ข้าอาจจะไว้ชีวิต!”
“บังอาจ!”
“โง่นัก!”
ศิษย์ตระกูลหลิงอุทานขึ้น “มันไม่รู้จักความเป็นความตายเลยหรือไง! ยอดเขาทมิฬสามารถสังหารมดปลวกอย่างมันได้แค่พริบตา!”
“นั่นสิ เป็นข้า ข้าคงจะรีบขอความเมตตาแล้ว ข้ายอมมีชีวิตเยี่ยงทาสดีกว่าตาย!”
ผู้คนกล่าวขึ้น
หลิงเฟิงยังคงเพลิดเพลิน เขาอยากเห็นหลินเซวียนตื่นตระหนกมากที่สุด เขาต้องการเห็นอัจฉริยะที่เข้าใจเจตนารมณ์แห่งดาบคุกเข่าต่อหน้า!
แต่ท้ายที่สุดก็ต้องผิดหวัง
หลินเซวียนกลับมองเขากลับอย่างเย้ยหยัน มันราวกับกําลังมองคนโงโอ้อวด
การแสดงของหลินเซวียนสงบอย่างมาก เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่เห็นยอดเขาทมิฬแล้ว คนผู้นั้นย่อมต้องร้องขอชีวิต แต่หลินเซวียนกลับเย้ยหยันกลับ
” หลินเซวียนคนนี้มีอะไรอีกมั้นหรือ?” ศิษย์หลายคนสงสัย
หลิงเฟิงโกรธจนกัดฟันแน่น ของวิเศษชิ้นนี้มีผลกระทบอยู่เล็กน้อย เขาไม่ต้องการใช้มันหากไม่จําเป็นจริง ๆ
เขาแค่ต้องการขู่หลินเซวียนเท่านั้น
“หากเจ้าไม่ลงมือ ข้าจะเริ่มเอง!” ดาบของหลินเซวียนผ่าออกกลางอากาศ
“เมื่อเจ้าอยากตายนัก ข้าจะสงเคราะห์ให้!”
ใบหน้าหลิงเฟิงดุดันขึ้น หลังจากสังหารหลินเซวียนได้ เขาก็จะได้สมบัติ ยังไงมันก็คุ้มกว่า
เขาโคจรพลังเข้าไปในยอดเขาทมิฬในมือ
ถึงแม้ยอดเขาทมิฬจะทรงพลัง แต่มันก็ต้องใช้พลังวิญญาณจํานวนมหาศาลเช่นกัน ด้วยขั้นพลังของเขาตอนนี้ มันสามารถใช้ได้สามครั้งเท่านั้น
บนหินแปดเหลี่ยม ยอดเขาทมิฬเริ่มเปล่งแสงและแสดงพลังออกมา มิติรอบด้านถึงกับสั่นสะเทือน
ผู้คนที่ชมอยู่ต่างพากันถอยอีกครั้ง
หลินเซวียนมองอย่างเคร่งขรึม เขาแอบโคจรพลังไปยังปลอกแขนทองแดงและพร้อมใช้ตลอดเวลา
” ตาย!”
เสียงของหลิงเฟิงดังขึ้น ขณะเดียวกัน พลังของเข้าพุ่งเข้าไปยังยอดเขาทมิฬอย่างคลุ้มคลั่ง
ยอดเขาขนาดมหึมาได้ลอยออกมา และขยายตัวขึ้นกลางอากาศส่งกลิ่นอายอันน่าสยดสยอง
ตู้ม!
มิติรอบด้านสั่นไหวราวกับจะพังลงขณะที่ยอดเขาทมิฬหล่นทับหลินเซวียน
“ตายซะ!” ศิษย์ของตระกูลหลิงหัวเราะขึ้นดัง
ผู้คนรอบด้านต่างพากันหดหู พวกเขาไม่คาดคิดว่าอัจฉริยะที่เข้าใจเจตนารมณ์แห่งดาบจะตายเช่นนี้
” เขายังไม่ตาย!” เสียงของใครบางคนดังขึ้น
ยอดเขาทมิฬอยู่ห่างจากหลินเซวียนไม่ถึงสามจิ้ง พื้นที่รอบตัวเขาจมลงไปลึก
เจตนารมณ์แห่งดาบของหลินเซวียนกําลังต่อต้านแรงดันนี้
เขาไม่ได้กลัวแม้แต่น้อย ด้วยปลอกแขนทองแดง และชุดเกราะโบราณ เขามั่นใจว่าสามารถหนี้ได้
ยิ่งกว่านั้นเขายังไม่รีบร้อนที่จะใช้ แรงกดดันของภูเขานั้นสามารถช่วยให้บรรลุพลังได้
ขั้นพลังของเขาอยู่มาถึงจุดสูงสุดของระดับต้นแล้ว มันจึงต้องการสิ่งกระตุ้นในการบรรลุ
แรงกดดันตรงหน้าเขาเป็นแรงขับเคลื่อนที่ดี
”ยาก!” ร่างของหลินเซวียนเปล่งประกาย
“ฮ่า ฮ่า! อย่าดิ้นรนไปเลย เจ้าหนีไม่พ้นหรอก!” หลิงเฟิงเห็นใบหน้าหลินเซวียนจึงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
” กล้ามาท้าทายตระกูลหลิง บทสรุปก็คือตายเท่านั้น!”
“ไม่มีใครกล้าหาเรื่องพวกเรา เจ้ารนหาที่ตายเอง!”
“ศิษย์น้องหลิน หนีเร็ว!” เสียงอันตื่นตระหนกดังขึ้น
แต่หลินเซวียนไม่ได้ยินเสียงด้านนอกอีก เขาโคจรพลังคงกระพันในร่าง จนในที่สุดก็สามารถบรรลุขั้นสมุทรวิญญาณระดับกลางได้แล้ว
“บรรลุขั้นพลังงั้นหรือ?” ศิษย์ตระกูลหลิงยังคงเย้ยหยัน “แต่ผลก็เหมือนเดิม!”
ในกลุ่มคน มีร่างหนึ่งที่ดูสลด
มู่หรงเฉียนหลิงตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว ” พวกตระกูลหลิงกล้าหาเรื่องสําานักซวนเทียนสํานัก ไม่ปล่อยพวกเจ้าไว้แน่!”
ยอดเขาทมิฬกดลงไปยังตัวหลินเซวียนทันทีจนเกิดฝุ่นตลบไปทั่ว
มู่หรงเฉียนหลิงปิดตาลงพร้อมน้ําตาที่ไหลออกมา
ขณะเดียวกันหลินเซวียนได้ใช้ปลอกแขนทองแดง
ลําแสงสีฟ้าสาดกระจายออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง มันทําให้ทั้งห้องโถงแทบจะถล่ม