ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 29
ตอนที่ 29 กระบวนท่าเดียว
‘แล้วเราจะไปยังที่อันตรายแบบนั้นโดยไม่มีอาวุธได้ยังไง?’ หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน หลินเซวียนได้ซื้อดาบเหล็กไปหนึ่งเล่ม นอกจากนั้นเขายังซื้อของอย่างอื่นอีกเล็กน้อย
หลังจากซื้อของเสร็จ หลินเซวียนได้เดินไปหาถังอวี้ แต่เขาได้พบว่านางกำลังเอะอะอยู่กับสตรีอีกคน
“มีเรื่องอะไรงั้นหรือ?” หลินเซวียนเดินไปหาถังอวี้
“เฮอะ ยัยผู้หญิงสำส่อน!” สตรีตรงข้ามกล่าวอย่างไม่สุภาพทันทีที่เห็นหลินเซวียน
“ถังเสี่ยวหลิง ระวังปากไว้หน่อย!” ถังอวี้กล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว
“ทำไม ข้าจะพูดอะไรก็เรื่องของข้าไม่ใช่หรือ?” สตรีนามถังเสี่ยวหลิงกล่าวเย้ยเยาะ “ดูเหมือนเจ้าเองอายุก็ไม่น้อยแล้ว มันคงถึงเวลาที่จะแต่งงานได้แล้วกระมั้ง เจ้าจะได้ไม่เดินไปกับผู้ชายทุกที่แบบนี้!”
“ข้าคิดว่านายน้อยสองของตระกูลติงก็ดีนะ ไว้ข้าจะแนะนำเขาให้เจ้าวันหลังละกัน“
ถังอวี้กัดฟันแน่น ในมือของนางสั่นอย่างรุนแรงจากความโกรธ นางต้องการจะกระโดดเข้าไปขย้ำสตรีตรงหน้าอย่างมาก
โชคดีที่หลินเซวียนมาหยุดไว้ทัน อีกฝั่งนั้นมีจำนวนคนอยู่มากกว่า เขากลัวว่าถังอวี้จะเจ็บตัวเปล่า ๆ ยิ่งกว่านั้นเขาพอจะทราบสถานะของสตรีผู้นี้ นางเองก็เป็นคนจากตระกูลถัง แน่นอนว่าเขาคุ้นเคยกับการทะเลาะกันภายในตระกูลมาก่อน เมื่อตอนที่อยู่ในคฤหาสน์จอมดาบ เขาต้องเผชิญหน้ากับชะตาชีวิตที่ถูกเหยียดหยามอยู่บ่อยครั้ง
“เมื่อเจ้าชื่นชมคุณชายสองตระกูลติงนัก เช่นนั้นก็แต่งงานกับเขาเองสิ!” หลินเซวียนดึงถังอวี้ออกมาขณะกล่าวแทน
“เจ้าว่าอะไรนะ?” ใบหน้าของถังเสี่ยวหลิงเปลี่ยนไป “ศิษย์ขยะของสำนักซวนเทียนกล้าออกปากกับเขาด้วยหรือ!”
ทันทีที่กล่าวจบ กลุ่มวัยรุ่นด้านหลังนางได้หัวเราะขึ้นดัง “ศิษย์ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสี่กล้ากล่าวเสียงดัง เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถล้มเขาได้ด้วยมือข้างเดียว!”
“กล้าว่าเสี่ยวหลิงงั้นหรือ รีบขอโทษซะ หรือเจ้าอยากจะคลานกลับไป!”
กลุ่มวัยรุ่นพวกนี้เป็นผู้ติดตามของถังเสี่ยวหลิง ดวงตาพวกเขาลุกโชนจากความไม่พอใจ พวกเขาต้องการจะโจมตีหลินเซวียนเสียตอนนี้
“อยากจะทำอะไรก็แล้วแต่พวกเจ้า” หลินเซวียนกล่าวเสียงเบาโดยไม่สบตาใคร
“ดี! ถังอวี้ตาเจ้าบอดหรือไง เจ้าถึงมาอยู่กับคนโง่เช่นนี้! แค่ขั้นเปิดชีพจรระดับสี่แต่กล้าท้าทายสำนักเมฆาม่วง!” ถังเสี่ยวหลิงกล่าวอย่างเย็นเยือก
“หากเจ้ามีความสามารถพอก็ลงมือได้เลย เขาสามารถสู้ได้เป็นสิบคน! เหมือนกับพวกกุ้งด้านหลังเจ้า เขาสามารถเลาะเปลือกพวกมันออกได้ด้วยมือข้างเดียว!” ถังอวี้กล่าวอย่างเยาะเย้ยกลับ
หลินเซวียนรู้สึกพึงพอใจในคำชมของถังอวี้ เขามองดูคนกลุ่มนั้น พวกเขาสวมชุดคลุมสีม่วงทั้งตัว และยังมีลายปักรูปก้อนเมฆตรงแขนเสื้อ
สำนักพวกเขาก็เหมือนกับสำนักซวนเทียน สำนักเมฆาม่วงนั้นเป็นหนึ่งในสามสำนักใหญ่ของเมืองหยุนโจว แต่สำนักซวนเทียนนั้นมีอำนาจมากกว่า ‘เราไม่ทราบว่าเหตุใดว่าศิษย์สำนักเมฆาม่วงถึงกล้าหาเรื่องสำนักซวนเทียน?’
ขณะมอง ดวงตาของบรรดาศิษย์สำนักเมฆาม่วงมองมาอย่างไม่พอใจ แต่หลินเซวียนหาได้สนใจไม่ ในเรื่องความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นนับว่าไม่เลว ทุกคนอยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับห้า แต่สำหรับถังอวี้ คนพวกนี้ไม่สามารถคุกคามนางได้
“ข้าเพิ่งซื้ออาวุธ ใครอยากจะเป็นหนูทดลองให้ข้าบ้าง?” หลินเซวียนวางดาบขึ้นบนไหล่ขณะกล่าวยั่วยุ
“ฮึ่ม เจ้าโง่นั่น!” ถังเสี่ยวหลิงเอ่ยขึ้น นางไม่เชื่อว่าแค่ขั้นเปิดชีพจรระดับสี่จะเอาชนะคนมากมายได้
“หากอยากจะตายนัก ข้าจะสงเคราะห์ให้เอง!” ชายหนุ่มชุดสีม่วงเดินมาตรงหน้าถังเสี่ยวหลิง เขามีหน้าตาที่หล่อเหลา
“ขออภัย ห้ามมีเรื่องกันในหอเหวินเปา!” ขณะที่ชายหนุ่มชุดม่วงกำลังจะลงมือ ผู้ดูแลคนหนึ่งได้เข้ามาหยุดไว้
ชายหนุ่มชุดม่วงดูไม่พอใจอย่างมาก แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรต่อหน้าชายผู้นี้ จากนั้นชั่วครู่เขาได้กล่าวขึ้น “ไอ้หนู ออกมานี้!”
หลินเซวียนยักไหล่และออกไปพร้อมกับถังอวี้ บรรดาศิษย์สำนักเมฆาม่วงต่างพากันเย้ยหยัน สำหรับพวกเขา การเอาชนะผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นเปิดชีพจรระดับสี่นั้นง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ
“แค่เจ้ากับดาบนั่นนะหรือ? ข้าจะสอนเจ้าเองว่าวิชาดาบคืออะไร!” ชายหนุ่มชุดม่วงกล่าวเหยียดหยาม
“วิชาดาบขนนกลอยลม!” ชายหนุ่มในชุดม่วงเริ่มเหวี่ยงดาบ จากนั้นประกายแสงสีม่วงได้ปรากฏขึ้น เขาพุ่งออกไปพร้อมดาบในมือและมาอยู่ตรงหน้าหลินเซวียนเพียงไม่นาน
“วิชาดาบไม่เลว!” บรรศิษย์สำนักเมฆาม่วงด้านหลังส่งเสียงเฮขึ้น อันที่จริง ถึงแม้คนพวกนี้จะหยิ่งผยอง แต่พวกเขาก็ไม่ได้โง่ คนที่พวกเขาส่งออกไปต่อสู้ด้วยนั้น นับว่าเชี่ยวชาญวิชาดาบที่สุดในหมู่พวกเขา
ถึงแม้จะเย่อหยิ่ง แต่ฝีมือของพวกเขาก็ไม่ได้กระจอก
หลินเซวียนเผยรอยยิ้มบนใบหน้า เขายังไม่ทำอะไรจนกระทั่งดาบพุ่งมาอยู่ตรงหน้า
หลินเซวียนก้าวถอยหลังเล็กน้อย จากนั้นดาบเหล็กในมือของเขาได้แทงออกไปราวกับสายฟ้า มันแทงไปยังจุดอ่อนของชายหนุ่มผู้นั้นอย่างแม่นยำ
ตึง!
พวกเขาเห็นเพียงประกายแสงสีขาวปรากฏขึ้นวูบเดียว จากนั้นดาบในมือของชายหนุ่มชุดม่วงได้หลุดออกจากมือและปักลงกับพื้น สายตาของชายหนุ่มชุดม่วงมองหลินเซวียนอย่างตื่นตระหนก
‘กระบวนท่าเดียว แค่กระบวนท่าเดียวที่เราแพ้!’
“เป็นไปไม่ได้!” ดวงตาอันงดงามของถังเสี่ยวหลิงแดงขึ้นราวกับจะร้องไห้ขณะอุทานออกมา บรรดาศิษย์สำนักเมฆาม่วงที่เหลือต่างพากันแสดงใบหน้าอับอาย จากนั้นพวกเขามองหลินเซวียนด้วยความกลัวเล็กน้อย
“ใครอยากจะเข้ามาลองอีก?” หลินเซวียนเก็บดาบขณะกล่าว
ร่างของเขายืนอย่างสง่างามในชุดคลุมสีขาวที่ปลิวไสวกับสายลมและเส้นผมสีดำที่เคลื่อนไหวเหมือนสายน้ำ
ไม่มีใครกล้าตอบรับ
สตรีหลายคนด้านนอกมองไปยังหลินเซวียนอย่างชื่นชม แม้แต่ถังอวี้เองยังหน้าแดงพลางตื่นเต้นในใจ
ใบหน้าถังเสี่ยวหลิงจมดิ่ง แต่นางก็ยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ “ศิษย์พี่ติงอยู่ใกล้ ๆ นี้ หากชนะเขาได้เจ้าค่อยภูมิใจ!”
หลังจากกล่าว นางได้หันหลังไปพร้อมใบหน้าที่มืดดำ
“อารมณ์ดีขึ้นหรือยัง?” หลินเซวียนหันไปมองถังอวี้
“เยี่ยม มันรู้สึกดีขึ้นมาก!” ถังอวี้ยิ้มราวกับจิ้งจอก
“เช่นนั้นก็กลับเถอะ” หลินเซวียนกล่าว
ถังอวี้มองเขากลับ “เดียวสิ ไปอีกที่กันได้หรือไม่?”
“ข้าไม่มีเวลา” หลินเซวียนปฏิเสธ เวลานี้เขาต้องการจะไปยังหลุมพิศดารก่อน
“ก็ได้ เจ้าขี้ขลาด! กลับไปเลย ข้าจะไปยังหลุมพิสดารนั่นเอง!” ถังอวี้เอ่ยขึ้น
“อะไรนะ? เจ้าจะไปยังหลุมพิสดาร?” หลินเซวียนประหลาดใจ เขาไม่คาดคิดว่าถังอวี้ก็จะไปที่นั่นเช่นกัน “เจ้าจะไปยังสถานที่อันตรายเช่นนั้นทำไม?”
ถังอวี้มองกลับ “เจ้าไม่ทราบหรือ? มีหินแปลกประหลาดออกมาจากหลุมพิสดารนั่น ว่ากันว่ามันมาจากส่วนลึกของถูเขาไท่หัง แม้แต่ศิษย์มากมายในสำนักชั้นในยังไปที่นั่นกัน“
‘บัดซบ!’ หลินเซวียนสถบในใจ ‘เราไม่ควรจะมาเสียเวลากับเรื่องบ้าแบบนี้แล้ว!’
“เสี่ยวเซวียน เร็วเข้า มิเช่นนั้นแม้แต่น้ำเจ้าก็ไม่ได้กลับมา!” เซียนสุรากล่าวขึ้นในจิตใต้สำนึกของหลินเซวียน
“มันอันตรายเกินไป ข้าจะไปดูก่อน เจ้ากลับสำนักจะดีกว่า” หลินเซวียนแนะนำ เพราะเขาไม่สะดวกที่จะพานางไปด้วย
“ไม่ต้องห่วง คนของพรรคเทพสงครามและพี่ชายข้าก็จะไปเช่นกัน มันปลอดภัยมาก” ถังอวี้กล่าวขณะยืดอก
“พี่ชายเจ้า?” หลินเซวียนสูดหายใจลึก ‘พี่ชายของถังอวี้นั้นเป็นยอดฝีมือของศิษย์ชั้นใน แม้แต่คนระดับนี้ยังสนใจ ตกลงมันมีอะไรกันแน่?’
“เซียนสุรา ท่านทราบหรือเปล่าว่าหินนั่นคืออะไร? เหตุใดมันถึงดึงดูดผู้คนมากมายนัก?” หลินเซวียนกล่าวถามในใจ