ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 31
ตอนที่ 31 บรรดายอดฝีมือ
เมื่อกลุ่มทหารรับจ้างทั้งห้าจัดการข้าวของสัมภาระของตน พวกเขาจึงมานั่งล้อมรอบกองไฟ
จากนั้นพวกเขาได้นำเสบียงอาหารออกมาดื่มกินกัน ตู่ปิงนำเนื้อเสือดาวสองชิ้นและไหสุราออกมาให้หลินเซวียน
“น้องชาย นี่อาหารของพวกเจ้า รับไว้สิ!” กล่าวได้ว่าตู่ปิงเป็นคนตรงไปตรงมามาก
หลินเซวียนรับไว้พร้อมรอยยิ้มพลางแอบถามเซียนสุราว่าในเหล้ามียาพิษหรือเปล่า
เซียนสุราคร่ำครวญเล็กน้อย “เสี่ยวเซวียนระวังตัวได้ดี แต่ไม่ต้องห่วง มันไม่มีพิษหรอก แค่เหล้าของเขารสชาติแย่กว่าของข้า!”
เมื่อได้ยินว่าไม่มียาพิษ หลินเซวียนจึงโล่งอก เขาไม่สามารถประมาทได้เมื่ออยู่ด้านนอก เมื่อทราบเช่นนั้น เขาจึงส่งเนื้อเสือดาวให้ถังอวี้ชิ้นหนึ่งพร้อมพยักหน้า
ถังอวี้รับไว้ นางเปิดปากกินอย่างไม่รีรอ แต่การกินของนางไม่เสียงดังแม้แต่น้อย ถึงนางจะเป็นคนชอบวู่วาม แต่ก็ยังเป็นคนสำรวม
สำหรับหลินเซวียน เขาฉีกเนื้อออกเป็นหลายส่วนและกินแกล้มสุรา
“เหล้าดี!” หลินเซวียนเอ่ยขึ้นหลังจากดื่ม
“ฮ่า ฮ่า! น้องชาย เจ้าทำให้พวกข้ามีอารมณ์ขันไม่น้อย” พวกเขาเป็นคนตรงไปตรงมาและรู้สึกดีเมื่อเห็นหลินเซวียนพอใจ
“ดูจากเสื้อผ้าแล้ว พวกเจ้าน่าจะเป็นศิษย์สำนักซวนเทียน เหตุใดถึงมายังภูเขานี้ได้?” ตู่ปิงพลันเอ่ยถาม “มันเป็นเพราะข่าวใหม่นั่นใช่หรือเปล่า?”
หลินเซวียนพยักหน้า “ข้าได้ยินว่ามีหินประหลาดออกมาจากหลุมพิสดาร ข้าแค่อยากเห็นมัน” เขาไม่ได้โกหก เพราะคนส่วนใหญ่ต่างทราบข่าวนี้กันทั้งนั้น มันจึงไม่จำเป็นต้องโกหก
“พี่ตู่ ท่านก็จะไปยังหลุมพิศดารนั้นเช่นกันหรือ?”
“ฮ่า ฮ่า บอกตามตรงพวกเราเองก็อยากจะเข้าไปนั้นแหละ เพื่อว่าจะมีโชคกับเขาบ้าง” ตู่ปิงเกาหลังศีรษะขณะกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“แต่การเดินทางครั้งนี้คงจะวุ่นวายไม่น้อย ถึงแม้จะไม่ได้สมบัติ แต่อย่างน้อยก็ได้พบบรรยายอดฝีมือหนุ่มสาว มันก็นับว่าไม่เสียแรงเปล่า!” ชายหนุ่มผมสั้นกล่าว
“โอ้ ข้าไม่ทราบว่ามีบรรดายอดฝีมือหนุ่มสาวอยู่ที่นั่นด้วย?” หลินเซวียนรู้สึกทึ่ง
“พวกเราย่อมรู้เรื่องในแผ่นดินมากกว่าพวกเจ้าที่เป็นศิษย์สำนัก” ตู่ปิงกล่าว “น้องสอง อธิบายให้น้องชายของพวกเราฟังหน่อย!”
ชายหนุ่มที่ตู่ปิงเรียกมีผมสั้นและมีนามว่าฉินซิว
“ตามข่าวลือ ยอดฝีมือหนุ่มสาวไปยังหลุมพิสดารในครั้งนี้” ฉินซิวยกเหล้าก่อนจะกล่าวต่อ “จากข้อมูลที่ได้รับมา ผู้คนที่ไปยังที่นั่น ส่วนใหญ่จะเป็นคนมีชื่อเสียงอีกด้วย”
“กลุ่มแรกอย่างศิษย์สำนักซวนเทียนของพวกเจ้า ‘ถังอี้’ จากพรรคเทพสงคราม ผู้ที่บรรลุไปถึงขั้นเปิดชีพจรระดับแปด ฝ่ามือหยกของเขาซ่อนอาวุธลับนานาชนิดอยู่ นับได้ว่าเป็นกองกำลังอันดับต้น ๆ “
เมื่อถังอวี้ได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของนางหรี่ลงเล็กน้อย นางแอบภาคภูมิใจอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเห็นท่าทีถังอวี้ หลินเซวียนทราบทันทีว่า ‘ถังอี้’ คนนั้นคือพี่ชายของนาง เขายิ้มก่อนจะฉีกเนื้อหมูป่าให้
“นอกจากนั้นยังมี เย่ฉีจากพรรคอาภรณ์หยก ไม่เพียงร่างกายจะดูคงกระพันแล้ว นางยังบรรลุไปถึงระดับที่แปดของขั้นเปิดชีพจรเช่นกัน อีกทั้งขลุ่ยหยกของนางยังทรงพลังไม่แพ้ของวิเศษใด ๆ !”
“สำหรับพรรคปราณเทวะ ดูเหมือนกองกำลังพวกเขาจะติดภารกิจข้างนอกกันหมด ข้าไม่ทราบว่าพวกเขาส่งใครมาหรือเปล่า?”
“ติดภารกิจ?” หลินเซวียนขมวดคิ้วแน่น เขาจำได้ว่าจางเฉียนพี่ชายของจางปิ่นออกไปทำภารกิจด้านนอกอยู่ เมื่อนึกได้เช่นนี้ เขาจึงสูดหายใจลึก ‘ดูเหมือนว่าเราต้องรีบแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วกว่านี้ ชายผู้นี้จะต้องกลับมาไม่ช้าก็เร็ว’
ฉินซิวกล่าวต่อ “นอกจากสำนักซวนเทียนแล้ว ยังมียอดฝีมือจากสำนักเมฆาม่วงด้วย หนึ่งในนั้นคือติงห่าว ฉายาคมมีดน้อยแห่งหยุนโจว ทักษะพลังของเขารวดเร็วกว่าสายฟ้า!”
“อีกคนคือหลิวฉิง เขาคือจอมคลั่งการต่อสู้ เขาทุ่มเททุกอย่างเพื่อได้สู้กับยอดฝีมือ ความแข็งแกร่งของเขาไม่อาจหยั่งรู้ได้“
“ที่เหลือเป็นเพียงกลุ่มย่อย ยกตัวอย่างเช่นทหารรับจ้างอย่างพวกเรา และตระกูลน้อยใหญ่จากเมืองเล่อหยาง“
หลินเซวียนถอนหายใจข้างใน เขาไม่คาดคิดว่าจะมียอดฝีมือหนุ่มมากันมากมายเช่นนี้ มันยิ่งทำให้โอกาสที่เขาจะได้หินประหลาดน้อยลง และความรู้สึกท้อก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
เซียนสุราเหมือนจะทราบความคิดหลินเซวียน เขาได้เอ่ยขึ้นในจิตใต้สำนึกของหลินเซียน “เสี่ยวเซวียน หากเจ้าหารากไม้วิญญาณให้ได้อีก ข้าจะสอนพลังวิเศษให้เจ้าอย่างหนึ่ง ข้าไม่เคยผิดสัญญา!”
“พลังวิเศษ!” หลินเซวียนแอบดีใจขึ้นมาเล็กน้อย “สิ่งนี้จะมีในคนที่อยู่ขั้นพลังระดับสูงเท่านั้น!”
“ท่านมั่นใจนะ?” หลินเซวียนทำสีหน้าไม่เชื่อ “ไม่ใช่ว่ามันระดับสูงเกินไป ข้ายังไม่สามารถเรียนได้หรอกหรือ?”
“ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น? กล้าดียังไงมาสงสัยข้า? ในสมัยก่อน การจามของข้าสามารถส่งผลต่อสภาพอากาศของโลกได้เลยนะ กล้าดียังไงมาสงสัยข้า ฮึ?” เซียนสุรารู้สึกไม่ค่อยพอใจ “ทันทีที่เจ้าบรรลุขั้นเปิดชีพจรระดับหก เจ้าจะสามารถเรียนสิ่งนี้ได้ ข้าไม่โกหกหรอก!”
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะหาหินนั้นให้ท่านด้วยชีวิต” หลินเซวียนถูกเกลี้ยกล่อมอย่างง่ายดาย มันคือพลังวิเศษ ถึงแม้จะมีความแข็งแกร่ง ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะฝึกกันได้
เขามีเวลาในการบ่มเพาะพลังเหลืออีกไม่มาก เพราะตระกูลของเขากำลังจะเปิดการจัดอันดับอีกครั้งในไม่ช้านี้ และต้องเอาชนะศิษย์ของตระกูลเหล่านั้น เขาทราบดีว่าศิษย์ของคฤหาสน์จอมดาบนั้นร้ายกาจกว่าสำนักซวนเทียน
มีเพียงแค่ต้องพัฒนาความสามารถให้เร็วขึ้นเท่านั้น ถึงจะสามารถกลับสู่ตระกูลได้อย่างสง่าผ่าเผย!
กลุ่มของพวกเขาสนทนากันอยู่นานจนถึงช่วงกลางคืน บางคนแยกย้ายกันไปนอน บางคนนั่งฝึกพลัง
….
จันทร์เสี้ยวในท้องฟ้ายามราตรีส่องแสงลงมายังแม่น้ำ
หลินเซวียนยังไม่นอน แต่แอบฝึกวิชาคงกระพันอย่างเงียบ ๆ วันนี้หลังจากได้ยินว่ามียอดฝีมือหนุ่มหลายคน เขาเองก็รู้สึกกดดันไม่น้อย
กระแสพลังสีน้ำเงินในตัวของเขาเริ่มเปล่งประกายขณะนั่งอยู่ใต้แสงจันทร์ พลังวิญญาณในกายเริ่มไหลไปทั้งราวกับสายน้ำตรงหน้า
ดูเหมือนว่าหลินเซวียนจะค่อย ๆ รวมเข้ากับสภาพแวดล้อมโดยรอบไปแล้ว เขารู้สึกได้ถึงทุกสิ่งที่อยู่ใกล้เคียง ดอกไม้ที่พริ้วไหวตามลม เสียงต้นไม้เอนตัว และเสียงสัตว์คำรามที่อยู่ห่างไกลอย่างชัดเจน
‘ความรู้สึกนี้ช่างมหัศจรรย์นัก’
สัมผัสเช่นนี้ไม่ได้หากันได้ในผู้ใช้วิญญาณขั้นเปิดชีพจร สิ่งเดียวที่อธิบายได้คือ มันเป็นผลจากพลังคงกระพัน
เมื่อกล้าใช้คำว่าคงกระพัน ย่อมต้องทราบว่าจุดประสงค์พื้นฐานที่สุดของการฝึกฝนวรยุทธ์ นั่นคือการมีชีวิตอยู่ตลอดไปเพื่อวรยุทธ์ แต่เป้าหมายนี้มักจะยากเกินเมื่อมาถึงจุดหนึ่ง และหลายคนไม่สามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้ตลอดชีวิต
อย่างไรก็ตาม ยิ่งขั้นพลังสูงขึ้นมากเท่าไหร่ อายุขัยพวกเขาก็จะยิ่งเพิ่มมากเท่านั้น ภายใต้การล่อลวงที่ล่อตาล่อใจ การฝึกฝนวรยุทธ์จึงกลายเป็นที่นิยมในทวีปนี้ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อบรรลุเข้าสู่ขั้นสมุทรวิญญาณ และกลายเป็นปรมารจารย์การใช้พลังวิญญาณ อายุขัยของผู้นั้นจะเพิ่มเป็นสองร้อยปี ด้วยเหตุนี้จะไม่ให้ชาวยุทธ์พวกนั้นบ้าคลั่งได้ยังไง
ยิ่งกว่านั้น ขั้นพลังของพวกเขาสูงมากเท่าไหร่ ก็ยังหมายถึงสถานะและอำนาจของพวกเขาจะสูงขึ้นตาม ผู้ที่มีพลังสูงกว่าย่อมควบคุมชีวิตผู้ที่ต่ำกว่าได้เป็นเรื่องปกติ
“มีพลังวิญญาณผันผวนอยู่แถวนี้“ หลินเซวียนสัมผัสได้ถึงบางอย่าง เขาจึงออกจากสภาวะการบ่มเพาะพลังพร้อมเปิดตามองไปมา
ฟิ้ว!
ทันใดนั้น ลูกธนูสีดำได้ถูกยิงออกมาจากป่า มันตรงไปยังกลุ่มที่กองทหารรับจ้างนอนอยู่