ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 38
ตอนที่ 38 ดาบเพลิงโลหิต
หลินเซวียนนั่งอยู่บนพื้นพร้อมเอนหลังอยู่กับแท่งหิน
พลังคงกระพันในร่างของเขากำลังโคจรอยู่ และชีพจรระดับห้ากำลังจะเปิดในไม่ช้า ลมหายใจของเขาพุ่งสูงขึ้นในทันที และคลื่นที่มองไม่เห็นก็พัดไปทั่วสถานที่
พลังคงกระพันนั้นนับว่าพิเศษอย่างมาก หลังจากหลินเซวียนบ่มเพาะพลังเสร็จ พลังวิญญาณของเขาได้แข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่านั้น มันแทบไม่ด้อยไปกว่าคนที่อยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับหกธรรมดา หากเขาสามารถบรรลุไปถึงระดับหกได้เมื่อไหร่ เช่นนั้นอาจจะสามารถพิชิตผู้ที่อยู่ระดับหกได้หมดด้วยมือข้างเดียวแน่นอน
หลินเซวียนค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาอันแหลมคมของเขากะพริบอย่างเจิดจรัส ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มที่ดูสดใสอย่างมาก
“ขั้นพลังของเราพัฒนาแล้ว แต่ยังพบหินสีน้ำตาลแค่ก้อนเดียว ดูเหมือนเราต้องรีบแล้ว!” หลินเซวียนเต็มไปด้วยพลังมุ่งมั่น
“ข้าอยากได้รากไม้วิญญาณ!” เซียนสุราตะโกนขึ้นดัง
“ข้าอยากได้ดาบ!” หลินเซวียนตะโกนเช่นกันขณะถือดาบเหล็กเดินเข้าไปต่อ
เพียงไม่นาน ได้มีหมอกขาวปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา หลินเซวียนรู้สึกวิงเวียนทันที
“ไม่ดีแล้ว มันมีพิษแฝงอยู่!” เขาถอยกลับด้วยท่าก้าวเท้าเงาอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตา หลินเซวียนได้ทิ้งภาพติดตาไว้ตรงหน้าก่อนจะมาถึงจุดปลอดภัย
‘ไปลึกเกินเห็นที่จะไม่ดี ดูเหมือนเราต้องออกไปข้างนอกแล้ว’ หลินเซวียนตัดสินใจและกวาดสายตาออกไปข้างนอก
ยิ่งเขาเดินออกไปข้างนอก หลินเซวียนก็ยิ่งรู้สึกขนลุกขึ้น ทันทีที่เข้าใกล้รอบนอก เขารู้สึกถึงการสูญเสียพลังวิญญาณในร่างกายอย่างรวดเร็ว มันทำให้เขารู้สึกกลัวไม่น้อย
“บัดซบ! ข้างในก็อันตราย ข้างนอกก็อันตราย ปลอดภัยแค่ตรงนี้หรือไง? พื้นที่บ้าอะไรวะเนี้ย!?” หลินเซวียนอดไม่ได้ที่จะสบถ
เขาไม่สามารถหาทางออกได้เพียงช่วงเวลานี้ และทำได้แค่อยู่ใกล้ ๆ แท่งหิน
ยิ่งเข้าสู่ช่วงกลางคืน ยิ่งมืดมิดกว่าเดิม
หลินเซวียนตัดไม้สีดำมาทำเป็นฟืน แต่เพียงไม่นาน เขาก็พบว่าตนเองกำลังตกที่นั่งลำบาก
หลังจากต้นไม้เหล่านั้นล้มลง พายุหมุนสีดำได้ปรากฏออกมาและปั่นไปทางหลินเซวียน ไฟที่สร้างขึ้นใหม่ถูกดับลงในทันทีและแรงดูดมหาศาลได้ดึงเขาอย่างบ้าคลั่ง
หลินเซวียนพยายามโคจรพลังวิญญาณเพื่อต้านแรงดึงดูดนั้นทันที ขณะเดียวกันเขาได้จิกเท้าลงบนพื้นดินเพื่อฝืนแรง
ฟูม! ฟูม!
เพียงไม่นาน พายุหมุนสีดำได้พัดออกมาจากรอบด้าน และพุ่งเข้าหาหลินเซวียนอย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ พลังวิญญาณสีดำได้พุ่งออกมาจากร่างกายของเขา ครึ่งหนึ่งของร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายของดอกบัวสีดำ กลีบดอกบัวสองกลีบได้เข้าปกป้องตัวหลินเซวียนไว้ และเก็บลมพายุนั้นหายเข้าไปในร่างของเขาทันที
หลังจากพายุสีดำหายไป ลวดลายดอกบัวก็หายไปเช่นกัน
มันเคยเป็นสิ่งลึกลับที่ปิดผนึกจุดชีพจรของเขามาก่อน แต่ตอนนี้กลับปกป้องเขา สิ่งนี้ทำให้หลินเซวียนสับสนอย่างมาก
“ฮืม? เสี่ยวเซวียน มีหินสีน้ำตาลด้านหลังเจ้าเยอะเลย!” ทันใดนั้นเสียงของเซียนสุราได้ดังขึ้นขัดความคิดของเขา
ตัวตนของเซียนสุรานั้นไม่สามารถทำให้หลินเซวียนมีพลังเพิ่มขุเน ดังนั้นฉากเมื่อครู่เซียนสุราจึงไม่อาจทำอะไรได้ หลินเซวียนเองก็ทราบถึงเรื่องนี้ดี แต่ยังไงก็ตาม ชายผู้นี้กลับเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องดอกบัวสีดำ มันทำให้เขารู้สึกคันปากอยากจะถามอย่างมาก
แต่ตอนนี้ยังไม่มีทางเลือกนอกจากหันไปมอง
มันมีหินสีน้ำตาลอยู่เจ็ดก้อนบนพื้น ขนาดที่ใหญ่ที่สุดนั้นพอ ๆ กับหินที่ใช้ในโรงโม่ และเล็กที่สุดประมาณกำปั้น
“มาจากไหนกัน?” หลินเซวียนตกตะลึงเล็กน้อย “มันต้องเป็นเพราะลมประหลาดเมื่อกี้แน่”
เขาได้รวบรวมหินทั้งหมดขึ้นมาก่อนจะจุดไฟอีกครั้ง
โชคดีที่ครั้งนี้ไม่มีลมพายุสีดำนั่นอีก หลินเซวียนทุบหินออกเพื่อเปิดดูข้างใน ฝ่ามือของเขาคมประดุจใบมีดขณะฟาดมันลงยังหินสีน้ำตาล
ด้วยเหตุนี้หินทั้งหมดเจ็ดก้อนจึงถูกผ่าออก แต่มันมีเพียงสองอย่างเท่านั้นจากหินเจ็ดก้อน
หนึ่งคือรากไม้วิญญาณที่เซียนสุราต้องการ อีกหนึ่งคือกระเบื้องสีดำขนาดเท่าฝ่ามือ
เซียนสุราเก็บรากไม้วิญญาณไว้พร้อมเผยรอยยิ้ม ขณะที่หลินเซวียนได้เพียงกระเบื้องสีดำพร้อมใบหน้าอันมืดครึ้ม
“แล้วดาบดี ๆ อยู่ไหนล่ะ?” หลินเซวียนเตะแท่งหินด้านข้างของเขาขณะสบถ
ตู้ม! แท่งหินหักครึ่งทันที มันทำให้หลินเซวียนตกใจจนกระโดด
“บอบบางดีแท้?” หลินเซวียนบ่นพึมพำ
“นี่ เสี่ยวเซวียน เพื่อตอบแทนที่ช่วยข้าหารากไม้วิญญาณ ข้าจะให้ดาบเจ้า” เซียนสุรารีบเอ่ยขึ้น
“อะไร? ท่านมีดาบงั้นหรือ?” หลินเซวียนรีบกล่าว “แล้วทำไม่ให้ข้า…”
“เจ้าหนุ่มใจร้อน!” เซียนสุรากล่าว “ข้าเองก็ฝืนใจที่ที่จะให้เจ้าอยู่ เอ้า ลองดูสิ”
ระหว่างกล่าวคำ น้ำวนสีดำได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าหลินเซวียน จากนั้นดาบสีชาดได้ลอยออกมาปักเข้ากับพื้นดินจนเกิดเสียงดัง
มันแตกต่างจากดาบสามศอกปกติ ดาบเล่มนี้ยอดเยี่ยมอย่างมาก ตัวดาบนั้นกว้างแต่ก็ไม่ได้หนา ด้ามดาบเองก็ยาวพอจะจับไว้ด้วยมือสองข้าง
ขณะเดียวกัน หลินเซวียนมองไปยังสนิมที่เกาะอยู่บนดาบ มันทำให้ปากเของขาบิดเบี้ยว ถึงแม้เขาจะชอบดาบเล่มนี้ แต่มันก็ดูเก่าเกินไป หลายจุดบนตัวดาบมีสนิมขึ้นและดูพุพัง
“นี่คือสมบัติที่ท่านให้ข้างั้นหรือ?” หลินเซวียนกังวล “มันจะไม่หักใช่หรือไม่?”
“ฮึ! เจ้าหักมันไม่ได้หรอก!” เซียนสุรากล่าวเย้ยเยาะ “ดาบใหญ่เล่มนี้ แต่เดิมข้าคิดจะมอบให้เจ้าตอนเจ้าแข็งแกร่งขึ้น ตอนนี้ข้าฝืนใจที่จะมอบให้”
“ฝืนใจอะไร?” หลินเซวียนอุทานขณะเดินไปจับด้ามดาบ
เขารู้สึกสบายมืออย่างมาก! ทันทีที่หลินเซวียนจับด้ามดาบ เขาแทบจะไม่ต้องการปล่อยมือออก มันรู้สึกราวกับจับมือของเทพธิดา
หลินเซวียนพยายามดึงดาบขึ้นมาและคิดจะลองใช้วิชาดาบอัสนีกับมัน
แต่ผลที่ตามมาคือดาบสีชาดไม่ขยับ
“ฮึ!” เซียนสุราออกเสียงเย้ยหยันก่อนจะกล่าว “ยังเด็กเกินไป…”
ใบหน้าหลินเซวียนมืดดำขณะพยายามดึงดาบออก
เขาสูดหายใจลึกก่อนจะใช้แรงทั้งหมดที่มี ท้ายที่สุดดาบสีชาดค่อย ๆ ขยับออกจากพื้น
“บัดซบ! หนักชะมัด! มันทำมาจากวัสดุบ้าอะไรเนี้ย?” หลินเซวียนอดไม่ได้ที่จะสบถ
“ใช่ เจ้าจะยกมันได้เมื่อกล้ามเนื้อมีเรี่ยวแรงเพียงพอ ดูเหมือนจะเจ้าคิดว่าตนเองเก่งเกินไป” เซียนสุรากล่าวดับความมั่นใจ
ใบหน้าหลินเซวียนมืดดำอย่างมาก เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเซียนสุราถึงลังเล เขาพยายามโคจรพลังคงกระพัน จากนั้นพลังวิญญาณสีน้ำเงินได้หลั่งไหลออกมาจากร่างกาย
แขนของเขาหยุดสั่น แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ยังรู้สึกหนักเช่นเดิมแม้จะใช้พลังวิญญาณเข้าช่วย หลินเซวียนลองอีกครั้ง แต่ดูเหมือนจะสูญเสียพลังวิญญาณอย่างมาก
ตุบ!
หลินเซวียนวางดาบสีชาดลงกับพื้นก่อนจะยืนขึ้น
“ลุงขี้เมา ท่านคงไม่คิดจะแกล้งข้าใช่หรือไม่ ข้าจะใช้ดาบนี้ได้ยังไง?”
เซียนสุรากระดกเหล้าก่อนจะกล่าว “จงใช้มันให้ชิน การพิชิตมันจะทำให้เจ้าได้รับประโยชน์ที่คาดไม่ถึงแน่นอน ลองคิดดูสิว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงใดหากร่ายรำดาบหนักเช่นนี้ได้?”
แน่นอนว่าหลินเซวียนเองก็ชอบดาบเล่มนี้ตั้งแต่แรกเห็น เขาลุกขึ้นมองที่ตัวดาบก่อนจะกล่าว “นับตั้งแต่วันนี้ไป ข้าจะท่องใต้หล้าไปพร้อมกับเจ้า! ข้าจะเรียกเจ้าว่า ดาบเพลิงโลหิต”
เขาถ่ายเทพลังวิญญาณสีน้ำเงินลงบนตัวดาบ จากนั้นบนตัวดาบที่เป็นสนิมได้เกิดประกายแสงสีแดงขึ้น ขณะเดียวอักขระอันแปลกประหลาดได้ปรากฏตามมา แต่มันมองเห็นได้อย่างเลือนลางเท่านั้น
ปล.ขอปรับเปลี่ยนเวลาลงเป็น 20.00 นะครับ