ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 40
ตอนที่ 40 ประลอง
คำของหลินเซวียนฟังดูโอหังจนพวกเขาหันไปมองอย่างเหยียดหยาม
“เขากล้าสู้กับหนึ่งในสี่ยอดคนแห่งสำนักชั้นนอก เขารนหาที่ตายเสียแล้ว!”
“มันอยากจะล้มศิษย์พี่เจียง แต่กลับไม่มองดูตัวเองตอนนี้เลย!”
“คิดว่าเหยียบหินแล้วบินได้จะทำให้เจ้าคงกระพันงั้นหรือ? หัวของเขาคงถูกลาเตะมาเป็นแน่”
ทุกคนหัวเราะใส่หลินเซวียน ต้วนเฟ่ย หนึ่งในสี่ยอดคนเองก็เผยรอยยิ้มเหยียดหยามขณะที่เจียงอู่หลงหัวเราะดังลั่น
“ไอ้หนู ข้าไม่ทราบว่าเจ้าออกมาจากหลุมพิสดารได้ยังไง แต่เรื่องที่จะเอาชนะข้านั้นคงเป็นแค่มุขตลกของเจ้า! ตอนนี้คุกเข่าลงแล้วขอโทษซะ ข้าอาจจะไว้ชีวิต!”
หลินเซวียนดึงดาบเพลิงโลหิตจากด้านหลังออกมา ตอนนี้เขาฝึกมันจนเชี่ยวชาญแล้ว ขอบดาบเพลิงโลหิตได้ต้องแสงอาทิตย์ เป็นผลแสงประหลาดกระพริบไปมา
“ฮ่า ฮ่า! น่าขันนัก เจ้าจะเล่นอะไรอีก? จะเอาดาบเก่า ๆ ที่เต็มไปด้วยสนิมมาสู้งั้นเรอะ!”
“ข้าทราบว่าเจ้าจน แต่ไม่คิดว่าจะถึงขนาดต้องใช้ดาบพุพัง เจ้าคิดจะท้าศิษย์พี่เจียงจริงหรือเนี่ย?”
หลินเซวียนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ต้องการสนคำของคนเหล่านี้ สำหรับเขา การกระทำนั้นนับว่าเป็นสิ่งที่ใช้ตบหน้าได้เป็นอย่างดี แขนของเขาสั่นเล็กน้อย ดาบเพลิงโลหิตได้ทิ้งประกายสีแดงไว้ด้านหลังขณะฟันไปทางเจียงอู่หลง
“ฮืม แม้แต่พลังวิญญาณก็ไม่มี สมองเจ้าตายหรือไง!?”
“พี่เจียงฆ่ามันเลย!”
หลินเซวียนไม่ใช่พลังวิญญาณ แต่ใช้แค่พลังทางกายภาพเน้นๆ เขาได้ฝึกวิชากายหยกทองคำมาแล้ว ร่างกายของเขาไม่เพียงแต่แข็งแกร่งขึ้น มันยังทรงพลังขึ้นอีกด้วย
เจียงอู่หลงเห็นว่าหลินเซวียนใช้แค่พลังกายบุกเข้ามา มันทำให้ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน เขาคิดจะยืนรับดาบโดยไม่ใช้พลังวิญญาณเช่นกัน
แต่ทันใดนั้นเอง ม่านตาของเขาได้ตีบลงจนต้องถอยหลังออก ทันทีที่ดาบเพลิงโลหิตฟันลง เขาได้เห็นประกายแสงสีแดงวูบวาบอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางไปยังศีรษะของเขา แรงอันมหาศาลส่งผลให้เกิดลมกรรโชกตามหลังมา
เพียงลงดาบครั้งเดียว สถานการณ์ทั้งหมดได้เปลี่ยนไป!
ศิษย์รอบด้านถูกแรงของลมกรรโชกพัดจนถอยหลัง ผู้ที่ทนไม่ได้ถึงกับต้องโคจรพลังวิญญาณเพื่องป้องกันตนเอง พวกเขามองหลินเซวียนอย่างหวาดผวา ‘ไม่คาดคิดเลยว่าชายร่างเท่านี้จะมีพลังมหาศาล!’
หลังจากฟันพลาด หลินเซวียนได้ยกดาบเพลิงโลหิตขึ้นก่อนจะฟันไปทางศีรษะของเจียงอู่หลงในมุมที่พิสดารอีกครั้ง
“รนหาที่ตายนัก!” เจียงอู่หลงพลาดท่าในตอนแรก เป็นผลให้เขาอับอายไม่น้อย เขาชักดาบออกมาด้วยความโกรธ ทันใดนั้นเปลวเพลิงสีม่วงได้ปรากฏขึ้นรอบตัวดาบของเจียงอู่หลง บรรยากาศที่ว่างเปล่ารอบด้านร้อนขึ้นมาในทันที
ตู้ม!
ดาบยาวที่ติดเปลวเพลิงปะทะกับดาบเพลิงโลหิตของหลินเซวียน คลื่นพลังงานจากการปะทะได้กระจายออกไปรอบด้านทันที ทุกคนต่างพากันตกตะลึงจนหน้าซีด
ชิ้ง!
ดาบทั้งสองปะทะกันอย่างดุเดือดจนทำให้ประกายไฟสาดออกกลางอากาศ
“เขาประลองกับศิษย์พี่เจียงได้ยังไง?”
“ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่?” พวกเขาเริ่มขยี้ตามองอีกครั้ง
“เป็นไปไม่ได้ ศิษย์พี่เจียงแค่ยังไม่ได้เอาจริง เมื่อไหร่ที่เขาเอาจริง ไอ้หนูนั่นตายแน่!”
‘บัดซบ! ทำไมชายคนนี้ถึงเก่งขึ้นได้รวดเร็วนัก?’ เจียงอู่หลงขมวดคิ้ว ‘เราต้องตัดรากถอนโคนเดียวนี้ มิเช่นนั้นเขาจะเป็นปัญหาใหญ่ของเราแน่!’
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาจึงสะบัดมือพร้อมเปล่งพลังอันน่าสะพรึงออกมา
‘วิชาดาบ!’ ดวงตาหลินเซวียนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ‘เราจะใช้มันเพื่อทดสอบดาบเล่มใหม่นี้!’
หลินเซวียนยกดาบขึ้นตั้ง ใบหน้าของเขาสงบนิ่งพลางยิ้มอย่างมั่นใจ พลังวิญญาณของเขาเริ่มโคจรขณะยืนอย่างสง่างามราวกับดาบชั้นยอดที่ไม่อาจพังทลายได้
ขณะที่ทั้งสองจะเข้าปะทะกัน ทันใดนั้นได้มีเสียงหนึ่งได้ดังก้องขึ้นมาจากอีกฟาก
“หยุด!”
ถึงแม้เสียงนั่นจะดังเพียงใด แต่ดูเหมือนหลินเซวียนและเจียงอู่หลงยังไม่ได้ยิน พวกเขายังคงขยับดาบในมืออย่างช้า ๆ
ฟิ้ว!
มีดบินได้ลอยผ่านอากาศมาจากระยะไกลราวกับสายฟ้าฟาด
ติ้ง!
มีดบิดพุ่งไปทางดาบของทั้งสองราวกับจะแยกพวกเขาออกจากกัน หลินเซวียนสัมผัสได้ถึงแรงกดดันบางอย่าง มันทำให้เขาแทบจะพยุงดาบไม่ไหว
“พลังน่าสะพรึงนัก ชายคนนี้เป็นใคร?” หลินเซวียนตกตะลึง
เวลานี้ได้มีร่าง ๆ หนึ่งเดินเข้ามา เขาเป็นบุรุษที่หน้าตาหล่อเหลา ขณะเดียวกัน เขาได้งอนิ้วทั้งห้าและปล่อยออกมา จากนั้นมีดได้บินกลับมายังฝ่ามือ
หลินเซวียนมองฝ่ามือของชายหนุ่มผู้นี้แล้วถึงกับชะงัก เขาอดไม่ได้ที่จะอุทาน
ฝ่ามือของชายหนุ่มผู้นี้ขาวอย่างมาก อีกทั้งนิ้วมือยังเพรียวสวย มันราวกับมรกตชั้นยอด หลินเซวียนรู้สึกว่ามือที่งดงามเช่นนี้ไม่ควรเป็นของบุรุษ
“ท่านพี่!” เสียงเล็กแหลมราวกับระฆังได้ดังขึ้น จากนั้นร่างของสตรีได้วิ่งเข้ามาในระยะสายตาหลินเซวียน
“เขาคือถังอี้!” เมื่อเห็นถังอวี้ หลินเซวียนจึงทราบตัวตนของชายผู้นี้ทันที ถังอี้คือยอดฝีมืออันดับต้น ๆ ของสำนักชั้นใน
“อย่างที่คาดไว้ ยอดฝีมือในสำนักชั้นในนั้น พลังมิอาจหยั่งรู้ได้” นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเซวียนเข้าใจถึงการเป็นศิษย์ชั้นในอย่างชัดเจน
ถังอี้ลูบหัวถังอวี้อย่างอ่อนโยนก่อนจะเดินตรงไป
“ในฐานะศิษย์ของสำนักซวนเทียน เจ้าจงจำไว้ว่าอย่าทำให้สำนักเสื่อมเสียเกียรติด้านนอก!”
“ขอบคุณศิษย์พี่ หลินเซวียนจะจำไว้”
เมื่อเห็นหลินเซวียนสุภาพอย่างมาก ใบหน้าของถังอี้จึงคลายลง เขาหันไปมองเจียงอู่หลงต่อ
เจียงอู่หลงกัดฟันแน่นก่อนจะกล่าว “คำของศิษย์พี่ อู่หลงจะจำไว้“
จากนั้นเขาหันไปมองหลินเซวียน “ในการทดสอบศิษย์ชั้นในเดือนหน้า ข้าจะทำให้เจ้าอับอายต่อสายตาผู้คนเอง!”
ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ นี่เป็นคำท้าของเจียงอู่หลง อัจฉริยะจากหนึ่งในสี่ยอดคนของสำนักชั้นนอกได้ประกาศท้าประลอง!
“ข้าจะรอดู” ใบหน้าหลินเซวียนยังคงสงบนิ่งราวกับว่ามันเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย
“สวรรค์! หลินเซวียนมันตอบตกลงด้วยว่ะ! เขาบ้าไปแล้วหรือ?” ศิษย์สำนักซวนเทียนต่างพากันตกตะลึง และข่าวนี้ได้แพร่สะพัดไปทั่วสำนักชั้นนอก
“ไปกันเถอะ!” เจียงอู่หลงจากไปพร้อมคนพรรคปราณเทวะ
……
หลินเซวียนได้กลับมายังกระท่อมของตนแล้ว เหตุการณ์หลายวันก่อนหน้านี้ราวกับความฝัน มันแปลกประหลาดอย่างมาก
หลังจากพักผ่อนอย่างเต็มที่ หลินเซวียนได้เข้าสู่กระบวนการบ่มเพาะพลังอีกครั้ง ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปอย่างมาก ทั้งร่างกาย สมาธิ และพลัง พวกมันได้พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อนึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งเดือน หลินเซวียนถึงกับใจเต้นแรง
การทดสอบศิษย์ชั้นในนั้นเป็นตัวกำหนดว่าศิษย์ชั้นนอกจะเข้าไปยังสำนักชั้นในได้หรือไม่ ยิ่งอันดับสูงก็ยิ่งดึงดูดความสนใจได้มาก และสำนักย่อมจะสนับสนุนผู้ที่มีความสามารถ
“เราอยากได้อันดับหนึ่ง!” หลินเซวียนกล่าวอย่างหนักแน่น
ในอดีตเขาเป็นเพียงขยะที่ไม่สามารถฝึกฝนได้ และต้องทนทุกข์ทรมานกับความอัปยศอดสู ตอนนี้เขาสามารถฝึกฝนได้แล้ว แน่นอนว่าเขาต้องยืนให้อยู่ในจุดสุดยอดของวรยุทธ์ เขาต้องแข็งแกร่งขึ้นและกลับไปยังตระกูลอย่างสง่าผ่าเผย!