ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 52
ตอนที่ 52 โทสะของหลินเซวียน
เสียงของผู้ตัดสินดังขึ้น “หมายเลข ‘135’ หลินเซวียน เป็นฝ่ายชนะ”
บนอัฒจันทร์ ยังมีศิษย์หลายคนของพรรคเทพสงครามไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
สำหรับการประลองต่อมา หลินเซวียนใช้เพียงไม่กี่กระบวนท่าก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้
“แข็งแกร่งเกินไป เขาอยู่ในยี่สิบอันดับแรกหรือเปล่า?” ศิษย์หลายคนเริ่มชื่นชมหลินเซวียน
เมื่อมาถึงจุดนี้ ผู้คนมากมายได้นับว่าหลินเซวียนเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์อีกคนแล้ว บางคนยังหวังว่าเขาจะสามารถทำลายประตูอีกบานและกลายเป็นยอดคนของสำนักชั้นนอก
“ยังไม่ง่ายนักหรอก ถึงแม้หลินเซวียนจะแข็งแกร่ง แต่เขาก็ยังห่างชั้นจากสี่ยอดคนแห่งสำนักชั้นนอกอยู่ แม้แต่สิบอันดับแรกยังเข้าไปไม่ได้เลยกระมั้ง?” แน่นอนว่ายังมีศิษย์บางคนที่ไม่ชอบหลินเซวียนอยู่
“ไม่หรอก หลินเซวียนยังแทบไม่ได้ใช้พลังวิญญาณเลย ข้าคิดว่าเขาน่าจะมีโอกาสทะลวงเข้าไปในสิบอันดับแรกได้“
“บางทีเขาอาจแข็งแกร่งแค่พลังทางกายภาพ แต่พลังวิญญาณนั้นอาจจะไม่ได้โดดเด่นนัก” ศิษย์หลายคนไม่เชื่อว่าหลินเซวียนจะมีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่ง หากเป็นแบบนั้นจริง เขาคงลำบากแน่นอน
“การประลองรอบต่อไป หลิวหยุน พบกับ หยานกง“
คนที่กำลังถกเถียงกันเรื่องหลินเซวียนได้หยุดลง สายตาพวกเขาหันไปมองยังลานประลองหมายเลขหนึ่งทันที
หลิวหยุนคือศิษย์อันดับหนึ่งในเทียนอันดับสำนักชั้นนอก และยังเป็นหนึ่งในสี่ยอดคน เขาไม่ได้อยู่ในพรรคสังกัดใด แต่ก็ไม่มีใครกล้าไปหาเรื่องเขา
หยานกงใบหน้าดำมืดราวกับเถ้าถ่าน เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากสาปแช่งในใจ อันที่จริงเขาต้องการยอมจะแพ้ แต่ด้วยสถานะปัจจุบันนั้นค้ำคอไว้อยู่ หากผู้จัดการพรรคปราณเทวะของประตูชั้นนอกวิ่งหนีการต่อสู้ มันจะทำให้พรรคปราณเทวะสั่นคลอนแน่นอน
โชคดีที่เขายังพอจะมีฝีมืออยู่บ้าง ถึงแม้จะเอาชนะหลิวหยุนไม่ได้ มันก็ยังพอจะรักษาหน้าได้อยู่
ฟู้ม! หยานกงยืนขึ้นและทะยานขึ้นไปยังลานประลอง
อีกฝั่งหนึ่ง หลิวหยุนนั้นยืนตระหง่านราวกับเทพปีศาจ เขาไม่แม้แต่จะลืมตาขณะอยู่บนลานประลอง
‘หยิ่งผยอง… หยิ่งผยองเกินไปแล้ว’
หยานกงตัวสั่นจากโทสะ ถึงแม้คู่ต่อสู้จะเป็นศิษย์อันดับหนึ่ง แต่เขาก็เป็นถึงศิษย์อันดับเก้าที่มีพรสวรรค์เช่นกัน อีกอย่าง เขายังเป็นถึงผู้ดูแลพรรคปราณเทวะในสำนักชั้นนอก แต่ตอนนี้กลับถูกเมินโดยคนตรงหน้า
ทันทีที่นึกได้ เขาจึงใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดเพื่อจะทำให้หลิวหยุนสนใจ
“วิชาดาบแปดทิศ!” หยานกงฟันดาบออกไปอย่างรวดเร็ว มันเข้าล้อมรอบหลิวหยุนในทุกทิศทาง
“ฮึ นี่คือวิชาขั้นสีเหลืองระดับสูง และข้ายังฝึกฝนจนไปถึงระดับสูงเช่นกัน ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะไม่เปิดตา!” หยานกงกล่าว
แกร๊ก!
ขณะหยานกงกำลังภาคภูมิใจในวิชาดาบของตน หลิวหยุนได้ยื่นฝ่ามือออกไปตรงหน้า ดาบที่ฟันเข้ามาทุกทิศทางแตกออกราวกับกระจกในทันที
“อะไรกัน?” หยานกงเผยใบหน้าหวาดผวา
ศิษย์บนอัฒจันทร์เองก็ตกตะลึงจนลืมหายใจ
เจียงอู่หลงยืนขึ้นมองหลิวหยุนอย่างจริงจัง “ชายคนนี้ร้ายกาจขึ้นอีกแล้วงั้นหรือ? ข้าอยากจะสู้กับเจ้านัก ข้าอยากจะให้ทุกคนทราบว่า ข้าต่างหากที่เป็นอันดับหนึ่งในสำนักชั้นนอก”
ดวงตาของต้วนเฟ่ย เฉินเซี่ยเอ๋อ และคนอื่น ๆ ต่างเปล่งประกาย ไม่มีใครทราบว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่
บนอัฒจันทร์สีทอง ผู้อาวุโสหลีได้กล่าว “ยอดเยี่ยม!”
บนลานประลอง หยานกงมองการโจมตีของตนแตกสลายอย่างตกตะลึง อีกทั้งเขายังไม่สามารถต้านมันได้แม้แต่น้อย เวลานี้ หลิวหยุนนั้นราวกับหอกอันเจิดจรัสที่ยืนอยู่ตรงหน้า
และดวงตาของเขายังคงปิดสนิท…
ตู้ม!
จากนั้นไม่กี่ลมหายใจ คลื่นกระแทกได้ปะทุขึ้นกลางอากาศ เป็นผลให้หยานกงกระเด็นออกนอกลานประลอง
“ผู้ชนะ หลิวหยุน!”
หลังจากสิ้นสุดการประลองได้ไม่นาน ผู้คนก็ได้สติกลับมา พวกเขามองหลิวหยุนอย่างตกตะลึงขณะกำลังเดินออกจากลานประลอง
“ล้ำลึกนัก!” หลินเซวียนประเมินชายนามหลิวหยุน เขาไม่คาดคิดว่าจะมีคนเช่นนี้ในสำนักชั้นนอก
“ฮึ! โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาล อัจฉริยะที่มีพรสวรรค์มากมายอยู่ภายนอกเขตหยุนโจว หากเจ้าออกไป เจ้าจะพบว่าโลกนี้ยังมีคนที่แข็งแกร่งกว่านี้อยู่อีกมาก” เซียนสุรากล่าวขึ้นในใต้จิตสำนึกของหลินเซวียน “ไม่มีอะไรมากมาย แค่ศิษย์ของราชวังเทพสงครามด้านนอกก็สามารถทำเลยเขตหยุนโจวได้ด้วยตัวคนเดียวแล้ว“
หลินเซวียนตกใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าโลกภายนอกจะน่ากลัวกว่าที่เขาคิด
“เราต้องไปยังราชวังเทพสงครามให้ได้หากมีโอกาส” หลินเซวียนตัดสินใจอย่างลับ ๆ
การประลองยังคงดำเนินต่อไป มันมีการต่อสู้ที่ตื่นเต้นมากมาย และผู้คนก็ดูชมกันอย่างสนุกสนาน
แต่ทันใดนั้นได้มีการประลองหนึ่งที่ดูแปลกประหลาดต่อสายตาผู้คนรอบด้าน
มันคือการประลองของหมายเลข ‘134’
เจียงอู่หลงพบกับหยินฉิงอี้
ช่องว่างระหว่างอันดับของพวกเขานั้นกว้างอย่างมาก มันจึงดึงดูดสายตาผู้คนรอบด้าน ศิษย์หลายคนที่อิจฉาในโชคลาภของหยินฉิงอี้ถึงกับเย้ยเยาะ
“ข้าเกรงว่านางโชคของนางคงหมดแล้วที่ต้องมาเจอกับเจียงอู่หลง“
“ใครคือหยินฉิงอี้ ข้าอยากจะเห็นนัก” บนอัฒจันทร์ ศิษย์มากมายต่างตั้งหน้าตั้งตารอ
“เจ้าไม่จำเป็นต้องฝืนก็ได้หากมันเกินตัว” หลินเซวียนรู้สึกเป็นกังวล
“ใช่ เจียงอู่หลงนั้นน่ารังเกียจมาก เจ้าไม่จำเป็นต้องไปสู้กับเขาหรอก” ถังอวี้กล่าวแนะนำเช่นกัน
“ข้า… ข้าอยากจะลองดู” หยินฉิงอี้ก้มหัวขณะกล่าวเสียงเบาค่อย
“อะไรนะ? เจ้า…” ถังอวี้คิดจะกล่าวบางอย่าง แต่ก็ถูกหยุดโดยหลินเซวียน
“เช่นนั้นก็สู้ให้เต็มที่!” เสียงของหลินเซวียนฟังดูอบอุ่น มันราวกับแสงแดดยามบ่ายส่องลงไปในจิตใจของสตรีผู้นี้
“อ๊ะ!” หยินฉิงอี้เงยหน้าขึ้นมองหลินเซวียนอย่างประหลาดใจ ความตื่นเต้นปรากฏขึ้นในดวงตาของนางเล็กน้อย
“ตกลง” นางพยักหน้าอย่างแรง
สตรีร่างบอบบางค่อย ๆ เดินขึ้นไปบนลานประลองที่ห้า
นางก้มหน้าตลอดทางขณะจับชุดกระโปรงไว้แน่น
“ฮึ สตรีงั้นเรอะ?” เจียงอู่หลงยืนอย่างหยิ่งผยองอยู่บนลานประลอง “ยอมแพ้ไปเสียเถอะ มันไม่มีประโยชน์ที่จะต้องมาสู้กับศิษย์ต่ำต้อยอย่างเจ้า“
บนอัฒจันทร์ ศิษย์หลายคนรู้สึกเห็นใจหยินฉิงอี้ เพราะนางดูบอบบางอย่างมากต่อหน้าเจียงอู่หลง มันราวกับต้นหญ้าที่จะหักได้ตลอดเวลา
แต่นางก็ยังคงมองไปตรงหน้าอย่างมุ่งมั่น “ได้โปรดชี้แนะด้วย”
“ตายซะ” เจียงอู่หลงอุทานอย่างเย็นเยือกขณะปล่อยปราณดาบไปทางหยินฉิงอี้
ทุกคนต่างพากันลืมหายใจขณะมองสตรีร่างบอบบางผู้นี้ พวกเขาอยากจะเห็นว่านางจะหลบหลีกได้ยังไง
แต่ไม่มีใครทราบว่าหยินฉิงอี้ไม่ได้คิดจะหลบ นางปักดาบลงบนพื้นพร้อมใช้นิ้วตวัดอักขระแปลกประหลาด รอบตัวนางได้เกิดเขตอาคมรูปดาบพร้อมอักขระลึกลับที่หมุนอยู่รอบตัว
เมื่อนิ้วของนางเปลี่ยนทิศทางไปมา เขตอาคมนั้นยิ่งเปล่งแสงมากขึ้นและปกป้องตัวนางจากการโจมตี
ชืด!
ปราณดาบสีแดงปะทะเข้ากับเขตอาคมรอบตัวนาง มันราวกับน้ำแข็งที่กำลังละลายก่อนจะหายไปอย่างลึกลับ
ทุกคนไม่คาดคิดว่าสตรีบอบบางผู้นี้จะป้องกันการโจมตีของเจียงอู่หลงได้ หลายคนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา ศิษย์พรรคเทพสงครามบางคนถึงกับหัวเราะเยาะเจียงอู่หลง
“ออกไปจากที่นี่!” ตอนนี้อารมณ์ของเจียงอู่หลงไม่ค่อยดีนัก ทั้งการปรากฏตัวของหลินเซวียน ความสงบของต้วนเฟ่ย ความเย็นชาของหลิวหยุน ทั้งหมดมันทำให้เขารู้สึกวิตกอย่างมาก
ทันใดนั้นประกายแสงสีแดงได้ปรากฏขึ้นบนตัวดาบขณะพุ่งไปหาหยินฉิงอี้
“อ๊ะ!” หยินฉิงอี้อุทานอย่างตกใจก่อนจะรีบสร้างเขตอาคม แต่ไม่นาน นางก็ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีแดง
ร่างกายอันบอบบางของนางลอยค่อย ๆ กระเด็นออกไปพร้อมกับแสงสีแดงนั่น มันราวกับว่านางจะหลุดออกไปในโลกอันมืดมิดอย่างไร้ขอบเขต
ทันใดนั้นประกายแสงจากดวงอาทิตย์ได้ทะลวงความมืดเข้ามาพร้อมแขนคู่หนึ่งประคองตัวนางไว้ พลังวิญญาณอันอบอุ่นหลั่งไหลเข้าตัวของนางโดยทันที
หยินฉิงอี้เปิดตาขึ้นก่อนจะเอ่ยคำอย่างแผ่วเบา “หลิน หลินเซวียน…”
หลินเซวียนคว้าตัวหยินฉิงอี้พร้อมโคจรพลังให้นาง ขณะเดียวกันความสงบอันเย็นเยือกของเขาได้เปลี่ยนเป็นโทสะของสัตว์ร้าย
“ไอ้สารเลว!” เขาจ้องเขม็งไปที่เจียงอู่หลงอย่างโกรธเคือง