ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 60
ตอนที่ 60 เหนือการควบคุม
สองกระบวนท่ายังไม่สามารถเอาชนะได้ เวลานี้ใบหน้าของหลิวหยุนเริ่มเคร่งขรึมมากขึ้น
“อีกกระบวนท่าเดียว หลินเซวียน หากเจ้าสามารถรับมันได้ เจ้าจะกลายเป็นผู้ชนะทันที!” เสียงของหลิวหยุนดังขึ้น
“มีอะไรอีกก็ใช้มาได้เลย!” หลินเซวียนเลิกสุภาพพร้อมกล่าวตอบอย่างท้าทาย
“กระบวนท่าที่สาม หอกสุริยัน!” หอกสีม่วงในมือของหลิวหยุนถูกชูขึ้นฟ้า บนปลายหอก วังวนสีม่วงกำลังหมุนอยู่อย่างรวดเร็ว พลังวิญญาณสีม่วงของเขากำลังถูกโคจรอย่างหนัก ภายใต้การหมุนของวังวน ก้อนพลังงานขนาดเท่ากำปั้นได้ปรากฏขึ้น และมันยังดูเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ม่านตาหลินเซวียนจมลง ก้อนพลังงานเหนือหอกสีม่วงนั้นทำให้เขารู้สึกวิตก เขาเกรงว่ากระบวนท่าที่สามนี้จะร้ายกาจกว่าสองกระบวนท่าก่อนหน้า
นอกเหนือจากกระบวนท่าทั้งหมดของเขา หลินเซวียนไม่อยากจะใช้วิชาดาบดาวตกนัก เพราะเปรียบเสมือนท่าไม้ตายของตน
“เห็นทีเราจะต้องลองวิชาดาบอัสนีระดับที่สาม” หลินเซวียนไม่ค่อยมั่นใจมากนัก
แต่ตอนนี้เขาก็ไม่มีเวลามาคิดแล้ว เพราะหลิวหยุนที่สร้างก้อนพลังงานสีม่วงกำลังพุ่งมาอย่างรวดเร็ว ด้วยความเร็วระดับนี้ ต่อให้เป็นก้าวเท้าเงาของหลินเซวียนก็ไม่สามารถหลบได้
หลังจากโคจรพลังคงกระพันในร่างอย่างคลุ้มคลั่ง ดาบเพลิงโลหิตได้เปล่งแสงสีทองก่อนจะฟันกวาดออกไป
ตู้ม!
เวลานี้ทั้งสองกำลังประชันพลังกัน และดูเหมือนดาบเพลิงโลหิตที่เอาชนะกระบวนท่าที่สองก่อนหน้านี้เริ่มจะเสียสูญ ใบหน้าของหลินเซวียนได้เผยถึงความอ่อนแอเล็กน้อย
“ล้มลงไปซะ!” หลิวหยุนดันก้อนพลังสีม่วงลงไปยังดาบเพลิงโลหิตของหลินเซวียน และมันค่อย ๆ เคลื่อนเข้าหาหลินเซวียนทีละน้อย
กระบวนท่านี้ใช้พลังวิญญาณเกินครึ่งของหลิวหยุนเพื่อสร้างก้อนพลังงาน เขาทราบว่าหลังจากใช้กระบวนท่านี้แล้ว เรี่ยวแรงของตนจะต้องตกลงอย่างมาก มันจึงเป็นเหตุผลที่เขาบอกว่าจะตัดสินแพ้ชนะกันในสามกระบวนท่า
เมื่อเผชิญหน้ากับก้อนพลังงานนี้ ทั่วทั้งร่างของหลินเซวียนถึงกับรู้สึกอึดอัด มันราวกับภูเขาที่มองไม่เห็นกำลังกดทับตัวเขาอยู่
“มันจบแล้ว หลินเซวียนกำลังจะแพ้!” ทุกคนมองดูสถานการณ์บนลานประลอง และร่างที่กำลังจะล้มลงของหลินเซวียนได้ประจักษ์ต่อสายตาพวกเขา “แน่นอนสิ ไม่ว่ายังไงหลิวหยุนก็ต้องเก่งกว่า!”
‘เราจะแพ้งั้นหรือ? ไม่! เราจะมาแพ้ที่นี่ไม่ได้!! หากเอาชนะคนพวกนี้ไม่ได้ เช่นนั้นจะเอาหน้ากลับไปพบตระกูลได้ยังไง?’ ดวงตาหลินเซวียนเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ เขาต้องการพลังมากกว่านี้!
“อ๊าก!” ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง กล้ามเนื้อทั้งตัวของเขากำลังเร่งเร้าประสิทธิภาพในตัวอย่างหนักหน่วงภายใต้วิชาดาบอัสนี
ตู้ม!
ภายใต้แรงกดดันอันหนักหน่วง พลังวิญญาณของเขาพุ่งทะลุไปยังขั้นเปิดชีพจรระดับหก จากนั้นลมหายใจอันทรงพลังก็ได้ถูกระเบิดออกมา
“ฮืม?” บนอัฒจันทร์สีทอง ใบหน้าผู้อาวุโสฟ่างเปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้งขณะมองหลินเซวียน แต่เดิมเขาคิดว่าหลินเซวียนกำลังจะแพ้ แต่กลับไม่คาดคิดว่าหลินเซวียนจะก้าวหน้าขึ้นในระหว่างประลอง สิ่งนี้เหนือความคาดหมายของเขาอย่างมาก
ไม่ใช่แค่ผู้อาวุโสฟ่าง แต่ยังรวมถึงศิษย์ที่คิดว่าจะหมดหวังแล้วก็กลับขึ้นมาตื่นเต้นอีกครั้งเช่นกัน
แน่นอนว่าคนที่ประหลาดใจที่สุดก็คือหลิวหยุน ตอนแรกเขาสัมผัสได้ถึงพลังที่ล่าถอยของหลินเซวียนได้ดีที่สุด หากยังกดพลังลงไปเรื่อย ๆ เช่นนั้นชัยชนะย่อมเป็นของเขาแน่นอน แต่ก็ไม่คาดคิดว่าในช่วงวิกฤติ หลินเซวียนกลับสามารถบรรลุขั้นพลังได้
ถูกต้อง หลินเซวียเพิ่งบรรลุขั้นพลังไป แต่เดิมเขาอยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับห้าและใกล้จะบรรลุมันเต็มที ตอนนี้ด้วยสภาพแวดล้อมและแรงกดดัน มันจึงทำให้เขาบรรลุขั้นเปิดชีพจรระดับหกต่อหน้าทุกคน
‘เพียงสามเดือน เขาสามารถบรรลุขั้นเปิดชีพจระดับสามมาจนถึงระดับหกได้ สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสำนักซวนเทียน’
ขณะเดียวกัน พลังของหลินเซวียนได้เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ด้วยการเสริมแรงจากพลังคงกระพัน มันทำให้เขามีกำลังทัดเทียมกับหลิวหยุนแล้ว
ลมหายใจอันแข็งแกร่งถูกพ่นออกมาจากร่างของเขา ก้อนพลังสีม่วงที่เกือบจะล้มหลินเซวียนได้ถูกดันกลับมาอีกครั้ง
แต่ขณะที่ผู้คนรอบด้านคิดว่าการประลองนี้จะยืดเยื้อ ก้อนพลังงานสีม่วงก็เริ่มเปลี่ยนรูปจนผิดแปลกไป มันราวกับจะระเบิดได้ตลอดเวลา
ตู้ม!!!!
แน่นอนว่าเพียงไม่กี่ลมหายใจ เสียงระเบิดก็ดังขึ้น ทั่วทั้งลานประลองได้ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีม่วง
“นี่มัน!” บนอัฒจันทร์สีทอง ผู้อาวุโสหลีได้ยืนขึ้นมองสถานการณ์ในลานประลองอย่างตื่นตระหนก ศิษย์มากมายเองก็รู้สึกตื่นตระหนกและทนนั่งไม่ได้อีก
ฟูม!
ร่างหนึ่งได้ลอยออกมาจากลานประลองและทะยานลงไปยังพื้นที่โล่งด้านข้าง เขาคือผู้ตัดสิน ในมือของเขามีหลิวหยุนและหลินเซวียนอยู่
เมื่อครู่นี้ เห็นได้ชัดว่าก้อนพลังงานสีม่วงนั้นอยู่เหนือการควบคุมของหลิวหยุน ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถควบคุมพลังได้อีก ในช่วงวิกฤติ ผู้ตัดสินได้ตัดสินใจเข้าไปช่วยทั้งสอง เพราะสำนักเองก็ไม่ต้องการสูญเสียศิษย์ที่มีพรสวรรค์ไปแบบนั้น
ปากหลิวหยุนเต็มไปด้วยเลือด ใบหน้าของเขาซีดเผือด และยังมีร่องรอยการบาดเจ็บอีกมาก ส่วนหลินเซวียนแค่หน้าซีดเท่านั้น
หากมองให้ดี ๆ จะเห็นว่าผิวหนังของเขามีลวดลายของเส้นสีดำอยู่ จากระยะไกลจะเห็นว่ามันเป็นลวดลายของดอกบัว ผู้ตัดสินคิดว่าหลินเซวียนคงมีวิชาลับบางอย่าง ดังนั้นเขาจึงไม่เอ่ยถาม แต่สายตาของเขาก็ยังเต็มไปด้วยอาการตกตะลึง
ฟูม…
ลวดลายของดอกบัวสีดำเริ่มหายไปอย่างช้า ๆ ดอกบัวลึกลับนี้นับว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดของหลินเซวียนอย่างมาก ทุกครั้งที่ชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตราย มันจะออกมาปกป้องเขา กลับกัน จี้ดาบในตัวเขากลับไม่แสดงปฏิกิริยาอันใดเลย
“เสี่ยวเซวียน เจ้าไม่เป็นอะไรนะ?” ในสำนักซวนเทียน เซียนสุราไม่กล้าจะทำอะไรทั้งนั้น มิเช่นนั้นหากเขาถูกเผยตัวตน หลินเซวียนก็จะต้องถูกจับตัวแน่นอน
“ข้าบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่มีอะไรต้องกังวล” หลินเซวียนกล่าวอย่างอ่อนแรง
เซียนสุราพยักหน้าและไม่กล่าวสิ่งใดอีก
เหตุการณ์วุ่นวายเมื่อครู่ทำให้บรรดาศิษย์เริ่มพูดคุยกันอีกครั้ง บางคนก็ตื่นเต้น บางคนก็เป็นกังวล แต่ก็มีหลายคนที่อยากทราบผลการประลอง
“เจ้าชนะแล้ว” หลิวหยุนพยุงตัวขึ้นพร้อมเอ่ยอย่างแผ่วเบา เขาบาดเจ็บหนัก แต่หลินเซวียนกลับไม่มีแม้แต่เลือดสักหยด ความต่างชั้นนี้ทำให้เขารู้สึกอึดอัดไม่น้อย
หลังจากได้ยินคำของหลิวหยุน ผู้ตัดสินจึงพยักหน้าก่อนจะมอบยาให้ จากนั้นเสียงก็ได้ดังขึ้น “ผู้ชนะคือหลินเซวียน!”
ผู้ชนะคือหลินเซวียน!
เสียงนั่นดังก้องอยู่ในลานประลองอยู่เป็นเวลานาน
ไม่มีใครคาดคิดว่าหลินเซวียนจะกลายเป็นผู้ชนะ ชายหนุ่มร่างกายเพรียวบางผู้นี้ได้ทำลายประตูของสี่ยอดคน อีกทั้งยังเอาชนะอันดับหนึ่งของเทียนอันดับสำนักชั้นนอกได้
สายตาของผู้คนที่มองหลินเซวียนได้เปลี่ยนไปทันที มันมีทั้งความหวาดกลัว อิจฉา และชื่นชม