ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 78
ตอนที่ 78 หัวใจแห่งดาบ
การเปลี่ยนแปลงบนภาพที่ฉายอยู่นั้นทำให้ผู้คนตื่นเต้น เพราะพวกเขาทั้งหมดกำลังจะชนะเดิมพัน มันย่อมเป็นธรรมชาติที่จะมีความสุขเมื่อเห็น
ภายในมิติเสมือนจริง ใบหน้าของหลินเซวียนเปลี่ยนเป็นมืดดำ เขาสงบลงจากความประหลาดใจครั้งแรก แต่การกระทำของตระกูลหลิงยากที่เขาจะยอมรับ
ในฐานะผู้จัดการ เพียงแค่ความยุติธรรมพื้นฐานก็รักษาไว้ไม่ได้ หลินเซวียนรู้สึกไม่พอใจกับมัน
แน่นอนว่ามันก็เป็นไปไม่ได้เช่นกันที่จะให้เขายอมแพ้ ในฐานะผู้ใช้ดาบ เขายอมหักมากกว่างอ หากเขาก้มหัวให้กับสิ่งตรงหน้านี้มันจะหมายความอะไร?
อีกด้านหนึ่ง ฉีเจว่ถึงกับแสยะยิ้มชั่วร้าย ดาบสีม่วงในมือของเขากวัดแกว่งราวกับคลื่น กล่าวได้ว่าเขากลับมาได้เปรียบอีกครั้ง
“ไม่มีใครควบคุมเราได้ เราจะใช้ดาบในมือนี้ฟันทุกอย่างให้สิ้น!” หลินเซวียนเผยดวงตาอันมุ่งมั่น
“อัสนีพิโรธ!”
ดาบที่แทงออกไปถูกปกคลุมด้วยสายฟ้าที่เกรี้ยวกราด เสียงของฟ้าร้องดังสนั่นขึ้นขณะโจมตีไปยังฉีเจว่
“กระบวนท่าที่เจ็ด!” ฉีเจว่กัดฟันแน่นขณะโคจรพลังวิญญาณในร่าง ดาบสีม่วงของเขาเปลี่ยนรูปเป็นดาบสามเล่ม จากนั้นมันได้หมุนวนจนเป็นเหมือนใบพัด
ตู้ม!
หลังจากเสียงดังสนั่น ดาบของหลินเซวียนแทงทะลุควงสว่านของฉีเจว่ได้อย่างง่ายดาย
“ไม่!” ฉีเจว่อุทานขึ้นดังก่อนจะกระเด็นออกไปราวกับว่าวติดลม จากนั้นเขาได้กระแทกลงกับพื้นอย่างน่าอาย เสื้อของเขาขาดวิ่น อีกทั้งยังมีรอบดาบฟันปรากฏอยู่ตรงหน้าอก
ถึงแม้มันจะไม่ใช่ร่างกายจริง แต่ฉีเจว่ก็รู้สึกเจ็บปวดกับรอยแผลนี้ เขารู้สึกว่าพลังวิญญาณภายในตัวเริ่มโคจรติดขัด
“ข้าจะแพ้งั้นรึ? ไม่ ข้าจะแพ้ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนี้ได้ยังไง!” ดวงตาของฉีเจว่เผยถึงความคลุ้มคลั่งอย่างเห็นได้ชัด เขาพยายามลุกยืนอย่างยากลำบากก่อนจะยกดาบขึ้น
“ข้าจะแสดงกระบวนท่าสุดท้ายของ วิชาดาบแปดกระบวนท่าให้เจ้าเห็นเอง!”
ผ้าคลุมด้านหลังของเขาสงบลงก่อนจะเก็บดาบเข้าไปในฝัก ในเวลาต่อมา เงาดาบได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
“ดาบนี้แทบไม่มีใครในขั้นพลังเดียวกับข้าสามารถต้านได้ เจ้าเองก็เช่นกัน!” ใบหน้าฉีเจว่เปลี่ยนเป็นดุร้าย
จากนั้นเขาได้กวัดแกว่งดาบอย่างสุดกำลัง
มิติรอบด้านถึงกับฉีกออก ลมกรรโชกแรงได้พัดกลับมาจากด้านหลัง เงาดาบขนาดมหึมาสามเล่มได้ฟันลงไปที่หลินเซวียน
หลินเซวียนส่งเสียงคำรามดังยาว เขาไม่คิดจะถอยเช่นกัน แขนขวาและดาบของเขาได้เปลี่ยนเป็นสีทองขาว ปะจุไฟฟ้าหมุนวนรอบตัวดาบของเขาถี่ยิ่งขึ้น
“คนโง่ย่อมไม่เกรงกลัวความตาย กล้าที่จะขัดคำสั่งข้างั้นเรอะ! ข้าบอกไปแล้วว่าเจ้าต้องยอมแพ้!” เสียงของผู้ดูแลมิติดังขึ้น
ทันทีที่เสียงนั้นสิ้นสุด ดาบในมือของหลินเซวียนได้หักออกจนเหลือแค่ครึ่งเดียว
ต่อหน้าคนมากมาย ผู้ดูแลมิติวิญญาณนี้ไม่สามารถลงมือกับหลินเซวียนได้โดยตรง แต่มันก็ยังพอจะทำอะไรสักเล็กน้อยได้ ดาบที่หักของหลินเซวียนก็เป็นฝีมือผู้ดูแลคนนี้
แน่นอนว่ามันทำให้ทุกคนประหลาดใจ
หลิงเจ๋อหัวเราะอย่างเย้ยหยัน เขาทราบหลินเซวียนทำให้ผู้ดูโกรธแลอย่างมากที่ไม่ยอมแพ้ ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ไม่ยอมให้หลินเซวียนชนะ
ใบหน้าฉีเจว่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย “ฮ่าฮ่า! แม้แต่สวรรค์ยังช่วยข้า เจ้าตายแน่!”
หลินเซวียนมองไปยังดาบที่หักด้วยความโกรธ ทันใดนั้น เขาได้นึกถึงร่างของบุรุษผู้ลึกลับตอนที่อยู่ในหลุมพิสดารได้
เย่อหยิ่ง มึนเมา พูดคุย และหัวเราะเพื่อทำลายศัตรูตรงหน้า
เวลานี้หลินเซวียนพอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาเล็กน้อย รอยยิ้มได้ปรากฏขึ้นตรงมุมปากเขาทันที ‘ถึงแม้เจ้าจะหักดาบของเขา เจ้าก็หักอุดมการณ์ข้าไม่ได้! ดาบที่แท้จริงคือหัวใจของข้า!’
ประกายสายฟ้าสีทองยังไม่หายไป แต่มันกลับก่อตัวเป็นรูปดาบผสานเข้ากับดาบที่หัก
“จงเกรงกลัวดาบของข้า!” ร่างของหลินเซวียนเปล่งประกายเป็นสีทองส่องสว่างไปทั่วฟ้าดิน ดาบสายฟ้าอันน่าสะพรึงทะลวงดาบสีม่วงของฉีเจว่จนไม่เหลือซาก
ตู้ม!!!
เมื่อดาบตกลงสู้พื้นดิน ร่างของฉีเจว่ได้กระแทกตามไปด้วย ไม่นานร่างของฉีเจว่ได้กลายเป็นแสงสีขาวและถูกส่งออกยังร่างเดิม
ขณะเดียวกัน หลินเซวียนได้ชูดาบชี้ไปบนฟ้าอย่างสง่างาม
ดาบที่รวดเร็วดุจสายฟ้านั้นตราตรึงอยู่ในใจของผู้คนมากมาย หลังจากผ่านไปนาน บรรดานักสู้และผู้ชมต่างได้สติกลับมาอีกครั้ง
“ทำไมหลินเซวียนยังอยู่ที่นั่น? เขาไม่ถูกส่งออกมาหรือ?”
“ทำไมเขาถึงชี้ดาบขึ้นฟ้า? หรือว่ามีศัตรูอยู่บนนั้น?” บรรดานักสู้ในศาลาต่างคุยกันเสียงดัง
ทั้งตัวของหลินเซวียนกำลังโคจรพลังอย่างดุเดือด มันราวกับว่าเขาพร้อมจะต่อสู้อยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าเขารอการโจมตีของผู้ดูแลมิตินี้ แต่โชคดีที่ผู้ดูแลไม่ได้ทำอะไรใหญ่โตนัก หลังจากเงียบไปชั่วครู่ เขาก็ได้ส่งหลินเซวียนออกมา
หลังจากแสงวูบวาบ ร่างของหลินเซวียนก็ได้หายไปจากสายตาทุกคน
ภายในเขตอาคม เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
เวลานี้เขารู้สึกว่าขั้นพลังของตนได้ลดกลับมาเป็นระดับหกแล้ว
โชคดีที่เขาไม่เสียสูญและเริ่มปรับตัวเข้ากับช่องว่างพลังได้อย่างรวดเร็ว เขาเริ่มโคจรพลังคงกระพันในร่างให้พลังวิญญาณไหลเวียนอย่างราบรื่น เมล็ดพันธุ์แห่งดาบในตัวเขาส่องสว่างขึ้นเล็กน้อย เขารู้สึกว่าความใกล้ชิดระหว่างเมล็ดพันธุ์แห่งดาบได้เพิ่มขึ้นอีกขั้น
ดูเหมือนการประลองครั้งนี้จะทำให้เขาได้ผลประโยชน์ไม่น้อย หลินเซวียนยิ้มอย่างสงบ ไม่เพียงแต่จะได้ความเข้าใจในขั้นเปิดชีพจรระดับเจ็ด เขายังเข้าใจในพลังแห่งดาบแบบใหม่ด้วย
“ดูเหมือนจะเราจะต้องศึกษาให้ดีหลังจากกลับไป” หลินเซวียนกล่าวกับตัวเอง
แน่นอนว่าก่อนที่จะทำสิ่งเหล่านั้น เขาต้องไปรับหินวิญญาณก่อน ในการต่อสู้ครั้งนี้ อัตราส่วนคือหนึ่งต่อสิบ เขาวางเดิมพันไปสามพันหินวิญญาณ ตอนนี้เขาจะได้รับสามหมื่นหินวิญญาณกลับมา
‘หินวิญญาณสามหมื่นก้อนนั้นค่อนข้างมากโขเลยทีเดียว!’ เมืองนึกถึงสิ่งนี้ หลินเซวียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
ครืด!
ประตูหินค่อย ๆ ถูกเปิดและหลินเซวียนได้เดินออกมา
หลัวซิงชานรอเขาอยู่เป็นเวลานานแล้ว เมื่อตอนที่เห็นเหตุการณ์ในม่านแสง เขาเองก็กังวลไม่น้อย
“เจ้าไม่เป็นอะไรนะ?” หลัวซิงชานเอ่ยถาม
“ศิษย์พี่ใหญ่ไปรับหินวิญญาณกันเถอะ” หลินเซวียนเดินขึ้นบันไดพร้อมรอยยิ้ม
พวกเขาออกมายังชั้นที่หนึ่งอีกครั้ง
สายตาของผู้ชมและนักสู้มากมายมองหลินเซวียนเปลี่ยนไป สิ่งที่ชายหนุ่มทำเกินความคาดหมายของพวกเขาอย่างแท้จริง หลิงเจ๋อเองก็มองหลินเซวียนอย่างน่าขนลุก
“หลังจากเขาออกไป หาที่ลับตาคนแล้วจัดการมันซะ!” หลิงเจ๋อกระซิบกับชายชุดดำ
“ไม่ต้องห่วงคุณชายหลิง แค่ขั้นเปิดชีพจรระดับหกหนีข้าไม่ได้หรอก” ชายชุดดำแสยะยิ้ม
หลินเซวียนและพรรคพวกได้รับหินวิญญาณเรียบร้อย จากนั้นได้บอกลาหลัวซิงชานก่อนจะออกจากสังเวียนแห่งนี้
เย่ฉิงนับหินวิญญาณพร้อมรอยยิ้ม “หินวิญญาณมากมายเลย เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องหอบ่มเพาะพลังอีกต่อไปแล้วสิ“
พวกเขาเดินทางไปยังที่พักของสำนักซวนเทียนในเมืองอวิ๋นหลาน จากนั้นได้เช่าเหยี่ยววิญญาณเพื่อจะกลับสำนัก
เมื่อทั้งสองกำลังบินออกจากเมือง ชายชุดดำได้นั่งอยู่บนหลังวิหคตัวหนึ่งและตามมาอย่างเงียบ ๆ