ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 94
ตอนที่ 94 ออกเดินทาง
หลังจากหลินเซวียนมาอยู่ในเมืองเป่ยเหว่ยได้สามวัน ภารกิจก็ยังไม่ถูกดำเนินการ
ระหว่างช่วงที่รอนี้ นักรบหลายคนได้ออกไปสังหารศัตรูที่นอกเมืองเพื่อหาแต้มสงคราม แต่หลินเซวียนกลับไม่ทำเช่นนั้น เขาไปหาชายแผลเป็นแทน
“อะไรนะ? เจ้าอยากจะซ่อมอาวุธเพื่อหาแต้ม?” ชายแผลเป็นประหลาดใจ “ได้สิ ตามข้ามา”
หลินเซวียนตามเขาไปยังใจกลางเมือง ผ่านย่านที่พักอาศัยจนมาถึงเจดีย์หกเหลี่ยม ชายแผลเป็นนำหลินเซวียนขึ้นไปยังชั้นที่สาม
“อาจารย์โม่ นี่คือหลินเซวียนจากสำนักซวนเทียน เขาต้องการซ่อมแซมอาวุธเพื่อหาแต้มสงครามขอรับ” ชายแผลเป็นกล่าวอย่างนับถือ
“โอ สำนักซวนเทียนรึ?” อาจารย์โม่มองหลินเซวียนพร้อมเผยท่าทีสนใจเล็กน้อยก่อนจะเผยรอยยิ้ม “เจ้าซ่อมอาวุธได้หรือเปล่า?”
“พอได้ขอรับ” หลินเซวียนยิ้ม
“ลองดูอันนี้สิ” อาจารย์โม่ส่งดาบยาวเล่มหนึ่งให้หลินเซวียน ตัวดาบเต็มไปด้วยร่องรอยพุพัง มันแทบจะใช้การไม่ได้
“อาวุธธรรมดานั้นบางทีก็ไม่ควรซ่อมมัน หากมันได้รับความเสียหายมามาก เช่นนั้นตีใหม่จะง่ายกว่า” หลินเซวียนมองและกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“ใช่แล้ว สายตาเจ้าไม่เลว ดาบยาวนี้คืออาวุธธรรมดาจริง ๆ ” อาจารย์โม่ไม่ได้โกรธแต่กลับมีความสุข “มีอาวุธวิเศษระดับต่ำอยู่บางชิ้น หากเจ้าสามารถซ่อมแซมมันได้ ข้าจะให้แต้มสงคราม“
หลินเซวียนไม่เกรงใจอีก เขานั่งลงและเริ่มซ่อมอาวุธขั้นมนุษย์ทันที เขาไม่ได้ใช้ทักษะการซ่อมของคฤหาสน์จอมดาบ แต่ใช้ทักษะของเซียนสุรา
สองวันผ่านไป ดาบขั้นมนุษย์หกเล่มถูกซ่อมเสร็จเรียบร้อย คมดาบแต่ละเล่มเผยความเย็นเยียบออกมาและดูทรงพลัง
อาจารย์โม่ยินดีอย่างมากและมอบแต้มสงครามให้หลินเซวียนสามสิบแต้มทันที ในสองวันที่ผ่านมา หลินเซวียนพอจะเข้าใจหลักการการหาแต้มสงคราม
การสังหารสัตว์อสูรระดับหนึ่งจะได้แต้มสงครามเพียงเล็กน้อย ส่วนการสังหารสัตว์อสูรระดับสองจะได้ห้าแต้มสงคราม และสังหารระดับสาม จะได้ยี่สิบแต้มสงคราม เพราะสัตว์อสูรระดับสามนั้นทัดเทียมได้กับยอดฝีมือขั้นสมุทรวิญญาณ
หลินเซวียนซ่อมไปหกชิ้น ก็เท่ากับสังหารสัตว์อสูรระดับสองไปหกตัว
แม้จะดูไม่มาก แต่ก็ดูถูกแต้มสงครามไม่ได้ ในหอวรยุทธ์นั้น หากมีแค่ห้าแต้มก็เพียงพอที่จะแลกโสมอายุหลายทศวรรษได้แล้ว หากมีสิบแต้มก็สามารถแลกวิชาขั้นสีดำระดับต่ำ และยี่สิบแต้มสามารถแลกวิชาขั้นสีดำระดับกลางได้
หลินเซวียนมีสามสิบแต้มสงคราม มันเพียงพอที่จะแลกวิชาขั้นสีดำระดับสูง หรือสมบัติขั้นมนุษย์ระดับต่ำ
ภายในหอวรยุทธ์ หากมีแต้มสงครามเพียงพอ มันยังสามารถแลกกับยอดวิชาขั้นวิญญาณได้อีก กล่าวได้ว่าภายในหอวรยุทธ์ของจักรวรรดิเซี่ยนั้น เต็มไปด้วยสิ่งล่อตาล่อใจมากมาย
หลินเซวียนตื่นเต้นอย่างมาก และเต็มไปด้วยความคาดหวังกับภารกิจที่จะมาถึง
ห้าวันต่อมา หลินเซวียนได้กลับไปยังหอสงครามอีกครั้ง
“ทุกคนอยู่ที่นี่แล้วใช่หรือไม่?” ชายร่างสูงตระหง่านหันหลังให้กลุ่มคนขณะเอ่ยถาม
“เรียนท่านแม่ทัพ นักสู้หนุ่มสิบหกคนได้มาอยู่ที่นี่แล้วขอรับ” หนึ่งในทหารกล่าวอย่างสุภาพ
ฟุบ!
ร่างสูงตระหง่านหันไปมองกลุ่มคนด้วยสายตากดดัน
ทุกคนที่สบตากับเขารู้สึกราวกับถูกไฟฟ้าช็อต สัมผัสแห่งความกลัวได้ปรากฏขึ้นในส่วนลึกของจิตใจพวกเขา มันไม่ใช่เพราะเขาตั้งใจ แต่ด้วยประสบการณ์ในสนามรบอย่างโชกโชนของชายผู้นี้ มันจึงทำให้สัมผัสของเขาแหลมคม
“ครั้งนี้พวกเราต้องช่วยเหลือหมอตูให้ได้” เสียงของแม่ทัพเจิ้งดังก้องอย่างทรงพลัง
จากนั้นเขาได้เริ่มอธิบายแผนการ อันที่จริงมันก็ธรรมดาอย่างมาก แม่ทัพเจิ้งจะนำทหารของตนไปล่อพวกอสูรออกมา จากนั้นให้บรรดาผู้ที่มาทำภารกิจเข้าไปช่วยผู้คนภายในนั้น ทันทีที่สำเร็จ พวกเขาจะถอยกลับ
“ถึงแม้มันจะฟังดูธรรมดา แต่ก็ไม่สามารถประมาทได้แม้แต่น้อย มิเช่นนั้นนอกจากจะช่วยใครไม่ได้ พวกเรายังจะเอาชีวิตไปทิ้ง” แม่ทัพเจิ้งพาทหารไปเจ็ดนาย และผู้ทำภารกิจอีกสิบหกคน พวกเขาถูกแบ่งออกเป็นสี่กลุ่มใหญ่
แต่ละคนจะมีโล่ ระเบิดส่งสัญญาณ และยาฟื้นฟูสามเม็ด หลังจากหลินเซวียนเก็บของทั้งหมด เขาก็ไปอยู่กับกลุ่มของตน
มันมีอยู่สี่กลุ่ม แต่ละกลุ่มจะมียอดฝีมือขั้นเปิดชีพจรระดับเก้าอยู่ แน่นอนว่าหลินเซวียนและฟานช่งไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน
กลุ่มของเขามีเฟิงปู้ฟ่านจากสำนักดอกบัวที่อยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับเก้า อีกสองคนที่เหลือคือจางเหาซึ่งเป็นศิษย์สำนักดอกบัวเช่นกัน และหลิวหลานจากสำนักเมฆาม่วง
ในสี่กลุ่มทั้งหมด ดูเหมือนกลุ่มของหลินเซวียนจะอ่อนที่สุด
ขั้นพลังของเฟิงปู้ฟ่านสูงที่สุดในกลุ่ม ดังนั้นเขาจึงเป็นหัวหน้ากลุ่ม
“ถึงแม้กลุ่มพวกเราจะดูอ่อนกว่าชาวบ้าน แต่หากสามัคคีกัน ข้าเชื่อว่าพวกเราย่อมมีโอกาส” เฟิงปู้ฟ่านกล่าว “ไปลาดตระเวนใกล้ ๆ ป่าดูก่อน พวกเราต้องระวังให้ดี“
หลังจากออกจากเมืองเป่ยเหว่ย ทั้งสี่กลุ่มก็ได้เข้าไปยังป่า เมื่อเข้าไปในป่าแล้ว กลุ่มของฟานช่งได้ใช้เส้นทางเดียวกับกลุ่มหลินเซวียน
“เฟิงปู้ฟ่าน เจ้าต้องระวังให้ดี อย่าให้ใครบางคนในกลุ่มเจ้าถ่วงแข้งถ่วงขาล่ะ” ฟานช่งกล่าวขณะหันไปเย้ยเยาะหลินเซวียนก่อนจะจากไป
เฟิงปู้ฟ่านไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่ศิษย์อีกสองคนในกลุ่มหันไปมองหลินเซวียนแบบแปลก ๆ
“เอาล่ะ ให้พวกเขานำไปก่อน” เฟิงปู้ฟ่านกล่าวเสียงเบา
หลินเซวียนยิ้มและไม่กล่าวสิ่งใด ทั้งสี่คนได้วิ่งลงทางทิศใต้พร้อมกัน
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม หลินเซวียนก็ขมวดคิ้วพร้อมกล่าว “ศิษย์พี่เฟิ้ง มีฝูงหมาป่าอยู่ตรงหน้าพวกเรา ข้าว่าเปลี่ยนเส้นทางสักหน่อยน่าจะดีกว่า”
“ฝูงหมาป่า? จะเป็นไปได้ยังไง? ไม่เห็นจะมีความเคลื่อนไหวใดเลยสักนิด!” จางเหาไม่เชื่อเขา
เฟิงปู้ฟ่านเผยท่าทีสงสัยบนใบหน้า แต่เมื่อเห็นความมั่นใจบนใบหน้าหลินเซวียน เขาจึงออกคำสั่ง
“ศิษย์น้องหลิน งั้นเจ้านำทางให้ที พวกเราจะอ้อมกัน“
“ตามข้ามา” หลินเซวียนเอ่ยขึ้นโดยพลัน
เฟิงปู้ฟ่านนั้นนิสัยใช้ได้ แต่อีกสองคนนั้นไม่ค่อยน่าพอใจเท่าไหร่ พวกเขาไม่มีปัญหากับคำสั่งของเฟิงปู้ฟ่าน แต่ไม่พอใจในคำสั่งของหลินเซวียน
แต่หลินเซวียนหาได้สนใจไม่ เขารีบนำทางไปเส้นอื่นอย่างรวดเร็ว
เขาทราบว่ามีหมาป่าเพราะเซียนสุราบอก ถึงแม้เซียนสุราจะไม่สามารถช่วยหลินเซวียนได้โดยตรง เขาก็ยังพอใช้สัมผัสเทวะได้บ้าง
หลินเซวียนและกลุ่มของตนเดินอย่างระมัดระวัง
จางเหายงคงไม่พอใจ เขาเอ่ยขึ้นอย่างเย็นเยือก “มันไม่มีอะไรหรอก แค่…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ เสียงร้องของกลุ่มฟานช่งได้ดังขึ้นไม่ไกลจากเส้นทางก่อนหน้านี้ จากนั้นก็ตามมาด้วยคลื่นอากาศที่ผันผวน
“อะไรกัน!? เป็นไปได้ยังไง?” ใบหน้าจางเหาจมลง หากพวกเขาไม่ตามหลินเซวียนมา เช่นนั้นคงจะต้องปะทะกับศัตรูไปแล้ว
ทั้งสามคนมองหลินเซวียนเปลี่ยนไปทันที จางเหาถึงกับก้มศีรษะลงและไม่พูดอะไรอีก เฟิงปู้ฟ่านกล่าวอย่างนอบน้อมกับหลินเซวียน “ขอบคุณศิษย์น้องหลินที่นำทาง”
เขาทราบว่ากลุ่มของตนปลอดภัยเพราะหลินเซวียน
“ช่างมันเถอะ รีบไปกันต่อเร็ว” หลินเซวียนกล่าวพร้อมเดินไปข้างหน้า