ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ - ตอนที่ 32
เซเลสเต้นั้นกำลังเรียนรู้ว่าจะเคลื่อนที่อย่างไร
แต่มันไม่ใช้การเคลื่อนที่แบบธรรมดามันค่อนข้างที่จะเป็นการเรียนรู้ฟุตเวิร์ค ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ทุกคนเรียนรู้
และไม่เหมือนกับฟุตเวิร์คปกติของเธอ เทคนิคที่เธอกำลังเรียนรู้อยู่นี้นั้นเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวที่สำคัญ
เคลื่อนที่อย่างไร
มันง่ายมาก
ด้วยเท้าข้างหนึ่งประคองร่างกายไว้ในขณะที่เท้าอีกข้างอยู่ด้านหน้าแล้วดึงเท้าที่ประคองร่างไว้ไปด้านหน้าแทนและก้าวไปอีกก้าว
กระบวนการพวกนี้นั้นเกี่ยวข้องกับการงอของเข่าและการก้าวโดยการจรดปลายเท้าลงก่อนแล้วค่อยชี้ออกไปด้านหน้า
เทคนิคนี้เป็นการร่วมกันของทุกๆสิ่ง
พื้นฐานของศิลปะการต่อสู้นั้นคือการเคลื่อนไหวร่างกายร่างกายและรากฐานของมันอยู่ที่ฟุตเวิร์ค
ดังนั้นการเคลื่อนที่ของเท้านั้นเป็นการกำหนดการเคลื่อนไหวของทั้งร่างกาย
เซเลสเต้เหงื่อไหวท่วมตัวจากการดึงเท้าของเธอไปด้านข้าง การก้าวไปบนส้นเท้าก่อนหน้า หรือไม่ก็จากการเคลื่อนไหวไปด้านข้างเพียงเล็กน้อย
“ทำไมสาวน้อยนั้นถึงได้กำลังฝึกเดินอยู่หละ?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ดูเหมือนว่ายูซอดัมสั่งให้เธอทำอย่างนั้นมั้ง?”
ยูซอดัมมองไปที่เซเลสเต้จากด้านข้าง
ตั้งแต่ที่จำนวนเหล่าผู้มีแนวโน้มที่มาลงทะเบียนอยู่ที่กึมกังยิมได้เพิ่มขึ้นของหลังจากการเปิดตัวของเธอเมื่อไม่นานมานี้ทำให้มีบางคนที่สังเกตเห็น ‘การฝึกเดิน’ ของเซเลสเต้ถึงแม้ว่าจะไม่มีคนเข้าใจมันก็ตาม
พวกเขาคิดว่าบางทีเธออาจจะแค่ต้องการที่จะทำการฝึกบางอย่างที่พิเศษไม่เหมือนใครก็ได้
ตอนแรกแม้แต่เซเลสเต้เธอก็ไม่ได้เข้าใจมันเช่นกัน
ทำไมถึงต้องมาฝึกการเดินเช่นนี้ในเมื่อพวกเขาควรที่จะฝึกวิชาดาบของพวกเขาแทน
หรือไม่ทำไมถึงไม่ฝึกการเคลื่อนที่มันหนักหน่วงและเข้มข้นกว่านี้แบบที่ทุกคนเขาทำกัน
แต่อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้ผ่านการฝึกฟุตเวิร์คนี้ไปแล้วสองอาทิตย์
เซเลสเต้ก็ได้เข้าใจ
‘หืม…?’
“อืม?”
ระหว่างการประลองของเธอกับผู้อำนวยการคิม เธอได้ใช้เทคนิคฟุตเวิร์คที่เธอได้เรียนมาตั้งแต่เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วโดยที่แม้แต่เธอก็ไม่ได้รู้ตัว
ดาบของผู้อำนวยการคิม ซึ่งเป็นคนที่มีร่างกายระดับแรงค์ C ทำให้ดาบของเขามันเร็วเป็นอย่างมากสำหรับคนที่เป็นเพียงแค่แรงค์ D เช่นเธอที่จะหลบเลี่ยง ดังนั้นแล้วเธอมักจะอาศัยปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วของเธอแต่ในครั้งนี้เธอสามารถที่จะมองเห็นมันได้อย่างชัดเจนและหลบหลีกมันได้
“มิสเซเลสเต้ การเคลื่อนไหวของเธอนั้นดีกว่าเดิมอีกนะเนี่ย? ระดับร่างกายของเธอพัฒนาขึ้นแล้วอย่างนั้นหรอ?”
ผู้อำนวยการคิมถามออกมา
เซเลสเต้สายหัวของเธอ
ร่างกายของเธอนั้นมีการพัฒนาการที่ค่อยๆพัฒนาขึ้นอย่างช้าๆและยังไปไม่ถึงขอบเขตนั้น
นี้เป็นเพราะเทคนิคฟุตเวิร์คเพียงอย่างเดียว
มันเป็นเทคนิคที่ได้มาจากส่วนเล็กๆของสกิลแรงค์ SS จากตระกูลอัลมัส และเป็นเรื่องที่เธอจะไม่มีทางได้รู้
นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมมันถึงได้มีประสิทธิภาพมากนักถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่การเลียนแบบก็ตาม
แต่อย่างไรก็ตามในท้ายที่สุดมันยังคงเป็นเพียงแค่การเลียนแบบอยู่ดีและมันอ่อนแอเกินกว่าที่จะนำไปเปรียบเทียบกับเวอร์ชันดังเดิม
ถ้าสกิลต้นตำรับนั้นเป็นแรงค์ SS หละก็สิ่งที่ซอดัมคัดลอกมาได้คงจะเป็นเพียงแค่แรงค์ D เท่านั้น
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น นี่ก็เป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการที่ยอดมนุษย์ฝึกฝนฟุตเวิร์คแรงค์ D ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
‘เยี่ยม ถ้าฉันยังฝึกแบบนี้ต่อไปหละก็…!’
เซเลสเต้รู้สึกตื่นเต้นโดยที่ไม่รู้ตัวแทน
เธอสามารถที่จะสัมผัสได้ว่าการเติบโตของเธอนั้นไปถึงในระดับที่สูงกว่าแล้ว
ด้วยผลลัพธ์ที่แสดงอยู่ตอนนี้ที่ว่าเธอสามารถที่จะหลบหลีกการโจมตีจากแรงค์ C ได้แล้ว
เธอยึดดาบของเธอออกไปโดยสัญชาตญาณ
“อ้า…!”
การก้าวเท้าที่มากเกินไปและไม่ได้เหมาะสมกับการเคลื่อนไหวร่างกายของเธอ ทำให้เธอสะดุดและล้มลง
……………………………………………………..
เซเลสเต้นั้นคุ้นเคยกับการฝึกฝนที่เพลิดเพลินนี้แล้ว
หลังจากการที่ร่างกายได้เข้าสู่ระดับแรงค์ E ตั้งแต่ที่เธอยังเด็ก ทุกครั้งที่เธอสามารถที่จะสัมผัสถึงความก้าวหน้าได้ในทุกครั้งที่เธอฝึก
ถ้าเปรียบเทียบมันให้เป็นเหมือนกับตัวเลขก็จะเป็นกับการนับจาก 10 ไปเป็น11,12,13 และต่อไปเรื่อยๆ
ในตอนที่คนอื่นยังติดชงักอยู่เธอสามารถที่จะก้าวหน้าได้ด้วยความพยายามเล็กน้อย เป็นเพราะแบบนั้นเองที่ทำให้เซเลสเต้คุ้นเคยกับการฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง
แต่อย่างไรก็ตามในวันหนึ่งความสำเร็จทั้งหมดนั้นได้พังทลายลง
ในการเผชิญหน้ากับโอกาโมโตะ ซานางิ คู่ปรับที่ถูกเลือกตามอำเภอใจให้มาเป็นคู่ต่อสู้กับเธอโดยผู้อาวุโสได้กลายมาเป็นเสียนหนามของเธอ
โอกาโมโต ซานางิ
หญิงสาวที่ได้กลายมาเป็นยอดมนุษย์แรงค์ C ในช่วงอายุ 20 ปีของเธอ
เมื่อหนึ่งปีก่อนเซเลสเต้ ได้ภายแพ้ในการประลองกับซานางิและตั้งแต่วันนั้นมาเธอได้ทุ่มเทอุทิศตัวเธอเองให้กับการฝึกฝนที่บางครั้งเธอก็หมุกมุ่นกับมันมากจนเกินไปทำให้เธอนั้นลืมกินข้าวเป็นครั้งคราว
แต่อย่างไรก็ตามการเติบโตของเธอก็ยังคงเหมือนเดิม
แน่นอนว่าเพียงแค่การเติบต่อไปเรื่อยๆในระดับนี้มันก็น่าทึ่งมากพออยู่แล้วแต่สำหรับเธอเพียงแค่นี้มันยังคงไม่พอ
ทั้งเซเลสเต้และซานางินั้นกำลังเติบโตด้วยอัตราเร็วที่เท่ากัน
ถ้าเธอก้าวหน้าจาก 16 ไป 17 ไป 18 ถ้างั้นแล้วซานางิก็คงจะก้าวหน้าไปจาก 26 ไป 27 ไป 28
ด้วยอัตราเดียวกัน
ระยะห่างนี้จะไม่สามารถที่จะหดแคบลงได้
ชัดเจนเลยว่าพรสวรรค์ของพวกเขานั้นอยู่ในระดับเดียวกัน
แต่อย่างไรก็ตามซานางินั้นเกิดก่อนเธอและปลุกพลังด้านร่างกายได้ก่อนเธอ
ทั้งๆที่เป็นคู่แข่งกันแท้ๆแต่ เซเลสเต้ไม่เคยที่จะตามเธอได้ทันเลย
ซัลวาเทอร์เร่ที่ไม่สามารถที่จะเห็นลูกสาวของตนเองทุกข์ใจได้ ได้เชิญนักดาบที่มีชื่อเสียงระดับโลกจำนวนมากมาเป็นอาจารย์สอนเธอแต่ซานางิก็มีพื้นหลังเช่นเดียวกัน ดังนั้นแล้วระดับการศึกษาของพวกเขาจึงอยู่ในระดับเดียวกัน
‘การเติบโตทางกายภาพของพวกเรานั้นอยู่ในอัตราเดียวกันอย่างชัดเจนเลย’
‘ดังนั้นทำไมถึงไม่ไปแข่งขันในเรื่องวิชาดาบแทนด้านร่างกายหละ’
ถึงแม้ว่าซานางิจะมีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าเซเลสเต้ แต่วิชาดาบของเธอนั้นกลับแย่กว่าเซเลสเต้
สำหรับเซเลสเต้ ทักษะดาบของซานางินั้นมีเพียงแค่พลังและความเร็วแบบผิวเผินเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความแตกต่างในเรื่องของพลังและความเร็วที่มากเกินไปทำให้มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะอีกฝ่ายได้แม้ว่าวิชาดาบของเธอจะเหนือกว่าในตอนนั้น
เธอไม่สามารถที่จะตามได้ทัน
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะสามารถทำอะไรเกี่ยวกับมันได้
เธอได้ยอมรับความจริงนี้ไปแล้ว
นั้นเป็นจนกระทั้งถึงตอนที่เธอได้มาเจอกับใครบางคน คนที่เอาชนะความต่างในเรื่องของพลังและความเร็วได้
ยูซอดัมด้วยความแข็งแกร่งแรงค์ E สามารถเอาชนะเธอได้ด้วยดาบของเขา
มองไปที่เขาเธอก็คิด
‘ในที่สุดฉันก็พบหนทางที่จะก้าวข้ามกำแพงนี้แล้ว’
ผู้คนต่างพากันคิดว่ายอดมนุษย์ที่มีพลังพิเศษเท่านั้นที่นับว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์
แต่ถึงอย่างนั้นก่อนหน้าที่จะมียอดมนุษย์เกิดขึ้นมามันก็ยังมีคนที่มีพรสวรรค์ในแง่มุมต่างๆไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ การศึกษา,กีฬา,สื่อบันเทิง และอีกหลายๆอย่าง
พรสวรรค์สำหรับการใช้ดาบก็มีตัวตนเช่นกัน
เซเลสเต้ที่เหวี่ยงดาบของเธอไปมาในทุกๆวันได้รับโอกาสในการที่จะทำให้พรสวรรค์นี้เบ่งบาน
เธอเพลิดเพลินไปกับมัน
มันต่างไปจากตัวเธอในอดีตที่ถือดาบอย่างไร้จิตวิญญาณ
ทุกสิ่งที่เธอได้เรียนรู้มาจากยูซอดัมนั้นเป็นเรื่องใหม่และแตกต่างไปจากสิ่งที่เธอถูกสอนหรือได้รู้มา
แม้ว่าจะเป็นในรายละเอียดที่เล็กที่สุดเหมือนกับเรื่องที่ว่าจะต้องเคลื่อนไหวหรือหายใจอย่างไร
มันเป็นขอบเขตใหม่สำหรับเธอ
ในช่วงดึกดื่นค่ำคืนที่เหล่าผู้มีแนวโน้มคนอื่นๆได้กลับไปกับหมดแล้วและมีเพียงเซเลสเต้ที่ยังคงอยู่
“ตอนนี้เธอรู้สึกดีขึ้นหรือยัง?”
ผู้อำนวยการคิมได้ถามออกมา
เขาคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในยิมนี้ดังนั้นมันไม่ได้สำคัญว่าใครจะค้างที่นี้
แต่อย่างไรก็ตามเขายังคงกังวลเกี่ยวกับเธอ
ผู้อำนวยการคิม กำลังนั่งพักอยู่ใกล้กับม้านั่งด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลและส่งขวดน้ำให้กับเซเลสเต้
ในช่วงนี้เขาเห็นเธอฝึกฝนตัวเธอเองอย่างหนักจนไปถึงจุดที่ว่ามันดูเหมือนว่าเธอทำได้ไม่ดีขึ้นเลยแต่มันก็น่าแปลกที่เธอไม่ได้ดูเหนื่อยเลยสักนิด
มันค่อนข้างที่จะกลับกลายเป็นว่าเมื่อเธอถือดาบมากเท่าไหรมันยิ่งดูทรงพลังมากขึ้นเท่านั้นซึ่งมันค่อนข้างที่จะทำให้เขาประหลาดใจ
“ใช่ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
เธอดื่มน้ำที่ได้รับมาอย่างเงียบๆ
ยูซอดัมนั้นไม่อยู่ในวันนี้
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นฮันเตอร์ แต่ในช่วงหลังมานี้เขากลับมุ่งตรงมาที่ยิมนี้หรือไม่ก็ไปห้องสมุดแทน และมันกลับหาได้ยากกว่าที่จะเห็นเขาไปดันเจี้ยนแทน
เมื่อผู้อำนวยการคิมได้ถามซอดัมว่าเขากำลังกังวลเกี่ยวกับปัญหาในเรื่องเงินทองหรือป่าว ซอดัมเพียงแค่ตอบกลับมาว่าก็ไม่นะ เขาพึ่งจะเคลียร์ดันเจี้ยนด้วยตัวเองไปเมื่อเร็วๆนี้เอง
‘เพราะงั้น ห้องสมุด…’
มันมีฮันเตอร์บางคนที่มีความยอดเยี่ยมทางด้านวิชาการแน่นอนแต่สำหรับฮันเตอร์ส่วนมากแล้วกลับอ่อนด้อยในด้านนี้เป็นอย่างมาก
ถ้ามันไม่ได้จำเป็นสำหรับการล่าแล้วหละก็พวกเขาจะศึกษาเรื่องอื่นที่นอกเหนือไปจากพื้นฐานสำคัญเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ยูซอดัมนั้นมีความรู้ที่มากกว่าฮันเตอร์คนอื่นเป็นอย่างมากอยู่แล้วและเซเลสเต้ก็รู้ว่าเขาฉลาดเป็นอย่างมาก
เพราะงั้นการที่ฮันเตอร์กำลังไปที่ห้องสมุดนี้มัน….
มันเป็นเรื่องที่แปลกมากที่จะได้เห็น
‘คุณกำลังไปเรียนรู้อะไรอยู่ที่นั้นหรือค่ะ?’
เมื่อเธอถามออกมาแบบบนั้น ซอดัมเพียงแค่พูดว่าเขากำลังเรียนคณิตศาสตร์ในมากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้และไม่ได้ให้คำตอบที่ตรงกับที่เธอต้องการจริงๆมา
“เออ…”
“หืม?”
เซเลสเต้มองไปที่ผู้อำนวยการคิม
มันมีคำถามที่เธออยากจะถามมานานแล้วแต่เธอรู้สึกตะคิดตะขวงใจที่จะถามมันออกมา
“คุณยูซอดัมล้มพ่อของฉันลงได้จริงๆหรือค่ะ?”
ถึงแม้ว่าพ่อของเธอจะเกษียณไปแล้วเขาก็ยังคงเป็นฮันเตอร์แรงค์ SS อยู่ดี
มันยากที่จะจิตนาการไปว่ายูซอดัมที่เป็นเพียงแค่แรงค์ F นั้นจะเป็นผู้ชนะ
เมื่อได้ยินคำถามเช่นนั้นจากเธอ ผู้อำนวยการคิมได้แต่ยิ้มออกมาด้วยความอึดอัดใจ
ผู้อำนวยการคิมรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องที่จะให้เขามาเป็นคนที่พูดเรื่องนี้กับเธอ…
แต่เขาคิดว่าเดวเธอคงจะรู้มันอยู่ในที่อยู่ดีไม่ว่าจะด้วยทางไหนสักทางดังนั้นมันดีกว่าที่มันจะมาจากปากของเขาเอง
“มันเกิดขึ้นเมื่อ 8 ปีก่อน”
ซัลวาเทอร์เร่ คอสแตนตีนิได้นำทีมฮันเตอร์ทั้ง 12 คนและหนึ่งในพวกเขาเป็นฮันเตอร์แรงค์ F ยูซอดัม
พวกเขาได้ไปล่ามอนสเตอร์ในดินแดนที่รกร้างและซัลวาเทอร์เร่มักจะขอถ้าประลองกับฮันเตอร์คนอื่นๆเมื่อพวกเขามีเวลาว่างเสมอ
เขาไม่ได้แบ่งแยกชนชั้นระหว่างคนที่มีพลังพิเศษกับคนที่ไม่มี
ดังนั้นแม้ว่าเขาจะเป็นแรงค์ S ในตอนนั้น เขาก็ยังต้องการที่จะประลองกับยูซอดัมที่เป็นฮันเตอร์แรงค์ F อย่างจริงใจ
“ผลลัพธ์นั้นชัดเจนอยู่แล้ว ซัลวาเทอร์เร่ชนะ 99 ครั้งใน 99 การประลองและยูซอดัมไม่เคยที่จะชนะการประลองเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
“ถ้าอย่างนั้นแล้ว…?”
ในตอนที่เธอกำลังสงสัยว่ายูซอดัมนั้นกำลังโกหกเธอ ผู้อำนวยการคิมก็ได้พูดออกมาด้วยสีหน้าที่ขมขื่น
“ภารกิจของพวกเขาในครั้งนั้นเกือบที่จะสำเร็จแล้ว สิ่งที่พวกเขาทุกคนต้องทำคือการปิดเกตเพื่อกันไม่ให้มอนเตอร์หลุดรอดออกมาได้นั้นเป็นตอนที่วายร้ายที่เลวร้ายที่สุดที่ ‘ไวรัสคำสาป’ ได้ปรากฎตัวขึ้น”
ยอดมนุษย์ที่มีพลังพิเศษแรงค์ SS ที่น่าเหลือเชื่อ ที่มีสมญานามว่า ไวรัสคำสาป เขาได้วาง ‘คำสาป’ ไว้ทั่วโลกและได้คร่าชีวิตของผู้คนไปมากมายตัวการทำแบบนี้
ไวรัสคำสาป ได้ซ่อนตัวอยู่ในตำแหน่งนี้ก่อนที่ซัลวาเทอร์เร่และทีมของเขาจะมาถึง
ซัลวาเทอร์เร่ คอสแตนตีนิเป็นคนแรกที่ได้ปะทะกับคำสาปไวรัสนี้ ได้รับคำสาปที่ถูกส่งผ่านไปยังลูกสาวของตน
“หะ…?”
ในอีกความหมายก็คือ เซเลสเต้นั้นถูกสาปเมื่อแปดปีก่อนโดยที่ไม่แม้กระทั้งจะรู้ในเรื่องนี้เลย
“ผลของคำสาปคือการที่มันจะเอาอายุขัยของเป้าหมายไปและคนส่วนมากที่โดนคำสาปนี้จะตายในเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ มันขึ้นอยู่กับสภาวะของยอดมนุษย์คนนั้น…อย่างไรก็ตาม มิสเซเลสเต้มีอายุเพียงแค่เก้าขวบในตอนนั้นและมันเป็นสภาวะที่วิกฤตเป็นอย่างมากเพราะเซเลสเต้ในตอนนั้นเพียงแค่คนธรรมดา”
และในตอนนั้นเอง
ที่ซัลวาเทอร์เร่คนที่ในตอนนั้นเป็น หนึ่งในแรงค์ S ระดับท็อปปลุกพลังความสามารถ ‘ความบ้าคลั่ง’ ขึ้นมา
มันเป็นทักษะที่ได้รับการพัฒนาเป็นแรงค์ SS ในภายหลัง เป็นทักษะที่ทำให้ได้รับมาซึ่งพลังที่มากยิ่งกว่าที่คนปกติจะสามารถครอบครองได้
นี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ซัลวาเทอร์เร่ได้กลายมาเป็นหนึ่งในฮันเตอร์แรงค์ SS จากทั้ง 37 คนบนโลกนี้
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นทักษะนี้มันก็ยังมีข้อเสียของอยู่
คือเขาไม่สามารถที่จะแยกแยะมิตรและศัตรูออกจากกันได้และจะโจมตีสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่เข้ามาในระยะสายตาแบบไม่เลือกหน้า
ผู้คนโดยรอบเขาต่างพากันประหลาดใจที่ว่าซัลวาเทอร์เร่คนที่มันจะมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาเสมอ สามารถที่จะทำสีหน้าน่ากลัวแบบนั้นได้
แต่เขาต้องหยุดมัน
ถ้าวายร้าย ไวรัสคำสาป ตนนี้ถูกฆ่าโดยที่ยังคำสาปไม่ได้ถูกถอนไปหละก็ ทุกคนรวมไปถึงเซเลสเต้ก็จะต้องตาย
‘ถ้าซัลวาเทอร์เร่ตามพวกเราไปหาเจ้าวายร้ายนั้นด้วย พวกเราจะไม่สามารถสู้กับเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ได้’
‘เวรเอ้ย ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าเราจะต้องมาสู้กับเพื่อนร่วมทีมที่มีแรงค์ SS และวายร้ายแรงค์ SS ในเวลาเดียวกันพวกเราไม่มีโอกาสที่จะชนะได้เลย’
‘แล้วกำลังเสริมหละจะมาถึงเมื่อไหร?’
‘ถ้ามาถึงแล้วจะยังไงหละ พวกเขาจะสามารถหยุดคนพวกนั้นได้หรือถ้าพวกเขามาถึงแล้ว?’
‘ถ้าให้ซัลวาเทอร์เร่เห็นไวรัสคำสาปหละก็ เขาจะต้องพยายามที่จะฆ่ามันแน่ มันเป็นไปได้นะด้วยพลังของเขาในตอนนี้นะแต่ว่า…’
ใครบางคนทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างไม่เต็มใจ
‘ถ้าหากว่าเขาหลุดจากการบ้าคลั่งแล้วและพบว่าลูกสาวของเขาตายเพราะตัวเขาเองหละก็ เขาจะสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างปกติอีกงั้นหรอ?’
มันไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน
ดังนั้น ฮันเตอร์ทั้ง 11 คนที่เหลืออยู่นี้จึงได้รับภารกิจอันแสนยากลำบากที่พวกเขาจะต้องไม่ฆ่าซัลวาเทอร์เร่ที่มีทักษะแรงค์ SS และในขณะเดียวกันก็ต้องพยายาที่จะปราบวายร้ายแรงค์ SS ไปด้วย
มันดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
ในตอนที่ทุกคนคิดเช่นนั้นเอง
ยูซอดัมคนที่ยังคงเงียบสนิทมาจนถึงเมื่อนี้ก็ได้พูดขึ้น
‘ฉันจะพยายามหยุดคุณซัลวาเทอร์เร่เอง’
‘…อะไรนะ?’
มีแรงค์ F เพียงแค่คนเดียวที่นี้
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครสักคนที่สงสัยในทักษะของเขา
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเพียงแค่ฮันเตอร์สามัญชน ทักษะของเขาเพียงอย่างเดียวก็น่าจดจำมากพอแล้ว
และมากไปกว่าทุกคนที่อยู่นี่ เขามีความสามารถในการตัดสินใจที่ดีที่สุด
แต่ยังคงไม่มีใครสักคนที่คิดว่ายูซอดัมสามารถที่จะต่อกรกับซัลวาเทอร์เร่ได้
ทุกคนในที่นี่มีความคิดเดียวกัน
‘ยูซอดัมกำลังจะสละชีวิตตัวเอง’
มีเพียงทางนี้เท่านั้นที่จะสามารถปราบวายร้ายตนนี้ได้สำเร็จและหยุดซัลวาเทอร์เร่ไปพร้อมกันโดยที่มีราคาที่ต้องจ่ายเป็นเพียงแค่หนึ่งชีวิต
‘…พยายามที่จะยื้อมันไว้นะ’
‘ใช้แล้ว พวกเราจะรีบจัดการไอ้สารเวรนั้นและกลับมาช่วยนายเอง’
‘พวกเราจะกลับมาและหาทางแก้เรื่องนี้เอง เพราะงั้นอย่าตายซะหละ’
ฮันเตอร์ทั้ง 10 คนนี้ประสบความสำเร็จในการเอาชนะวายร้ายคนนี้ลงได้
พวกเขาสำเร็จแม้กระทั้งการหยุดพลังพิเศษของไวรัสคำสาปลงได้ ทำให้คำสาปที่กระจายไปทั่วทั้งโลกนั้นถูกลบออกไป
แต่มันก็สายเกินไปแล้ว
พวกเขาใช้เวลาเป็นสัปดาห์เพื่อหยุดวายร้ายตนนี้
พวกเขาคิดว่ามันไม่มีทางที่ยูซอดัมจะยื้อเอาไว้ได้หลังจากที่ผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้ว
แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นพวกเขาก็ยังตามรอยสัญญาณที่ส่งออกมาจากยูซอดัมและวิ่งตรงไปเพื่อที่จะกู้ร่างของเขากลับมา
แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่พวกเขาได้เห็นกลับเป็นยูซอดัมที่ล้มซัลวาเทอร์เร่ลงและกำลังรอคอยอยู่เพียงลำพัง
‘…นี่นายเอาชนะซัลวาเทอร์เร่ได้งั้นหรอ?’
‘ฉันโชคดีนะ บังเอิญว่ามันมีโรงงานไฟฟ้าอยู่ใกล้กับที่นี้…’
ยูซอดัมได้ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างมากมายรวมกันในระหว่างการต่อสู้กับซัลวาเทอรเร่
เขาบอกว่าเขาคำนวณแผนการล่วงหน้าบางเรื่องผิดพลาดทำให้เขาต้องระเบิดโรงงานไฟฟ้าอย่างไม่มีทางเลือกและแม้กระทั้งใช้รถถัง
และมันทำให้เขาต้องอาศัยเทคโนโลยีเพราะว่าสามัญชนทั่วไปไม่สามารถที่จะเอาชนะยอดมนุษย์ได้แต่ไม่มีใครสักคนใส่ใจในส่วนนั้น
แค่เรื่องที่ว่าฮันเตอร์แรงค์ F สามารถที่จะเอาชนะความบ้าคลั่งแรงค์ SS ลงได้แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็น่าจดจำมากพอแล้ว
ในตอนที่เล่าเรื่องพวกนี้ออกไปผู้อำนวยการคิมได้พยักหน้าของเขา
“เมื่อคิดไปแล้ว…มันถือได้ว่ายูซอดัมนั้นเป็นผู้มีพระคุณของมิสเซเลสเต้เลยนะเนี่ย”
มันครั้งแรกเลยที่เธอได้ยินว่ามีฮันเตอร์จำนวนมากได้ต่อสู้เพื่อที่จะช่วยชีวิตเธอ
“เรื่อง…แบบนี้ ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลย…”
เซเลสเต้พูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา แล้วผู้อำนวยการคิมก็พูดออกมา
“มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นได้ถูกเก็บไว้เป็นความลับนะ เธอก็รู้ว่ายอดมนุษย์ที่บ้าคลั่งไม่ได้มีภาพลักษณ์ที่ดีงามสักเท่าไหรบนโลกใบนี้อยู่แล้วและมันเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ตำแหน่งของซัลวาเทอร์เร่กำลังสั่นคลอนสำหรับในเรื่องทางการเมืองเช่นนี้ดังนั้นเรื่องนี้จึงถูกเก็บไว้เป็นความลับ”
“ค่ะ…”
“เธอไม่ต้องรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องแบกรับอะไรหรอกหลังจากที่เรื่องพวกนั้นเกิดขึ้นแล้ว ซัลวาเทอร์เร่ได้จ่ายค่าชดเชยในกับยูซอดัมไปแล้วนะ”
ผู้อำนวยการคิมคนที่พูดมาจนถึงจุดนี้ได้พูดขึ้นว่าเขามีสายที่ต้องไปรับแล้วก็จากออกไป
ปล่อยให้เซเลสเต้ยังคงนั่งนิ่งเงียบอยู่บนม้านั่งในขณะที่กำลังพยายามรอบรวมความคิดของเธอ
อย่างเช่นว่าเธอจะต้องทำยังไงดีกับผู้มีพระคุณของเธอ
‘เขาต้องคิดว่าฉันเป็นบ้าแน่ๆ ที่ฉัน…ที่ฉันจ้างเขาให้มาเป็นอาจารย์สอนดาบให้ตัวฉันเองแบบนี้?’
ด้วยความรู้สึกที่ระอายใจอยู่ลึกๆ เซเลสเต้ก้มหัวของเธอต่ำลงและปิดมันด้วยมือทั้งสองข้างของเธอ
หลังจากที่เวลาได้ผ่านไปนาน ซอดัมที่ใส่เสื้อแจคเก็ตกันหนาวตัวบวมๆก็ได้เดินเปิดประตูยิมเข้ามา ในมือของหนึ่งของเขานั้นถือกระถางดอกไม้และอีกข้างถือกระเป๋าพลาสติกอยู่
“ว้าว นี่เธอยังอยู่ที่นี้อีกหรอเนี่ย?”
“…ค่ะ”
“จริงดิ? เอาไอศกรีมหน่อยไหมหละ?”
“ไม่ค่ะ”
เซเลสเต้ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาด
ซอดัมมองลงไปที่กระเป๋าที่อยู่ในมือของเขาด้วยในหน้าที่บูดบึ้ง
“เข้าใจแล้ว…งั้นฉันจะกินพวกมันทั้งสองอันเองละกัน”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ พวกเราออกไปหาอะไรกินด้วยกันดีไหมค่ะ ไม่ว่าจะเป็น….อะไรก็ได้ อะไรก็ได้หมดเลยค่ะ ฉันจะซื้อมันเองไม่ว่าจะเป็นอะไร เอาเป็นร้านอาหารไหมค่ะ? บุฟเฟ่? ล็อปสเตอร์? หรือสเต็กดีค่ะ? คุณชอบอะไรค่ะ?”
“…?”
ซอดัมมองไปที่นาฬิกาของเขา
“มันพึ่งจะตีสามเองนะ…?”
ก่อนที่ซอดัมจะทันพูดจบประโยค เซเลสเต้ได้พูดขัดขึ้นมา บอกว่าเธอต้องการที่จะเลี้ยงเขาก่อนที่จะพุ่งตรงไปอาบน้ำ
“เกิดอะไรขึ้นกับเธอป่าวเนี่ย? ฉันสงสัยสะแล้วสิว่าวันนี้พระอาทิตย์ขึ้นจากทางตะวันตกหรือป่าวนะ”
[พระอาทิตย์ไม่ได้ขึ้นจากทางตะวันตกนะ…]
“…นั้นเป็นสิ่งที่ฉันต้องการจะสื่อไง”
[มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด…]
“จริงจังป่าวเนี่ย เจ้าดอกไม้พาลนี้”