ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 103 อิทธิฤทธิ์รุนแรง!
ยักษ์ที่รอบกายส่องแสงวาบตนนั้น มันใช้วิชาหัตถ์เทพกลางเวหาโจมตีออกไปอย่างเหี้ยมโหดอีกครั้ง
ร่างกายของมันเหมือนกับดวงตะวันที่แปลงกายเป็นมนุษย์ ส่องสว่างเจิดจ้าไปทั่วฟ้าทั่วแผ่นดิน
ทว่าคมดาบของผู้มาเยือนว่องไวยิ่งกว่า! แข็งกร้าวยิ่งกว่า! อีกทั้งอิทธิฤทธิ์รุนแรงยิ่งกว่า!
ดาบหนึ่งผ่าออกไป ลมเมฆดับสูญ ดวงอาทิตย์อับแสง!
เมื่อทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ทั่วทั้งท้องฟ้าเต็มไปด้วยสะเก็ดไฟจนไม่อาจมองตรงๆ ได้
เยี่ยนจ้าวเกอใช้ปราณน้ำแข็งและปราณเพลิงทำให้การมองเห็นของตนแก่กล้าขึ้น ทว่าทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกแสบร้อนเล็กน้อย ทำให้มองไม่เห็นผลการต่อสู้ที่แน่ชัดนัก
ถึงกระนั้นไม่นานก็มีเสียงดังสนั่นขึ้น ราวกับคนถอยหลังแล้วเหยียบลงบนพื้นเต็มแรง ก่อนจะรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าบรรยากาศโดยรอบไม่ได้ร้อนลวกเช่นเมื่อครู่แล้ว
ลำแสงที่กะพริบระยิบระยับนั้นสลัวลงไปบ้าง จึงเห็นว่าพานป๋อไท่ที่แปลงกายเป็นยักษ์ถูกโจมตีจนถอยหลังไป!
พานป๋อไท่กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไอ้เด็กไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง พอในถ้ำไม่มีเสือ เจ้าลูกลิงอย่างเจ้าก็เหิมเกริมขึ้นมาเชียวนะ!”
ขณะที่เขาพูดอยู่นั้น ยักษ์แสงสีทองตนนั้นก็ยกมือขวาชี้ขึ้นฟ้า
จากนั้นยักษ์ก็ปรบมือครั้งหนึ่ง ก่อให้เกิดแสงสว่างไร้ข้อจำกัดส่องออกมาจากฝ่ามือของเขา
ชายชราร่างผอมแห้งที่อยู่ด้านข้างเยี่ยนจ้าวเกอหลุดปากกล่าวออกมาว่า “วิชาจรัสแสงโชติช่วง!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ภายในใจของเยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย
วิชาอันดับหนึ่งของวิชาเจ็ดสุริยันแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ วิชาจรัสแสงโชติช่วง ส่องสว่างขาวโพลนไปทั่วหล้า!
หนึ่งฝ่ามือกับหนึ่งกระบวนท่า ก่อเกิดเป็นวิชาลับของสำนัก
หลังจากนั้นไม่มีกระบวนท่าอื่นต่อ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร มีเพียงท่าเดียวที่ประกอบขึ้นเป็นหนึ่งวิชา
ถึงกระนั้นฝ่ามือนี้กลับเป็นอันดับหนึ่งของวิชาเจ็ดสุริยะ อันเป็นวรยุทธ์สืบทอดหลักของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ อยู่เหนือกว่าวิชาลับมากมายทั้งวิชาหัตถ์เทพกลางเวหา วิชาจันทราในแสงรัตติกาล และเพลงกระบี่อรุณเบิกฟ้าเสียอีก!
เมื่อพานป๋อไท่ใช้ฝ่ามือนี้ออกไป ทุกคนในบริเวณนี้ก็เห็นทุกอย่างเป็นสีขาวโพลนในทันที
นอกจากแสงนั้นแล้ว ก็ไม่เห็นอะไรอีกเลย
แต่ท่ามกลางแสงที่สาดส่องอยู่ในโลกใบนี้ เยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่ได้รู้สึกถึงความอบอุ่นเลยสักนิด
ฟ้าดินไม่ได้ร้อนระอุจนแทบทนไม่ไหวเหมือนเช่นก่อนหน้านี้ แต่กลับยิ่งทำให้รู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นเป็นเท่าทวี
แสงสว่างนั้นไร้ขอบเขต ไร้จุดสิ้นสุด ท่วมท้นหาศาลยิ่งนัก อีกทั้งไม่สามารถรู้สึกได้ถึงจิตอาฆาตรุนแรงเหมือนเช่นดาบผลาญฟ้าคล้อยประจิม แต่กลับเปี่ยมไปด้วยพลังอันมหาศาลที่ไม่อาจต้านทานและไม่อาจทัดเทียมได้ ราวกับยกภูเขาทับไข่ไก่ ที่สามารถบดขยี้อีกฝ่ายให้แหลกละเอียดเป็นฝุ่นผงได้อย่างง่ายดาย
แต่ในขณะที่แสงสว่างอันโชติช่วงไร้ขีดจำกัดกำลังสาดแสงเจิดจ้าทั่วฟ้าทั่วแผ่นดินอยู่นั้น จู่ๆ ก็เกิดความไม่สมดุลขึ้นจุดหนึ่ง
และแล้วโลกที่เห็นเพียงแสงสว่างขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา ก็ปรากฏเส้นสีดำสายหนึ่งขึ้น
เส้นสีดำนั้นไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด เห็นเพียงแต่ว่ามันยืดยาวออกไปอย่างไร้ขอบเขต พาดอยู่ในโลกสีขาวเช่นนี้ดูแล้วสะดุดตามาก
เยี่ยนจ้าวเกอมีความรู้สึกบางอย่าง ราวกับว่าโลกเบื้องหน้านี้เหมือนกับแผ่นกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่ง โดยที่การมีอยู่ของเส้นสีดำเส้นนี้ ไม่ใช่เส้นที่วาดขึ้นบนกระดาษสีขาวแผ่นนี้แต่อย่างใด ทว่ากลับเป็นรอยที่ถูกฉีกออกจนขาด!
รอยขาดนี้พยายามเชื่อมกลับเข้าด้วยกัน แต่นั่นยิ่งทำให้โลกที่เหมือนกับกระดาษสีขาวนี้ยิ่งดูประหลาด!
แสงสว่างไร้ขีดจำกัดส่องไปทั่วผืนฟ้าและแผ่นดิน และพลังที่สร้างความกดดันที่น่ากลัวเมื่อครู่นี้ พลันหายไปพร้อมกับเส้นสีดำที่เกิดขึ้น!
ยิ่งเส้นสีดำนั้นลอยอยู่กลางท้องฟ้านานเท่าไร ก็ราวกับมิติของโลกกับกำลังบิดเบี้ยวไปเช่นกัน
กระดาษสีขาวที่เหมือนถูกฉีกออก มันแบ่งออกเป็นสองส่วนตามรอยขาด ส่วนหนึ่งลอยตัวขึ้น อีกส่วนลอยตัวลง ตำแหน่งเริ่มผิดเพี้ยนไป
พริบตานั้น แสงสว่างหายไปจนหมดสิ้น ทุกคนกลับมามองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ในที่สุด
ทว่าท้องฟ้าและผืนดินยังคงมีความบิดเบี้ยวบางอย่าง และในความว่างเปล่าก็คล้ายกับมีร่องรอยหนึ่งหลงเหลืออยู่
รอยดาบที่น่าประหวั่นพรั่นพรึง!
ร่างยักษ์ของพานป๋อไท่เก็บฝ่ามือกลับด้วยความรู้สึกไม่สบอารมณ์
บริเวณกลางฝ่ามือมีปากแผลฉีกออกเป็นแนวตั้ง ดูแล้วเตะตาและน่าหวาดกลัว ราวกับกับว่าจะแบ่งฝ่ามือเขาออกเป็นสองซีก
ลมเมฆทั่วหล้าพลันเกิดการเปลี่ยนแปลง แสงอาทิตย์จริงสาดส่องลงมาจากท้องฟ้าราวกับสร้างเป็นขั้นบันได
แล้วร่างของคนผู้หนึ่งก็ปรากฏกายขึ้น พร้อมกับท่าทีที่ไม่รีบร้อน ทว่าก็ไม่ชักช้า
กระนั้นเพียงแค่ก้าวเดียว เขาก็มาถึงข้างกายสือเถี่ยแล้ว และกำลังมองตรงไปที่พานป๋อไท่
เขาหันศีรษะกลับไปทางสือเถี่ย แล้วกล่าวว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ลำบากท่านแล้ว”
แสงรัตติกาลที่ยืนอยู่ไกลออกไป มีโลหิตไหลซึมออกมาจากมุมปาก สายตาจ้องผู้มาเยือนอย่างไม่ลดละ “…เยี่ยนตี๋!”
องคาพยพทั้งห้าของผู้มาเยือนมีส่วนคล้ายกับเยี่ยนจ้าวเกออยู่หกเจ็ดส่วน สังเกตจากลักษณะภายนอกของเขาแล้ว อายุไม่น่าเกินสามสิบต้นๆ เพียงแต่ไรผมตรงขมับทั้งสองข้างกลับมีสีขาวเงินเสียแล้ว
รูปร่างหน้าตาของเขาหล่อเหลา รอบกายมีปราณที่เกรี้ยวกราด ให้ความรู้สึกเสมือนกับดาบเล่มหนึ่งที่แหวกท้องฟ้าออก
นั่นก็คือผู้อาวุโสระดับหนึ่งแห่งตำหนักสืบวิชาของเขากว่างเฉิง ผู้ได้รับการขนานนามว่าไร้เทียมทานในบรรดาผู้มีระดับวรยุทธ์เดียวกัน เยี่ยนตี๋!
เจตจำนงดาบที่รุนแรงผ่าแยกฟ้าดิน ผลักพานป๋อไท่กระเด็นถอยออกไปเมื่อครู่ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความจริงเรื่องนี้
ไม่เพียงแต่ไร้เทียมทานในบรรดาผู้มีระดับวรยุทธ์เดียวกันเท่านั้น ต่อให้ต่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับมหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรมเช่นพานป๋อไท่ เยี่ยนตี๋กลับยังคงสามารถถือไพ่เหนือกว่าได้เช่นเดิม!
เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยนตี๋ ใบหน้าสือเถี่ยก็เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา “ไม่เป็นไร”
บนพื้น เยี่ยนจ้าวเกอพูดอย่างเคอะเขินว่า “เป็นเพราะข้าเลยทำให้ท่านกับท่านอาจารย์ลุงใหญ่ต้องลำบาก”
“นายท่าน!” อาหู่คุกเข่าลงกับพื้นข้างหนึ่ง
จอมยุทธ์เขากว่างเฉิงคนอื่นที่อยู่ใกล้ๆ ต่างก็คำนับเยี่ยนตี๋เช่นกัน “คาราวะท่านผู้อาวุโสเยี่ยน!”
เมื่อเยี่ยนตี๋ยกมือหนึ่งขึ้นในอากาศ อาหู่และคนอื่นๆ ก็ลุกขึ้นยืน
เขาโบกมือไปมาให้กับเยี่ยนจ้าวเกอ “ระหว่างพ่อลูกจะพูดว่าลำบากได้อย่างไร”
“ครานี้เจ้ารับภาระหน้าที่ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังยอมเสี่ยงอันตรายทำให้ข้ามีหน้ามีตานี่สิเรื่องจริง ส่วนเรื่องที่เจ้าโจมตีเซียวเซิงจนสิ้นชีพ แล้วพานป๋อไท่ตามมาล้างแค้น ข้าจะรับผิดชอบแทนเจ้าเอง”
“การที่ข้าจะรับผิดชอบแทนเจ้าเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว แต่การให้ศิษย์พี่ใหญ่มาแบกรับการโจมตีแทนพวกข้าพ่อลูก นั่นไม่สมควร”
เยี่ยนจ้าวเกอก้มหน้าลงเล็กน้อย “แน่นอนว่าต้องขอบพระคุณท่านอาจารย์ลุงใหญ่เป็นอย่างยิ่ง”
“เยี่ยนตี๋…” ท่ามกลางแสงสีทองที่กะพริบอยู่อยู่ บริเวณระหว่างคิ้วของยักษ์ตนนั้นก็ค่อยๆ ปรากฏร่างของชายชราสีหน้าเขียวคล้ำคนหนึ่งขึ้น
คิ้วของเขาขมวดเป็นปมแน่น ขณะนี้เขาไม่แม้กระทั่งมองเยี่ยนจ้าวเกออยู่ในสายตา ความสนใจทั้งหมดของเขาล้วนอยู่ที่ตัวเยี่ยนตี๋
อีกฝ่ายสามารถพังทลายผนึกของมาตรสุริยันวัดสวรรค์มาถึงที่นี่ได้ เช่นนั้นก็หมายความว่า…
‘ในเมื่อไม่ได้นำอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเขากว่างเฉิงออกมาด้วย แล้วมันทำได้อย่างไร หยวนเจิ้งเฟิงอย่างมากก็ทำได้แค่เพียงป้องกันตัวเองเท่านั้น แล้วมันฝ่าเข้ามาได้อย่างไร’
ภายในใจของพานป๋อไท่รู้สึกสังหรณ์ไม่ดี
เขาพลันยกมือขึ้น ยักษ์ตนนั้นก็เคลื่อนไหวแบบเดียวกัน แล้วยื่นมือออกไปจับดาบยาวที่ลอยอยู่เหนือศีรษะโดยตรง
เดิมทีนั่นเป็นดาบที่ยาวเพียงแค่สี่ฉื่อเท่านั้น ทว่าจู่ๆ มันก็ขยายใหญ่ขึ้น จนกลายเป็นดาบมหึมาเบิกฟ้าเล่มหนึ่งในชั่วพริบตา
บนคมดาบมีลวดลายดวงอาทิตย์มากมายสว่างขึ้นมา!
ทันทีที่จับดาบไว้ในมือ พลังของพานป๋อไท่ก็เพิ่มสูงขึ้นทันที!
โลกกลับมาร้อนเป็นไฟอีกครั้ง
ยักษ์สีทองตนนั้นยังคงยืนอยู่บนพื้นอย่างเด็ดเดี่ยว อีกทั้งเหนือศีรษะของเขามีดวงอาทิตย์สีทองดวงใหญ่ทั้งเจ็ดดวงปรากฏขึ้นล้อมรอบเหมือนก่อนหน้านี้!
แล้วปลายดาบขนาดมหึมาก็พลันฟาดลงมา!
ตั้งแต่ที่เยี่ยนจ้าวเกอเห็นจอมยุทธ์แสดงวิชาลับนี้มา นี่เป็นเพลงดาบผลาญฟ้าคล้อยประจิมที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยปรากฏขึ้น!
เยี่ยนตี๋ที่ประจันหน้ากับปลายดาบหัวเราะเสียงดัง พลางกล่าวว่า “แสงอาทิตย์ยามสนธยา เช่นนั้นก็ให้มันตกลงไปในหุบเขาเสียเถิด!”
ระหว่างที่หัวเราะ เยี่ยนตี๋ก็สะบัดมือข้างหนึ่งขึ้น นิ้วมือทั้งห้ายื่นเข้าไปในใจกลางอากาศที่ว่างเปล่า เขาชักดาบออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่านั้น อากาศว่างเปล่ากระเพื่อมราวกับกระแสน้ำ จากนั้นดาบยาวเล่มหนึ่งที่ส่องแสงสีม่วงจางๆ ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของทุกคน
เขากระตุ้นไปที่คมดาบครั้งหนึ่ง พลันเกิดเสียงดังก้องกังวานออกมาจากดาบยาวสีม่วงเล่มนั้น!
และในตอนนี้เอง ทั่วทั้งท้องฟ้าราวกับกำลังส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวขึ้นพร้อมกัน!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับดาบผลาญฟ้าคล้อยประจิมของพานป๋อไท่ เยี่ยนตี๋ก็วาดดาบออกไปครั้งหนึ่งเช่นเดียวกัน
อักขระวิญญาณนับพันนับหมื่นปรากฏขึ้น กลายเป็นวงแหวนพลังจำนวนมากกลางอากาศ
วงแหวนพลังจำนวนมากทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ จนกลายรูปเป็นเหมือนกับแท่นบูชา
แท่นบูชานั้นส่องประกายแสงสีม่วง และเกิดเป็นรูปของดาบยาวนั้นที่กลางอากาศ
พลังดาบที่น่ากลัว รวมเข้ากับดาบยาวที่อยู่ในมือของเยี่ยนตี๋ และสั่นสะเทือนไปทั่วฟ้าดิน!
ทันทีที่ดาบนั้นฟันออกไป โลกทั้งใบเสมือนกับถูกฟันให้ขาดออกในทันทีทันใด!
ประหนึ่งภาพวาดที่ถูกฉีกตั้งแต่กึ่งกลางจนขาดออกจากกัน!
พลังที่เกรี้ยวกราดราวกับพระอาทิตย์กำลังเคลื่อนคล้อยตกสู้พื้นดินของเพลงดาบผลาญฟ้าคล้อยประจิม เมื่ออยู่ต่อหน้าดาบหนึ่งที่รุนแรงยิ่งกว่าเช่นนี้ ก็เปราะบางราวกับแผ่นกระดาษเท่านั้น!
ท่ามกลางแสงสีทองที่กระจายอยู่ทั่วฟ้าดับสูญลง ยักษ์ตนนั้นที่กลายร่างมาจากพานป๋อไท่ก็ส่งเสียงตะโกนร้องด้วยความโกรธเกรี้ยว ถอยกรูดไปอย่างรุนแรง!
ราวกับดวงอาทิตย์ที่คล้อยตกลงไป และอายุขัยที่ใกล้ฝั่งเข้ามา!
……………….