ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1063 เซียนผู้ถูกเนรเทศที่ไม่ค่อยเอาการเอางาน
พวกเหิงเซียนต๋ามองเยี่ยนจ้าวเกอ ต่างก็แตกตื่นสับสน
พวกเขารู้สึกได้ว่า การคาดเดามากมายต่อเยี่ยนจ้าวเกอเมื่อก่อนหน้านี้เกรงว่าจะผิดพลาดแล้ว
เยี่ยนจ้าวเกอไม่กล่าวมากความ เพียงแต่ขอให้เหิงเซียนต๋าเตรียมห้องสงบใจห้องหนึ่ง จากนั้นก็เข้าไป
ครรภกระบี่วางอยู่ในเตาผลึกหินชั้นใน เยี่ยนจ้าวเกอไม่กล่าวอะไรมาก เขาเหนี่ยวนำสายฟ้า ใช้วิชาอัสนีหลอมทองที่แท้จริง ซึ่งด้อยกว่าวิชาอัสนีหลอมทองของจวนวายุอัสนีเล็กน้อย
แค่ดูการเคลื่อนไหวของเยี่ยนจ้าวเกอ พวกเหิงเซียนต๋าก็ปั้นสีหน้าจริงจังทันที ภายนอกคือชมดูเรื่องสนุก ภายในคือมองดูวิถี
จอมยุทธ์จวนวายุอัสนีที่มีพลังฝึกปรือต่ำมองไม่ออก แต่ในสายตาของมือดีระดับสูงเช่นเหิงเซียนต๋า กลับมองระดับความสูงส่งในด้านมรรคาการหลอมอุปกรณ์ของเยี่ยนจ้าวเกอออกทันที
เตาผลึกหินชั้นในและวิชาอัสนีหลอมทองยังพอทำเนา
เยี่ยนจ้าวเกอวนรอบเตาผลึกหินชั้นใน ทุกๆ ครั้งที่ก้าวเท้าจะผลักฝ่ามือออก
เงาแสงทิ้งร่องรอยในความว่างเปล่า ตารางเก้าช่องขนาดยักษ์ปรากฏขึ้น ครอบคลุมเตาผลึกหินชั้นในเอาไว้
เมื่อฝาเตาเปิดออก เขาเหนี่ยวนำสายฟ้าเข้าไปด้านใน ด้านในเตาผลึกหินชั้นในพลันมีลำแสงผสมกัน ก่อเกิดเป็นรูปตารางเก้าช่อง รองครรภกระบี่นั้นเอาไว้
พอเห็นภาพนี้แล้ว คิ้วขวาของชายชราคนหนึ่งด้านข้างเหิงเซียนต๋าก็กระตุก ก่อนจะส่งกระแสเสียงแก่เหิงเซียนต๋า “พี่สาม นี่เป็นวิชาเก้าตารางในนอกหยุดเตาใช่หรือไม่”
“ไม่น่าผิดไปได้…” เหิงเซียนต๋าผงกศีรษะด้วยสีหน้าจริงจัง
เขาพลันถอนใจเสียงอ่อน “ไม่จำเป็นต้องดูต่อก็รู้ผลลัพธ์แล้ว ท่านเยี่ยนผู้นี้อย่าเห็นว่ายังอายุน้อย ระดับในด้านมรรคาการหลอมอุปกรณ์เกรงว่าจะสูงส่งกว่าข้า น่าหัวเราะที่ก่อนหน้ายังนึกว่าเขาเลือดลมพลุ่งพล่านไปชั่วขณะ ดูจากตอนนี้แล้ว ถ้าไม่ใช่เขาคิดประหยัดเวลาเตรียมตัวในภายภาคหน้า ก็ไม่จำเป็นต้องมาหาพวกเรา อาศัยสิ่งที่เขาครอบครองอยู่ อาศัยระดับของเขา ยามแข่งขันกัน สามารถบดขยี้ธุรกิจของจวนวายุอัสนีของพวกเราได้อย่างง่ายดาย”
จอมยุทธ์จวนวายุอัสนีล้วนหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย คนมากมายอ้าปากคิดพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยออกมา
ทุกคนสงบจิตใจใคร่ครวญวาจาของเหิงเซียนต๋า ค่อยๆ เข้าใจถึงวิถีทางที่อยู่ด้านใน
วิชาเก้าตารางในนอกหยุดเตา เป็นวิชาหลอมอุปกรณ์ที่คงอยู่ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่เช่นกัน เทียบกับวิชาอัสนีหลอมทองแล้ว ทั้งสองมีความสามารถไม่เหมือนกัน ไม่อาจกล่าวว่าผู้ใดสูงผู้ใดต่ำ
ที่แล้วมาจวนวายุอัสนีโด่งดังในวิชาหลอมอุปกรณ์ และค่อนข้างทะนงตน พวกเขาสร้างวิชาอัสนีหลอมทองขึ้นมาใหม่ อีกทั้งยังเหนือกว่าเดิมขั้นหนึ่ง แยบยลยิ่งกว่าวิชาโบราณที่แพร่หลายก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่
วิชาอัสนีหลอมทองของเยี่ยนจ้าวเกอเป็นฉบับก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ กล่าวกันอย่างยุติธรรม มันยังด้อยกว่าวิชาอัสนีหลอมของจวนวายุอัสนีในปัจจุบันขั้นหนึ่ง แต่เมื่อประสานวิชาอัสนีหลอมทองกับวิชาเก้าตารางในนอกหยุดเตา ก็สามารถควบคุมได้ดั่งใจนึก สอดประสานอย่างลงตัว เช่นนั้นประสิทธิภาพก็เปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์
ในการสร้างอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นอัตราความสำเร็จ คุณภาพ หรือการจัดการในด้านรายละเอียดต่างๆ ล้วนเหนือกว่าวิชาอัสนีหลอมทองของจวนวายุอัสนีแล้ว
แน่นอนว่าเมื่อประสานสองวิชาด้วยกัน ความยากก็เพิ่มจากหนึ่งเป็นสอง ถ้าหากว่าเอาไม่อยู่ เช่นนั้นผลลัพธ์ก็มีแต่ความพินาศ ตกเป็นขี้ปากคน
กระนั้นเหิงเซียนต๋ามีสายตาถึงระดับไหน แม้นว่าเขาจะไม่บรรลุวิชาเก้าตารางในนอกหยุดเตา แต่ว่าเมื่อมองการลงมือในตอนแรกของเยี่ยนจ้าวเกอ ก็ทราบแล้วว่าเยี่ยนจ้าวเกอมีระดับวิชาอัสนีหลอมทองและวิชาเก้าตารางในนอกหยุดเตาสูงถึงขีดสุด จึงไม่มีทางล้มเหลวแน่นอน
คนอื่นๆ สู้กับเหิงเซียนต๋าในด้านระดับวิชาหลอมอุปกรณ์ไม่ได้ บางคนระดับสูง บางคนระดับต่ำ แต่ว่าพร้อมกับเวลาที่ผ่านไป เมื่อมองการเคลื่อนไหวของเยี่ยนจ้าวเกอ ก็เริ่มมองเห็นวิถีแล้ว สีหน้าของทุกคนจึงเปลี่ยนเป็นซับซ้อน
‘ต่อให้เขามีวาสนาท่วมท้น โชคดีน่าเหลือเชื่อ ได้วิชาฉบับสมบูรณ์ของวิชาลับสองอย่างมา แต่อายุยังน้อยขนาดนั้น เขาเอาเวลาไหนมาศึกษาทำความเข้าใจกัน’ จอมยุทธ์จวนวายุอัสนีอดถอนใจไม่ได้
การศึกษาวิชาและการนำมาปฏิบัติจริงเป็นคนละเรื่องกัน จะนำความรู้บนหน้ากระดาษมาใช้อย่างไร ที่แล้วมาไม่ใช่เรื่องง่ายดาย
เหิงเซียนต๋าพึมพำ “ความสำเร็จในด้านวรยุทธ์ของเขายังน่าตื่นตระหนกกว่า”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ทั่วทั้งจวนวายุอัสนีต่างยิ้มขื่นขมพร้อมกัน
เนื่องจากการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นของพวกเขา ผู้คนจึงชื่นชมวิชาหลอมอุปกรณ์ และยังใช้เวลาและสมาธิไปกับการศึกษามากมาย ทว่าความสำเร็จในด้านวรยุทธ์แท้จริงแล้วกลับมีจำกัด
การนั่งสมาธิฝึกฝนในยามปกติยังพอว่า ทว่าการเข่นฆ่าในสงครามจริง และประสบการณ์เป็นตายกลับมีไม่พอ พลังส่วนตัวและระดับเฉลี่ยในฐานะจอมยุทธ์ของผู้สืบทอดแห่งจวนวายุอัสนีไม่อาจบอกได้ว่าต่ำต้อย แต่ก็ไม่ได้สูงส่ง นี่เรียกว่ามีได้ต้องมีเสียแล้ว
หลายปีมานี้ เหิงเซียนต๋าผู้ปกครองจวนคนปัจจุบันเริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ทำการปรับปรุงอย่างตั้งใจ แต่ว่าตอนนี้พอมองเยี่ยนจ้าวเกอ เหิงเซียนต๋าก็ได้แต่ยิ้มด้วยความหนักใจ
เขามองจอมยุทธ์จวนวายุอัสนีคนอื่นๆ ถอนใจคำหนึ่ง “มนุษย์เซียนผู้ถูกเนรเทศ…”
คนอื่นๆ ก็ถอนใจเช่นกัน “มนุษย์เซียนผู้ถูกเนรเทศ!”
สำหรับเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้ การหลอมสร้างอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลางชิ้นหนึ่งไม่ได้เปลืองแรง ยิ่งไปกว่านั้นครรภกระบี่นั่นก็เป็นของที่สำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ขณะที่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ออกจากเตาผลึกหินชั้นใน แสงสายฟ้ายิ่งใหญ่สายหนึ่งก็พุ่งขึ้นไปกลางหาว ประสานเสียงกับอัสนีบนท้องนภา
เยี่ยนจ้าวเกอสะบัดแขนเสื้อ เตาผลึกหินชั้นในผนึกปิด เมฆสายฟ้าด้านบนเริ่มสลายไป
เงาแสงของตารางเก้าช่องผนึกรวมกันอยู่ชั่วครู่หนึ่ง เปลี่ยนจากสีเข้มเป็นสีจาง จากนั้นก็ค่อยๆ หายไป
ยามนี้เยี่ยนจ้าวเกอเปิดฝาเตา พลันมีแสงสายฟ้าสายหนึ่งแวบผ่าน
เขาล้วงมือเข้าไปหยิบกระบี่คมสีเขียวยาวสามฉื่อชิ้นหนึ่งออกมา ลวดลายสายฟ้าบนผิวบัดเดี๋ยวสว่าง บัดเดี๋ยวมืด คล้ายกับมังกรสายฟ้าเดี๋ยวหายไปเดี๋ยวปรากฏในชั้นเมฆ
“ทำให้ผู้ปกครองจวนผู้เฒ่าเหิงหัวเราะเยาะแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอส่งกระบี่ให้แก่เหิงเซียนต๋า
เหิงเซียนต๋าใช้นิ้วลูบบนคมกระบี่ ไม่กล่าววาจา อย่าว่าแต่เริ่มต้นใหม่หลังการหลอมสร้างถูกหยุดกลางคัน แม้จะไม่ได้ถูกหยุด แต่ต่อให้เขาใช้ความสามารถทั้งหมดหลอมสร้างกระบี่เล่มหนึ่ง เกรงว่าไม่อาจเทียบกับกระบี่ที่หลอมขึ้นมาใหม่เล่มนี้ของเยี่ยนจ้าวเกอได้
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เหิงเซียนต๋าก็มอบกระบี่ให้แก่คนที่อยู่ใกล้ๆ แล้วโน้มกายคารวะเยี่ยนจ้าวเกออย่างไร้เสียง
กระบี่ถูกส่งต่อไปในมือของจอมยุทธ์จวนวายุอัสนีคนแล้วคนเล่า
ต่อมา จอมยุทธ์จวนวายุอัสนีแต่ละคนก็คารวะเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความเลื่อมใสเหมือนเหิงเซียนต๋า
“ทุกท่านเกรงใจไปแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอทำท่าประคอง ทุกคนไม่อาจกราบกรานต่อไป ได้แต่ยืดกายขึ้น
เหิงเซียนต๋าเอ่ยว่า “วันนี้ท่านเยี่ยนทำให้กบก้นบ่อเช่นข้าได้เปิดโลกทัศน์อย่างแท้จริง หวังว่าวันหน้าจะมีโอกาสขอคำชี้แนะจากเซียนผู้ถูกเนรเทศ”
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม “ให้คำชี้แนะไม่กล้ารับ สนทนาแลกเปลี่ยนกันดีกว่า”
ชิวเจียไห่มองดูอยู่ด้านข้าง ลอบถอนใจชมเชย
ในความคิดที่เขามีต่อเยี่ยนจ้าวเกอก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะสนับสนุน แต่ก็ไม่ได้มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม เพียงแต่ลงมือช่วยเหลืออย่างเต็มที่เพราะน้ำใจ
ตอนนี้เขาโล่งใจแล้ว
หลังจากทั้งสองพูดคุณถึงการร่วมมือในช่วงต้นมากมายกับเหิงเซียนต๋า แล้วออกมาจากจวนวายุอัสนี ชิวเจียไห่ก็ถอนใจชมเชยพลางเอ่ยว่า “ศิษย์น้องเยี่ยนไม่เพียงมีพลังฝึกปรือเหี้ยมหาญ ขอบเขตนอกจากวรยุทธ์ก็ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงเช่นกัน”
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนเด็กๆ ถูกผู้อาวุโสต่อว่าไม่น้อยว่าข้าไม่เอาการเอางาน”
คนทั้งสองสนทนาอย่างเพลิดเพลิน กับเขาคุนหลุนอีกครั้ง แต่ขณะที่เดินทางอยู่ก็ได้รับข่าวสารหนึ่ง
จักรพรรดิแพรงามที่หายตัวไปหลายวัน ในที่สุดก็กลับโลกซ้อนโลกแล้ว เพียงแต่การกลับมาในครั้งนี้ สถานที่แรกของเขากลับไม่ใช่ยอดเขาอัศจรรย์อันเป็นนิวาสสถานของตัวเอง แต่มุ่งหน้าไปเขตเพลิงทักษิณโดยตรง!
………………..