ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1190 กษัตริย์ดาราออกจากเขา
พระพุทธความมืดหายไปแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอกลับคืนสู่ลักษณะเดิม ปรากฏตัวขึ้นด้านข้างบึงเลือด
เขาทางหนึ่งสะกดความคิดที่บ้าคลั่งในใจ ทางหนึ่งตั้งสมาธิมองดาบแสงสีเลือดที่ค่อยๆ ลอยขึ้นจากในบึงเลือด
กษัตริย์ดารายื่นมือออกไปกวัก ดาบแสงลอยออกมาจากเลือดขุ่นคลั่ก เข้ามาอยู่ในมือของเขา
จากนั้น กษัตริย์ดาราก็สะบัดดาบอีกครั้ง แสงดาบมายาคลายไม่อาจจับต้อง
ประกายโลหิตข้ามผ่านชั้นน้ำ วาดผ่านร่างกายของเหล่ามารด้านนอก แต่ว่าไม่ได้ก่อให้เกิดการทำลายล้างใดๆ
ประกายดาบพุ่งไปด้านหน้า สุดท้ายก็ข้ามชายฝั่งยมโลก ไปถึงมิติต่างแดนที่ไร้สิ้นสุด
ที่แห่งนั้น แสงมารสีฟ้าบนผิวของตราอาคมแสงสีขาวกะพริบไม่หยุด เกาะเกี่ยวกับเส้นเลือดหลายสาย
ประกายดาบสีเลือดวาดผ่านมิติ ฟันใส่ตราอาคมแสงสีขาวนั้น
ในนพยมโลก จักรพรรดินีเห็นดังนั้นก็พลันตาเป็นประกาย นางพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ทำลายดวงแสงขนาดมหึมาข้างกาย
ดวงแสงระเบิด ตราอาคมแสงสีขาวด้านในมิติต่านแดนพลันขยายใหญ่ขึ้น
แสงสว่างสีฟ้ากะพริบอย่างรวดเร็วกว่าเดิม เส้นเลือดหลายสายที่เกาะเกี่ยวกับมันถูกทำลายไปมากมาย
จักรพรรดินีไม่มองสองจักรพรรดิจากมรกตท่องฟ้าในนพยมโลกโดยสิ้นเชิง ร่างของนางกลายเป็นแสงสีฟ้าสายหนึ่ง ทะลวงมิติ เหาะเหินไปหาตราอาคมสีขาวนั้นเหมือนกับดาบผ่าฟ้าดิน
นางส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วอย่างเย็นชา จากนั้นก็ฟันออกอีกดาบหนึ่ง!
ประกายดาบกระจาย ทุกอย่างเงียบเสียง
ตอนนี้ ทั่วทั้งจักรวาลเหมือนกับกลายเป็นโลกที่เย็นยะเยือกไร้เสียง เปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง
เจี่ยหมิงคงใช้ดาบนี้อย่างสุดกำลัง
จักรพรรดิสัจอุรุและจักพรรดิปฐพีศานติเห็นดังนั้นต่างรู้สึกหวาดกลัว ‘ถ้าหากเมื่อครู่นางลงมือเช่นนี้…’
น่าเสียดาย มาตรว่าจักรพรรดินีจะแข็งแกร่งสุดขีด แต่ว่าประกายดาบสีเลือดนั้นกลับเหมือนเงาฟองความฝัน
ประกายดาบสีฟ้าวาดผ่านจักรวาล ทะลุประกายดาบสีแดงเลือดนั้น
ประกายดาบสีแดงเลือดเหมือนกับรุ้งยาวลวงตา ต่อให้ประกายดาบของจักรพรรดินีโชติช่วงกว่านี้ กลับไม่อาจขวางกั้น
ถ้าหากเป็นรุ้งที่แท้จริง ดาบนี้ของจักรพรรดินีสามารถแช่แข็ง ลดทอนให้มันหายไปได้
แต่ดาบนี้ของกษัตริย์ดารา กลับเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง ทำให้จักรพรรดินีได้แต่ส่งเสียงถอนใจจนปัญญา
นางมองประกายดาบสีแดงเลือดนั้น พุ่งใส่ตราอาคมสีขาวในตอนสุดท้ายด้วยความสิ้นหวัง
จากนั้น พอถูกประกายดาบสีแดงเลือดกระตุ้น ริ้วเลือดหลายสายบนตราอาคมแสงขาวก็พลันหยาบขึ้น กลายเป็นรอยแตกที่ฝังลึก!
รอยแตกถี่ยิบแสดงผลพร้อมกัน ทำให้ตราอาคมแสงขาวแตกสลายออกในตอนสุดท้าย
“เสวียนจง!”
เจี่ยหมิงคงสูญเสียการควบคุมอารมณ์ของตัวเองต่อหน้าคนอื่นเป็นครั้งแรก นางหันไปมองชายฝั่งยมโลกที่ถูกแช่งแข็งเป็นธารน้ำแข็งนับล้านล้านลี้แห่งนั้น ดวงตาล้วนเป็นความผิดหวัง
ตราอาคมแสงขาวแตกสลาย ด้านในทะเลน้ำแข็งภายใต้ธารน้ำแข็ง กษัตริย์ดาราส่งเสียงครางหนักๆ คำหนึ่ง
เสาน้ำแข็งเชื่อมสู่ฟากฟ้าที่ผนึกร่างเขาไว้ ตอนนี้สั่นไหวอย่างรุนแรง เศษน้ำแข็งนับไม่ถ้วนหลุดออกมา แล้วหล่นลงไปในมหาสมุทรเบื้องล่างไม่หยุด
รอยมารบนหน้าผากของกษัตริย์ดาราสั่นไหวอย่างรุนแรง มีปราณมารที่น่าตะลึงกระจายออกมาจากด้านใน
เจตจำนงมารที่บ้าคลั่งแต่กลับเปล่าเปลี่ยวเย็นเยียบ ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ด้านข้ามเกือบเสียสติ
เสาน้ำแข็งหยาบใหญ่ในที่สุดก็รับภาระไม่ไหว แหลกสลายไป
กษัตริย์ดาราสองตาปิดสนิทแน่น นั่งขัดสมาธิอยู่กลางฟ้าดิน
รอยมารสายนั้นบิดไปมาบนหน้าผากของเขา เดี๋ยวใหญ่เดี๋ยวเล็ก
หลังจากความกระวนกระวายในตอนแรกสุด จักรพรรดินีที่อยู่ในมิติต่างแดนก็ค่อยๆ สงบจิตใจลงได้
นางนิ่วหน้ามองกษัตริย์ดาราที่อยู่ในชายฝั่งยมโลก จากนั้นก็มองตราอาคมที่เริ่มแหลกสลาย กลายเป็นลำแสงในมิติ
แสงสีขาวซึ่งแทรกด้วยแสงสีฟ้าที่กระจัดกระจายเหล่านั้นกะพริบครั้งหนึ่ง ก่อนจะหายวับไป
จักรพรรดินีเห็นดังนั้น สายตาก็ฉายแววประหลาดใจและกระจ่างแจ้ง
“แบ่งแยกแล้ว…” นางส่ายศีรษะอย่างเหลือเชื่อ พร้อมกันนั้นก็สงบสติอารมณ์ เลิกคิดถึงอย่างอื่น สนใจเรื่องตรงหน้า
จักรพรรดินีพุ่งไปยังชายฝั่งยมโลกแห่งนั้นด้วยความเร็วสูง ทะลวงเข้าไปในโลกหิมะน้ำแข็ง
ตอนนี้ธารน้ำแข็งที่แช่แข็งมิตินับล้านล้านลี้ ใหญ่มหึมาจนแทบประมาณไม่ได้ กลับเริ่มละลายอย่างต่อเนื่อง
จอมมารที่อยู่รอบๆ ถึงแม้จะกลัวอานุภาพของดาบเดียวสะท้านโลกเมื่อครู่ของกษัตริย์ดารา แต่ตอนนี้ต่างก็บ้าคลั่งขึ้นอีกครั้ง
เพียงแต่พวกเขาบ้าคลั่ง จักรพรรดินีกลับบ้าคลั่งกว่า
จักรพรรดินีเจี่ยหมิงคงที่ไร้ความกริ่งเกรงใดๆ สู้กับเหล่ามารด้วยตัวคนเดียว ต่อสู้บนธารน้ำแข็งที่กำลังแหลกสลาย จนดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ดับแสง
จักรพรรดิอุรุและจักพรรดิศานติจากมรกตท่องฟ้า มองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยความแตกตื่นสับสน
“เมื่อครู่ ตราอาคมแสงสีขาวนั้นเล็งเป้าที่ฉู่หลีหลีในมรกตท่องฟ้า ตอนนี้ตราอาคมสลายไปแล้ว หมายความว่าฝนหยุดตกฟ้าผ่องใส่แล้วหรือ” สองจักรพรรดิจามรกตท่องฟ้ามองหน้ากัน “หรือว่าทางมรกตท่องฟ้ายังคงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่”
สองจักรพรรดิขมวดคิ้วมุ่น วันนี้พวกเขาได้รับบาดเจ็บ ไม่อาจจัดการเรื่องนี้ได้ต่อ จึงจากไปทันที กลับมรกตท่องฟ้าด้วยความเร็วสูงสุด
ถ้าหากว่าทางมรกตท่องฟ้าไม่ได้เกิดเหตุผิดปกติ พวกเขาต้องรีบกลับให้ไวที่สุด เพื่อจัดการสถานการณ์ที่เกิดอย่างกะทันหัน ป้องกันไม่ให้เขาแหนเขียวรับมือไม่ทัน
ขณะเดียวกัน ในที่สุดกษัตริย์ดาราใต้ธารน้ำแข็งก็ลืมตา อีกทั้งผุดลุกขึ้น
รอยมารบนหน้าผากของเขาสงบลงแล้ว แสงสีฟ้าที่ชั่วร้ายเย็นยะเยียบเริ่มสลายไป
พร้อมกับการหายไปของแสงสีฟ้า ก็มีเจตจำนงที่น่ากลัวกระจายออกมาจากรอยมารนั้น
เหมือนกับมารหมื่นตนกรีดร้อง สั่นสะเทือนแก้วหูแทบฉีกขาด
แต่ว่าในเสียงกรีดร้อง เต็มไปด้วยสำนึกที่ไม่ยอมรับและโกรธแค้น จิตสังหารอันเย็นเยียบม้วนพัดไปทั่วบริเวณ เหมือนกับเกิดขึ้นมาในจักรวาล
ในตอนที่แสงสีฟ้าดับลง เสียงกรีดร้องนี้ก็เริ่มสงบลงเช่นกัน
เพียงแต่รอยมารบนหน้าผากของกษัตริย์ดารายังคงอยู่ บัดเดี๋ยวปรากฏบัดเดี๋ยวสูญหายใต้ผมสีขาวที่พัดพลิ้ว เหมือนรอยแผลเป็นทั่วไป
พร้อมกับที่เขาลอยตัวขึ้น ธารน้ำแข็งที่แช่แข็งชายฝั่งยมโลกก็พบกับจุดจบอย่างสมบูรณ์ เริ่มพังทลายด้วยความเร็วที่ทำให้ผู้คนตาลาย
เหล่ามารนอกธารน้ำแข็งส่งเสียงคำรามด้วยความไม่ยินยอมและโกรธแค้น ในที่สุดพวกเขาก็ทนต่อไปไม่ไหว พากันล่าถอยไป
น่าเสียดาย ตอนนี้พวกเขาคิดไป ทว่ากษัตริย์ดารากลับไม่ยอมให้สมหวังแล้ว
ในโลกชายฝั่งยมโลก พลันบังเกิดเกล็ดน้ำแข็งทั่วฟ้า ปิดผนึกที่นี่ไว้
หิมะน้ำแข็งกลายเป็นคมดาบน่ากลัว กอปรกันเป็นวังวนแห่งความตาย เข่นฆ่าจอมมารทั้งหลาย
ผมขาวพัดขึ้น กษัตริย์ดาราเหมือนหลอมรวมเป็นหนึ่งกับโลกหิมะ
พร้อมกับที่เขาก้าวเดินในพายุหิมะ จอมมารก็ล้มลงทีละตัว กลายเป็นเศษน้ำแข็งที่แหลกสลาย
จักรพรรดินีตอนนี้หยุดมือแล้ว ยืนนิ่งอยู่ในชายฝั่งยมโลกที่มืดมิด ดวงตาของนางปิดลงอีกครั้ง
ในตอนที่กษัตริย์ดาราเดินถึงเบื้องหน้านาง จักรพรรดินีเงียบงัน จากนั้นก็กล่าวอย่างแช่มช้า “อาจารย์ ตอนนี้ท่าน…”
“ข้ากับหลีหลีต่างรับผิดชอบตราผนึกคนละครึ่ง แต่ความเสี่ยงไม่ได้เฉลี่ยกัน ใครก็อาจกลายเป็นร่างสถิตของมารน้ำกุ่ยได้ทั้งสิ้น” กษัตริย์ดารามองลูกศิษย์ของตัวเอง “แต่ตอนนี้ยังไม่เป็นไร โดยเฉพาะข้า ข้าสามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจ แต่หากไม่ระวัง จิตใจเลอะเลือนแม้เพียงนิดเดียว ก็ยังคงมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นมารอยู่ดี ข้าลงมือกับผู้คนจำเป็นต้องระวัง หากสู้กันนาน ใช้พลังมากเกินไป อาจจะมอบโอกาสให้มารน้ำกุ่ยฉกฉวย รวบรวมกำลังได้อีกครั้ง หลีหลีมีการฝึกปรือต่ำกว่า จิตใจเปราะบาง จึงอันตรายกว่าข้า”
เฉินเสวียนจงน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ปรากฏเค้าลางว่าได้รับภาระหนัก แต่ในดวงตาที่มองเจี่ยหมิงคงแทรกความซับซ้อน
เจี่ยหมิงคงมองเขาอย่างซึมเซา เนิ่นนานให้หลังก็ก้มศีรษะลง คุกเข่ากราบกรานเฉินเสวียนจงโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็หมุนกายจากไปโดยไม่เห็นร่องรอย
………………..