ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1214 การต่อสู้สุดท้ายในชีวิต
กงจักรมหาประกายกาฬเกิดความผิดปกติอย่างกะทันหัน ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอตกใจเล็กน้อย
โชคดีที่ตอนนี้เขาควบคุมกงจักรมหาประกายกาฬได้มากขึ้นเรื่อยๆ
ชายหนุ่มสั่งความคิด ความไร้ขอบเขตก่อกำเนิด ความโกลาหลกลุ่มหนึ่งครอบคลุมกงจักรมหาประกายกาฬที่ดิ้นไปมา ทำให้ความปรวนแปรของพลังที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจากตัวมันไม่ถึงกับกระจายไปยังโลกภายนอก
รูสิบสองลูกบนกงจักรเหล็กสีดำยามนี้มีรูทั้งสิ้นสิบรูที่ดับแสงลงไป เหลือเพียงแต่ในรูสุดท้ายที่ปรากฏแสงสว่างมัวซัว ไม่สลัวและไม่เจิดจ้า มองไปดูพร่าเลือนขมุกขมัว
ในตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกอพลันรู้สึกว่าจิตใจของตัวเองใกล้ชิดกับกงจักรมหาประกายกาฬอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จากนั้น พร้อมกับที่พลังความไร้ขอบเขตและโกลาหลของเชื่อมโยงกัน ก็มีภาพมากมายลอยขึ้นมาในห้วงสมองของเขา
มีพริบตานั้นที่เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกว่าจิตใจของตนเหมือนกับดำดิ่งอยู่ในกระแสกาลเวลาที่แสดงม้วนภาพเหล่านี้ เขาฝืนตั้งสติ ใช้สภาพไม่ยึดติดชนิดหนึ่งกระโดดออกมาด้านนอก มองเหตุการณ์เหล่านี้อยู่ด้านข้าง
เป็นเพราะว่าแบบนี้ เยี่ยนจ้าวเกอจึงยังมีสมาธิเพ่งอยู่กับเรื่องราวที่กำลังเกิดในโลกความเป็นจริงด้านนอก
พื้นที่บริเวณนี้มียอดฝีมือโถงเซียนจำนวนมากมารวมตัวกันเพราะราชันพระอังคาร
จอมยุทธ์ศาสนาพุทธ์เกิดความขัดแย้งกับจอมยุทธ์โถงเซียนบนในที่แห่งนี้ พอเวลาผ่านไปเล็กน้อยก็ดึงดูดยอดฝีมือโถงเซียนคนอื่นที่อยู่ใกล้ๆ มาถึงอย่างที่คิดไว้
คนที่จู่โจมมาแต่ไกลในตอนนี้ เป็นกษัตริย์โถงเซียนที่สำเร็จระดับเซียนลี้ลับคนหนึ่ง กลิ่นอายของเขาดูเหมือนยิ่งใหญ่ไร้ประมาณ แต่ก็เหมือนเล็กกระจ้อยอยู่ไกลแสนไกล คล้ายกับแข็งแกร่งยิ่งกว่ากษัตริย์โถงเซียนที่ฝึกฝนคัมภีร์เซียนหลิงกวงทะยานจนสำเร็จตรงหน้าเสียอีก
“นะโมศรีอริยเมตไตรย” พระอรหันต์ผู้นั้นเห็นเข้าก็เปล่งคำสรรเสริญพระคุณอีกรอบ จากนั้นใช้ฝ่ามือกดดันคู่ต่อสู้ตรงหน้าสุดกำลัง ร้องเรียกจอมยุทธ์ศาสนาพุทธคนอื่น ถอยออกจากสมรภูมิด้วยกัน
หากสู้ต่อไป ยอดฝีมือโถงเซียนที่มาถึงจะยิ่งมายิ่งมาก
แต่ว่าต่อให้พวกเขาคิดไป จอมยุทธ์โถงเซียนที่อยู่รอบๆ กลับไม่ยอมเลิกรา
คัมภีร์เซียนหลิงกวงทะยานมีมุมมองและความลี้ลับที่ค่อนข้างเฉพาะตัวต่อการเคลื่อนย้ายมิติเวลา ในด้านความเร็ว กษัตริย์โถงเซียนผู้นั้นได้เปรียบต่อคู่ต่อสู้ของเขา จึงตามทันในทันที
แต่ว่าไกลออกไปพลันมีแสงสีทองที่เล็กละเอียดสายหนึ่งกะพริบขึ้นอีกครั้ง แสงสีทองเล็กจิ๋ว เหมือนกับฝุ่นผง
หากแต่พริบตาเดียวก็กลายเป็นยอดเขาสูงตระหง่านลูกหนึ่ง ใหญ่โตมหึมาสุดบรรยาย เติมเต็มทั่วทั้งจักรวาล
เมล็ดผักกาดกลายเป็นเทือกเขาพระสุเมร สะกดหงส์แดงไว้
ทวิชาติที่พัดโหมทะเลเพลิง แบกเทือกเขาพระสุเมร ร่างพลันจมลง ความเร็วลดลง
พระอรหันต์ศาสนาพุทธที่กลายเป็นเทวราชถลึงตาฉวยโอกาสนี้หนีห่างออกไปทันที
กษัตริย์โถงเซียนอีกคนหนึ่งที่ตามมาในภายหลัง ถึงอย่างไรก็ช้าไปก้าวหนึ่ง ขัดขวางไม่ทัน
‘แดนสุขาวดีของศาสนาพุทธยังมียอดฝีมืออีกคนมารับ’ เยี่ยนจ้าวเกอชมดูจนเข้าใจ ‘แต่ว่าเพียงเท่านี้ไม่อาจบ่ายหน้ากลับมาโต้ตอบได้อีกแล้ว บริเวณนี้ถึงอย่างไรก็มีคนจากโถงเซียนเยอะกว่า หากสมณะเหล่านี้ถูกพัวพันไว้ สุดท้ายก็ไม่อาจรอดพ้นจากการโดนกลุ้มรุม ถึงเวลาคิดหนีก็ไม่ทันกาลแล้ว’
เขาละสายตากลับมาจากแสงพุทธที่ออกห่างไป ความสนใจมาอยู่อีกด้านหนึ่ง
ในความว่างเปล่าตรงที่แห่งนั้น สตรีผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น นางอายุราวๆ สามสี่สิบปี สีหน้าไร้อารมณ์ ดวงตาเย็นชา
“ซวีหมีเจี้ยน จินกังต้วน พวกเจ้าในเมื่อกล้ามา ไฉนรีบไปนักเล่า” นางถามอย่างเฉื่อยชา
ในความว่างเปล่าไกลออกไปมีคำสรรเสริญพรุคุณดังขึ้น “กษัตริย์หิมะมาแล้ว ฟังว่าพวกท่านมารวมตัวทำวางแผนกระทำเรื่องใหญ่ที่นี่ พวกเราย่อมมาชมดู ในเมื่อไม่ต้อนรับก็ได้แต่ต้องออกมา”
“คนหัวโล้นทั้งสองกลับหูตาไวนัก” นางพูดพร้อมกับมาถึงด้านข้างจอมยุทธ์โถงเซียนคนอื่น
เยี่ยนจ้าวเกอเห็นสตรีที่ถูกเรียกว่า ‘กษัตริย์หิมะ’ จิตใจไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด แต่เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า การเคลื่อนไหวของกงจักรมหาประกายกาฬรุนแรงกว่าเดิม ภาพที่ส่งจากกงจักรมหาประกายกาฬเข้ามาในห้วงสมองรวดเร็วกว่าเดิม
ในภาพมากมาย เยี่ยนจ้าวเกอเห็นเงาร่างของกษัตริย์หิมะผู้นั้นอย่างชัดเจน อีกฝ่ายใบหน้าเคร่งขรึม ในดวงตาเป็นจิตสังหารสั่นสะท้าน
แต่ว่าเมื่อเทียบกับนางที่อยู่ตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอในความเป็นจริงตอนนี้แล้ว กลับดูกระสับกระส่ายอยู่หลายส่วน เพราะนางในฐานะเซียนลี้ลับถึงกับทำอะไรเซียนจริงแท้ผู้หนึ่งไม่ได้
นางไม่เพียงแต่ทำอะไรเซียนจริงแท้ผู้นี้ไม่ได้เท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะปราณเซียนของอีกฝ่ายไม่อาจทำร้ายนางที่ผ่านภัยพิบัติสัจพิศวงมาก่อน นางอาจถึงขั้นตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ทั้งหมดอาศัยที่ตัวเองไม่หวั่นเกรงการโจมตีของอีกฝ่าย จึงสามารถฝืนรักษาสถานการณ์สู้เสมอเอาไว้ได้
จากท่วงท่าอิริยาบทของกษัตริย์หิมะที่ลอยขึ้นมาในห้วงสมอง เขาสัมผัสได้ว่า สายตาของตนในตอนนี้เป็นของอีกคนหนึ่ง
นี่เป็นความทรงจำของคนผู้นั้น
และคนที่ทำให้กษัตริย์แห่งโถงเซียนทำอะไรไม่ได้ผู้นี้ ก็คือเจ้าของคนก่อนของกงจักรมหาประกายกาฬ
จักรพรรดิประกายกาฬ อิ่นเทียนเซี่ย!
‘นี่เป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายในชีวิตของจักรพรรดิประกายกาฬ…’ เยี่ยนจ้าวเกอเข้าใจ
สตรีที่สร้างความแตกตื่นให้แก่พระอรหันต์สองคนจากศาสนาพุทธตรงหน้าผู้นี้ ก็คือหนึ่งในคู่ต่อสู้ซึ่งอยู่ในการต่อสู้สุดท้ายของจักรพรรดิประกายกาฬอิ่นเทียนเซี่ยน
วัตถุดิบส่วนหนึ่งของกงจักรมหาประกายกาฬเกิดจากการลอกคราบหลังจากเสียชีวิตของอิ่นเทียนเซี่ย ด้านในเก็บเศษชิ้นส่วนความทรงจำที่ขาดๆ หายๆ ในตอนที่อิ่นเทียนเซี่ยยังอยู่เอาไว้
เป็นเพราะว่ารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายและพลังที่คุ้นเคยของอีกฝ่าย จึงมีปฏิกิริยาและเกิดความผิดปกติขึ้น
ภาพมากมายในห้วงสมองของเยี่ยนจ้าวเกอลอยขึ้นเหมือนกับโคมม้าวิ่ง
เหล่าศัตรูต่างพุ่งมาทางตน
จักรพรรดิโถงเซียนหกคนร่วมมือกัน ใช้วรยุทธ์มากมาย สะท้านสะเทือนจนลมและเมฆเปลี่ยนสี ฟ้าดินพลิกกลับด้าน
แต่ว่าพร้อมกับที่ฝ่ามือข้างหนึ่งยื่นออกมา ฝ่ามือที่ปกคลุมด้วยแสงสว่างสลัวๆ ชั้นหนึ่ง ไม่สว่างไม่มืดยื่นออก ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมลายหายไป!
สภาวะโจมตีที่ดูยิ่งใหญ่เกรี้ยวกราดของจักรพรรดิโถงเซียนหกคนปะทะกับฝ่ามือข้างนั้น จากนั้นก็สลายไป แตกพ่ายไม่เป็นกระบวน
มาถึงภายหลัง จักรพรรดิโถงเซียนคนแล้วคนเล่าต่างตายด้วยฝ่ามือเวทมนตร์นี้
จากนั้น คู่ต่อสู้ก็เปลี่ยนเป็นกษัตริย์หิมะผู้นั้น
ทั่วฟ้าคือหิมะและน้ำแข็ง แช่แข็งจักรวาล กลับไม่อาจแช่แข็งแสงสลัวนั้น
แสงสว่างที่ไม่ร้อนแรง แต่กลับเหมือนละลายหิมะดุจดั่งดวงอาทิตย์เจิดจ้า ทำลายความเย็นจากหิมะและน้ำแข็งจนไม่มีเหลือ
จากนั้นก็มีคู่ต่อสู้เพิ่มมาอีกคน เป็นกษัตริย์โถงเซียนระดับเซียนลี้ลับสงบนิ่งอีกคน ในมือถือกระบี่ ประกายกระบี่กระจัดกระจาย ฟ้าดินถูกเฉือนออกมาพร้อมกันดั่งภาพวาด
แสงสลัวบัดเดี๋ยวสว่างบัดเดี๋ยวมืดมิด บ้างเหมือนความมืดไร้ขอบเขต บ้างเหมือนแสงไร้สิ้นสุดสาดส่อง บ้างกลายเป็นไม่สว่างไม่มืด ขมุกขมัวไปทั้งแถบ
แสงสว่างใช้สภาวะประจัญฟ้าดิน ภาคภูมิไร้ความเกรงกลัว ต่อสู้กับสองกษัตริย์ยากจะแบ่งผลแพ้ชนะ
จากนั้นกษัตริย์โถงเซียนคนที่สามและคนที่สี่ก็ปรากฏตัว…
ยอดฝีมือจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ มาถึง กลุ้มรุมขัดขวางเส้นทางของแสงมืดและสว่างนั้น
“อิ่นเทียนเซี่ย ข้าเคยได้ยินชื่อของท่านมาก่อน บุคคลที่โดดเด่นที่สุดในเต๋านอกรีต น่าเสียดาย ท่านหาที่ตายเอง” มีคนกล่าวอย่างเย็นชา “จงเปลี่ยนมานับถือเทวกษัตริย์ไร้ประมาณ แล้วตามหาเศษศิลาฟ้ากำเนิดที่สูญหายไปเพราะเจ้ากลับมาแต่โดยดี นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของท่าน จงอย่าทำข้อผิดพลาด”
เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินเสียงที่คุ้นเคยแต่ก็ไม่คุ้นหูเสียงหนึ่งดังขึ้นจากในส่วนลึกของห้วงสมอง
“ในเมื่อชะตาลิขิตให้มีจุดจบเช่นนี้ ข้าผู้แซ่อิ่นไม่สนใจผลได้ผลเสียส่วนตัวมาแต่ต้นแล้ว ในฐานะผู้สืบทอดสายสามพิสุทธิ์ วันนี้ขอสละกายนี้เพื่อปกป้องสำนักเต๋าสายหลัก”
“อิ่นเทียนเซี่ย ความตายของเจ้าไม่มีค่าแม้แต่น้อย” กษัตริย์โถงเซียนผู้หนึ่งตวาดขึ้นด้วยน้ำเสียงโมโห “ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าอะไรคือตายโดยไร้ที่กลบฝัง!”
แสงมืดและสว่างแทนที่จะถอยกลับพุ่งสู่ฟากฟ้า ปะทะกับอีกฝ่าย
“จิตใจสงบที่ใดที่นั่นย่อมเป็นบ้าน ตายไร้ที่กลบฝังแล้วเป็นอย่างไร”
………………..