ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1226 คำสัญญาที่สามซึ่งติดค้างเจ้า
เยี่ยนจ้าวเกอคล้ายนึกถึงอะไรบางอย่าง
บางทีอาจเป็นเพราะว่าตัวเซ่าจวินหวงมีนิสัยเปิดเผย ไม่สนใจรายละเอียดยิบย่อย ดังนั้นหูเยว่ซินลูกศิษย์ของนางจึงกล่าวถึงอาจารย์ของตัวเองได้อย่างสบายใจเช่นนี้กระมัง
แต่ก็เป็นเพราะได้รับการกล่อมเกลาจากอาจารย์ของตัวเอง หูเยว่ซินเลยทำตามการสอนสั่งและความตั้งใจของอาจารย์อย่างมั่นคงไม่สั่นไหว แบกรับหน้าที่อย่างเด็ดเดี่ยว แม้ตายร้อยครั้งก็ไม่เสียใจ
ศรัทธาและท่วงทำนองที่ลงได้กำหนดเป้าหมาย ก็ยอมหักไม่ยอมงอ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงหลักการ บางทีอาจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่นางได้ร่ำเรียนจากเซ่าจวินหวง
ยึดมั่นในความเชื่อของตัวเองและรักษามันไว้ตลอดกาล ไม่หวั่นไหวไม่โยกคลอน เป็นจุดเด่นร่วมกันของอัจฉริยะบุคคลที่โดดเด่นมากมาย แต่เป็นเพราเหตุนี้ ในยามที่อุดมคติของพวกเขาเกิดการปะทะกันจะรุนแรงเป็นพิเศษ ทำให้คนทอดถอนใจ
ราชันพระเสาร์เจี่ยงเซิ่นกับเซ่าจวินหวงที่เคยเป็นทั้งอาจารย์ทั้งสหายค่อยๆ กลายเป็นคนแปลกหน้า มาภายหลังก็ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน
ต่อให้เป็นสั่วหมิงจางกับเซ่าจวินหวงที่หลังจากเลิกรากันแล้วก็ยังคงรักกัน ที่สุดแล้วก็ยังต้องเลือกยอมแพ้ในตัวกันและกัน
เยี่ยนจ้าวเกอมองบุรุษผมสั้นใต้ต้นผมขาวที่อยู่ห่างออกไป
ถึงแม้ราชันพระอังคารสั่วหมิงจางจะแยกทางกับเซ่าจวินหวง แต่ว่าในตอนที่ข่าวเซ่าจวินหวงหายตัวไปถูกส่งมา เขาก็เริ่มตามหาที่อยู่ของนางทันที
ตามหามาสองพันสี่ร้อยกว่าปี จนกระทั่งวันนี้ในที่สุดก็หาเจอ แต่ว่าตอนที่พบกันอีกครั้งนางกลับได้จากไปแต่แรกแล้ว
เยี่ยนจ้าวเกอสัมผัสการเคลื่อนไหวของปราณวิญญาณและความเสื่อมโทรมด้านในโลกมิติแห่งนี้ พอจะแยกแยะออกคร่าวๆ ว่าที่นี่ดำรงอยู่มาสองพันกว่าปีแล้ว เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าไม่ได้อยู่มาก่อนที่ราชันพระพฤหัสบดีเซ่าจวินหวงจะมาถึง แต่ว่าค่อยบังเกิดขึ้นเพราะการมาถึงของเซ่าจวินหวง
หากคำนวณตามอายุขัยของต้นผมขาว รวมถึงปราณวิญญาณและพลังชีวิตของมันก็พอจะสรุปได้ง่ายๆ
การเสียชีวิตของเซ่าจวินหวง เกรงว่าจะเป็นวินาทีที่นางหายสาปสูญไปเมื่อสองพันสี่ร้อยกว่าปีก่อน
“เพียงลอกคราบเป็นต้นผมขาว แต่ไม่รู้สึกว่าต้นไม้มีพลังชีวิต หมายความว่าในตอนที่ราชันพระพฤหัสบดีจากไป วิญญาณสลายเหลือเพียงกายสังขาร” เยี่ยนจ้าวเกอถอนใจยาว “นางเชี่ยวชาญการคำนวณก่อนกำเนิดแห่งเหอลั่ว เกรงว่าเพื่อตามหาตำหนักโอสถ นางได้ใช้ความพยายามไปหมดสิ้น จนกลายเป็นตะเกียงสิ้นน้ำมัน’
‘แต่อาศัยพลังการฝึกปรือของนาง สมควรไม่ถึงกับ…จริงด้วย ราชันพระอังคารจับตัวคนของโถงเซียน จึงค่อยทราบตำแหน่งของเมฆดาราปฐมกำเนิดกลุ่มนี้ เกรงว่าครั้งกระโน้นจะถูกคนของโถงเซียนกลุ้มรุม ได้รับบาดเจ็บสาหัส กอรปกับทำการทำนายเกิดขีดจำกัด สุดท้ายสิ้นเปลืองพลังจิตหมดสิ้น สาเหตุสองอย่างส่งผลร่วมกันจึงเสียชีวิต’
ทว่าครั้งนั้นคนในโถงเซียนแสดงให้เห็นว่า ไม่ทราบว่าเซ่าจวินหวงกำลังตามหาตำหนักโอสถของวังเทพก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่อยู่
ไล่ตามถึงตอนท้าย เซ่าจวินหวงได้เข้ามาในเมฆดาราปฐมกำเนิด เป็นเพราะว่านึกถึงว่าเมฆดาราปฐมกำเนิดอาจจะเชื่อมไปยังมิติเวลาทุกที่ ไม่มีวิธีไล่ตามต่อ ดังนั้นจึงยอมแพ้
พวกเขากลับไม่ทราบว่าสิ่งที่เซ่าจวินหวงคิดตามหาอยู่ที่นี่
สำหรับคนในโถงเซียนเมื่อตอนนั้น ที่นี่เป็นที่ที่เซ่าจวินหวงหายตัวไปเป็นครั้งสุดท้าย พวกเขายากแยกแยะเป็นตาย เพียงแต่หลังจากนั้นเป็นต้นมาเซ่าจวินหวงก็ไม่ปรากฏตัวอีก จึงสงสัยว่าได้ตกตายในเมฆดาราปฐมกำเนิดกลุ่มนี้
เมฆดาราปฐมกำเนิดซับซ้อนและอันตรายเกินไป หากไม่มีความจำเป็นพิเศษ คนในโถงเซียนก็ไม่คิดจะเข้ามาตรวจสอบที่อยู่ของเซ่าจวินหวง
จนกระทั่งคนผู้หนึ่งที่ครั้งกระโน้นเข้าร่วมการกลุ้มรุมได้ตกไปอยู่ในมือของสั่วหมิงจาง คายข่าวนี้ออกมาจึงค่อยเกิดเรื่องในวันนี้
เยี่ยนจ้าวเกอคาดคำนวณถึงอดีตของเรื่องราว รู้สึกสลดเช่นกัน
ในกลุ่มยอดฝีมือเซียนพิศวงที่มาจากสำนักเต๋าสายหลักซึ่งปรากฏตัวขึ้นมาหลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ราชันพระพฤหัสบดีเซ่าจวินหวงใช่ว่าจะมีพลังระดับสุดยอด แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นบุคคลล้ำค่าที่งอนิ้วนับได้
น่าเสียดายที่ไม่อาจทำให้ความปรารถนาเป็นจริง ไม่อย่างนั้นถ้าหากนางหาเจอตำหนักโอสถเจอ จะมีส่วนช่วยต่อความรุ่งเรืองของสามพิสุทธิ์สายหลักอย่างใหญ่หลวง ถึงขั้นที่ไม่ต้องคิดก็เป็นที่ทราบได้
ถึงอย่างไรเบาะแสในอดีตก็ได้แสดงให้เห็นว่าตำนักโอสถอาจยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ยิ่ง แม้เยี่ยนจ้าวเกอจะรู้สึกว่าที่นั่นมีความแปลกประหลาดอยู่บ้างก็ตาม
‘กลับไม่ทราบว่าราชันพระพฤหัสบดีตามหาตำนักโอสถไปถึงขั้นไหน’ เยี่ยนจ้าวเกอรู้ได้โดยตรงว่าเซ่าจวินหวงเกรงว่าจะค่อนข้างอยู่ใกล้ความสำเร็จแล้ว
ใต้ต้นผมขาวที่อยู่ห่างออกไป สั่วหมิงจางใบหน้าไร้อารมณ์ ไม่กล่าววาจา เดินไปใกล้ยื่นมือออกมาแตะบนลำต้นอย่างเงียบงัน
กิ่งใบของต้นผมขาวสั่นไหวเสียงซู่ซ่า
เขาวาดตราประทับส่วนตัวของเซ่าจวินหวงอีกครั้ง ในตอนที่ยันต์อาคมลอยขึ้น ต้นผมขาวตรงหน้าพลันสาดแสงเจิดจ้าออกมา
ทรวดทรงของสตรีหนางหนึ่งบัดเดี๋ยวปรากฏ บัดเดี๋ยวสูญหายท่ามกลางแสงสว่าง
เยี่ยนจ้าวเกอมองจากที่ไกล สตรีนางนั้นมีอายุราวๆ ยี่สิบปี สวมอาภรณ์สีเขียวมรกต รูปร่างสูงโปร่ง เค้าหน้าหมดจด ขณะที่บุคลิกของนางดูสูงส่ง ก็เผยให้เห็นถึงความเกียจคร้านอยู่หลายส่วน เหมือนกับติดตัวมาตั้งแต่เกิด
ชายหนุ่มที่เคยเห็นภาพเหมือนของอีกฝ่าย ทราบหน้าตาของอีกฝ่าย ย่อมจำได้ว่าสตรีนางนี้ก็คือราชันพระพฤหัสบดีเซ่าจวินหวง
ในร่องรอยที่เงาแสงเหลือไว้ในตอนนี้ นางมีสีหน้าไม่ยินดียินร้าย ไม่เห็นถึงความยิ่งใหญ่และแข็งกร้าวอย่างในเรื่องเล่า
“คนที่เห็นวาระสุดท้ายในชีวิตของข้า ต้องเป็นคนที่มีตราประทับส่วนตัวของข้า สมควรมีวาสนาต่อกัน โปรดฟังวาจาสุดท้ายของข้า” สตรีอาภรณ์สีเขียวมรกตกล่าวด้วยรอยยิ้มจืดจาง “วันนี้ข้าตายลงที่นี่ ชีวิตไร้ความเสียใจใดๆ แต่มีเรื่องเสียดายอยู่สามประการ”
“เรื่องน่าเสียดายประการที่สามคือ ล้มเหลวก่อนที่จะสำเร็จ ตามหาตำหนักโอสถของวังเทพก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ในตำนานนั้นไม่เจอ ไม่อาจเห็นลักษณะที่แท้จริงของมันด้วยตาตัวเอง”
“เรื่องน่าเสียดายประการที่สอง คือไม่เห็นวันที่สามพิสุทธิ์สายหลักเรารุ่งโรจน์ ชำระล้างจักรวาล ขจัดมารปีศาจนอกรีต”
“เรื่องน่าเสียดายประการที่หนึ่ง…เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่สุด…”
เสียงของนางค่อยๆ แผ่วต่ำลง เปลืองตาสองข้างปิดสนิท “เจ็บปวดเหลือเกิน…หมิงจาง ถ้าหากเราเกิดก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่จะประเสริฐขนาดไหนกัน…”
สั่วหมิงจางเหมือนรูปปั้นหิน ยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ใต้ต้นผมขาว ขณะมองเงาแสงนั้นค่อยๆ สลายไป
บุรุษผมสั้นร่างสูงใหญ่ยืนนิ่งเนิ่นนาน ก่อนจะยื่นฝ่ามือออกมา กลีบดอกสีขาวบริสุทธิ์ที่หล่นจากกิ่งหล่นสู่ใจกลางฝ่ามือของเขา
“จวินหวง ข้าติดค้างคำสัญญาอย่างหนึ่งกับเจ้า ยังไม่ได้กระทำ…” เขากล่าวเสียงเบา เหมือนกับติดในภวังค์
เยี่ยนจ้าวเกอหันไปมองทวนพระอังคาร
“ในอดีตตอนที่พวกเขาเพิ่งรู้จักกัน ยังไม่ได้คบหากัน เป็นเพราะสาเหตุบางประการ หมิงจางได้สัญญาไว้ว่าจะทำเรื่องที่สามารถกระทำได้สามเรื่องให้แก่สหายร่วมเส้นทางเซ่า”
ทวนพระอังคารเสียงทุ้มต่ำ “ตามที่ข้าทราบ เรื่องสามเรื่องได้ทำไปแล้วสอง ต่อมาสองคนคบหากัน ประคับประคองกันและกัน ตอนที่ช่วยเหลือกันย่อมไม่ต้องจำเป็นต้องสัญญาว่าจะทำเรื่องอะไร ถึงแม้สองคนจะมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องมากมาย แต่ตามที่ข้าทราบ นางไม่เคยรื้อฟื้นความหลัง ใช้การกระทำเรื่องที่สามตามข้อตกลงในอดีตเป็นข้ออ้างเพื่อให้หมิงจางฟังความเห็นของนาง”
ทวนพระอังคารถอนใจคำหนึ่ง “สัญญาอย่างที่สามติดค้างเช่นนี้มาโดยตลอด ไม่ได้กลายเป็นจริง
“จนกระทั่งสหายร่วมเส้นทางเซ่าหายตัวไป หมิงจางก็ตามหานางไม่หยุดยั้ง จึงค่อยรื้อฟื้นเรื่องเก่าขึ้น” ทวนพระอังคารพูดพลางส่ายหน้า “เขาบอกว่าตนเองติดค้างคำสัญญาอย่างหนึ่งกับสหายร่วมเส้นทางเซ่า ยังไม่ได้ทำให้เป็นจริง เมื่อเรื่องราวไม่เสร็จสิ้นเขาก็ยากสงบใจตลอดกาล ตอนนี้ดูเหมือนไม่อาจทำสำเร็จได้ชั่วนิรันดร์แล้ว หากแต่…”
เยี่ยนจ้าวเกอพอฟังก็เงียบลง มองเงาร่างสูงใหญ่ใต้ต้นไม้
ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือทวนพระอังคารต่างก็ทราบว่า คำสัญญาที่สามซึ่งติดค้างนั้นเป็นแค่ข้ออ้างของคนปากแข็งบางคนที่คิดหาทางลงให้กับตัวเอง
………………..