ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1246 ไม่ยอมเสี่ยงเสียบุตร ก็ไม่อาจจับหมาป่า
พอได้ยินคำถามของอวี่เยี่ย เยี่ยนจ้าวเกอก็พยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา “ตอนนั้นเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับตกมาอยู่ในมือข้าเพราะความบังเอิญและวาสนาจริงๆ เป็นเพราะเรื่องราวสำคัญยิ่ง จึงปิดเป็นความลับมาโดยตลอด แม้แต่พวกท่านก็ปิดบังไว้ ศิษย์พี่ได้โปรดให้อภัยด้วย”
เขามองเนี่ยจิงเสิน “ขอให้ศิษย์พี่เนี่ยอภัยให้ด้วย”
“กล่าวไปก็ละอาย ของล้ำค่าระดับเซียนน่าอัศจรรย์ถึงเพียงไหน ข้าได้มาหลายปีกลับไม่อาจแสดงความสามารถได้ อาจารย์ลุงเยว่ไม่ได้กลับโลกซ้อนโลก อาจารย์อาหลงกับกษัตริย์ลี้ลับก็เข้าฌานมาโดยตลอด ทำให้เวลาล่วงเลยถึงตอนนี้”
ครั้งนี้พอมาถึงตำหนักโอสถ ไม่ว่าจะทำอะไร เตาทองคำม่วงเมฆลี้ลับมีความสำคัญยิ่ง
เยี่ยนจ้าวเกอในเมื่อเชิญเนี่ยจิงเสิน อวี่เยี่ย และทวนพระอังคารร่วมทางก็ไม่ได้คิดปิดบัง
แม้อวี่เยี่ยจะไม่คาดเดา เยี่ยนจ้าวเกอก็คิดบอกด้วยตัวเองอยู่แล้ว
ตอนนั้นเป็นอีกอย่าง ตอนนี้ก็เป็นอีกอย่าง พอมาถึงระดับการฝึกปรือในตอนนี้ เยี่ยนจ้าวเกอไม่ห่วงอีกแล้วว่าเรื่องราวของเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับจะถูกเปิดเผย
ความจริงแล้วเขาเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นพวกเกาเสวี่ยโพที่ได้รับการรายงานจากเกาฉิง หรือว่าจักรพรรดิแพรงามฟู่อวิ๋นฉือที่ได้รับการรายงานจากฟู่ถิง เกรงว่าจะมีข้อสงสัยอยู่ไม่มากก็น้อยว่าเรื่องราวในตอนนั้นเป็นเยี่ยนจ้าวเกอเป็นชาวประมงได้ประโยชน์
แน่นอนว่าถ้าหากมีคนคิดร้ายเพราะเรื่องนี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่เกรงใจเช่นกัน
แต่ครั้งนี้คนที่เลือกร่วมทางด้วยผ่านการพิจารณามาแล้วหลายรอบ สมควรไม่สร้างความขัดแย้งภายใน
เป็นอย่างที่คาด อวี่เยี่ยเพียงถามไถ่ หลังจากได้รับคำตอบที่แน่นอนแล้วก็พยักหน้า “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็มีโอกาสขึ้นหลายส่วน”
จากนั้นความสนใจของนางก็ไม่ได้อยู่บนตัวเยี่ยนจ้าวเกออีก แต่พิจารณาแสงโพล้เพล้รอบๆ สายตาค่อยๆ ล่องลอย คล้ายกับดำดิ่งอยู่ในความลี้ลับของสภาพแวดล้อมในที่แห่งนี้
เห็นได้ชัดมากว่าเรื่องราวการหายสาปสูญของสหายร่วมสำนักในตอนนั้นมาจากปัญหาของตำหนักโอสถ ไม่เกี่ยวข้องกับเยี่ยนจ้าวเกอ อวี่เยี่ยย่อมไม่มีโทสะเพราะเรื่องนี้
“ต่อให้ท่านอาจารย์กลับโลกซ้อนโลก แล้วเจ้าบอกเล่าเรื่องเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับให้เขาฟัง ก็เกรงว่าจะไม่ค่อยมีประโยชน์นัก” เนี่ยจิงเสินหัวเราะครั้งหนึ่ง “ทั่วทั้งเขานครหยกไม่ได้เชี่ยวชาญการหลอมโอสถ”
“เซียนพิศวงสงบนิ่งผลักดันเตาวิเศษ ไม่มีปัญหาแน่นอน ดูแค่ว่ามีประสิทธิภาพต่ำหรือสูง” เยี่ยนจ้าวเกอก้าวเท้า “แต่ว่าทุกอย่างรอหลังจากพวกเราจัดการเรื่องราวในนี้ก่อนค่อยว่ากล่าวเถอะ”
เพียงแต่จากการสกัดดูดซับกลิ่นโอสถที่หลอมรวมอยู่ในลำแสงเจ็ดสีเมื่อก่อนหน้า ถึงพวกเยี่ยนตี๋จะได้ประโยชน์ไม่มากเท่าเยี่ยนจ้าวเกอ แต่ก็ได้รับประโยชน์ไม่ธรรมดา
กระนั้นคิดจะเอามาใช้เองโดยสมบูรณ์ กลับไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น
นอกจากเยี่ยนตี๋ที่มีระดับวิชาหลอมโอสถไม่ธรรมดา ใช้ร่างกายของตัวเองหลอมกลิ่นโอสถอย่างรวดเร็วได้เหมือนเยี่ยนจ้าวเกอ คนอื่นๆ อีกสามคนจำเป็นต้องใช้เวลาตกตะกอน
ตอนนี้เวลาไม่คอยคน ได้แต่ดูดซับไว้ก่อน จากนั้นค่อยหาวิธีทีหลัง
เยี่ยนจ้าวเกอก้าวข้ามประตูกลางแสงโพล้เพล้เข้าไปเป็นคนแรก ด้านหน้าพลันกลายเป็นทิวทัศน์กว้างขวาง พวกเยี่ยนตี๋ตามเข้ามา ตำหนักโอสถที่ยิ่งใหญ่ก็ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าแล้ว
ตำหนักสีดำลอยเดี่ยวๆ อยู่กลางอากาศ รอบๆ ไม่มีสิ่งก่อสร้างใด
ระลอกแสงสีดำหลายสายกระจายออกไปรอบๆ ขณะที่ทำให้มิติกระเพื่อมก็ประกอบกันเป็นเขตแดนขวางกั้นระหว่างมิติ โลกที่เป็นเอกเทศใบหนึ่งเกิดขึ้นโดยมีตำหนักใหญ่นี้เป็นศูนย์กลาง
เมื่อไม่มีกระดิ่ง ไม่มีประตู คิดจะเข้ามายังโลกใบนี้ผ่านมิติไร้สิ้นสุดในจักรวาลภายนอก เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้
พอมาถึงหน้าตำหนัก กลิ่นอายเก่าแก่โบราณก็พุ่งมาปะทะหน้า
‘ตั้งแต่หลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ก็อยู่ที่นี่มาตลอด ลอยอยู่เงียบๆ มาถึงวันนี้…หรือ’ เยี่ยนจ้าวเกอกวาดมองแสงสีดำจางๆ นั้น ‘ไม่เหมือนกับถูกนพยมโลกกัดกรร่อน แต่ว่าต่างไปจากในความทรงจำของข้า’
“เป็นเพราะวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ หรือว่าเป็นเพราะภายในตำหนักโอสถ”
เขาทางหนึ่งไตร่ตรอง ทางหนึ่งหันไปพูดกับพวกเยี่ยนตี๋ “พวกเราเข้าไปกันเถอะ เส้นทางไม่แน่นอน ทุกคนต้องระวังให้มาก เกิดว่าพลัดหลงกันก็ให้รักษาตัวก่อน นึกถึงสิ่งที่ข้าบอกพวกท่านตอนที่เดินทางไว้”
“คนที่เข้ามาก่อน ขณะที่ชิงโอกาสได้ก่อน ถ้ามีกับดักอะไรก็น่าจะแตะต้องก่อนเป็นพวกแรกๆ เรียกว่ามีข้อดีข้อเสีย” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เนี่ยจิงเสินยิ้มอย่างไม่นำพา ส่วนอวี่เยี่ยยังคงเหม่อลอย ท่าทางซึมเซา
ฝ่ายทวนพระอังคารส่ายหน้า “นั่นก็ยังคงเป็นคนที่มาก่อนชิงโอกาสได้ก่อน”
เยี่ยนตี๋พูดด้วยรอยยิ้มเช่นกันว่า “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด”
“ถูกต้อง…” เยี่ยนจ้าวเกอลังเลเล็กน้อย ก่อนจะมองไปที่เนี่ยจิงเสิน “แต่ก็ต้องระวังตัวเป็นพิเศษ”
เนี่ยจิงเสินหันมา เยี่ยนจ้าวเกออธิบาย ”พวกเราต่างค่อนข้างพิเศษ ไม่แน่ว่าจะเป็นเหยื่อที่อีกฝ่ายปรารถนา”
พวกเยี่ยนตี๋เหมือนนึกอะไรได้
เนี่ยจิงเสินย่อมไม่ต้องพูดถึง บรรพครรภ์ก่อนกำเนิดที่หาได้ยากตั้งแต่ในยุคโบราณถึงยุคปัจจุบัน หนึ่งในตัวตนที่ดีที่สุดของคุณสมบัติร่างก่อนกำเนิด หลายๆ ครั้งถึงขั้นที่ตัดคำว่า ‘หนึ่งใน’ ออกไปได้ด้วยซ้ำ
ดูจากคุณสมบัติร่างกายของเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว พอจะกะได้ว่าอยู่ในระดับกลางถึงสูงของก่อนกำเนิด แต่การหล่อหลอมเปลี่ยนแปลงจากการฝึกฝนและการซึมซับสภาพแวดล้อมอย่างไม่หยุดยั้งมาหลายปี สำหรับสถานการณ์ในปัจจุบันของหลังกำเนิดแล้ว ความน่ากลัวของกายเนื้อถือว่าเป็นร่างของจอมยุทธ์เผ่ามนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์เคยมีมา
พูดให้เกินจริง หากเจ้าแม่หนี่วาผู้สร้างมนุษย์ตั้งแต่ยุคบรรพกาลแรกเริ่มมาเห็นเข้าคงรู้สึกประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าในหมู่มวลเผ่าพันธุ์ที่ตนได้สร้างจะปรากฏมนุษย์ที่มีกายเนื้อแข็งแกร่งเช่นนี้
สถานกานณ์ของเยี่ยนตี๋คล้ายกับเขา แต่ไม่ได้อลังการเท่า
ทวนพระอังคารถึงจะเป็นอาวุธ แต่วิญญาณที่ถูกผนึกหลอมอยู่ด้านในก็เป็นของเยี่ยหยางที่เคยเป็นยอดฝีมือ หรือก็คือจักรพรรดิเซียนจริงแท้ที่ได้ผลักเปิดประตูเซียนตัวจริงเสียงจริง
ปัจจุบันถึงแม้จะเปลี่ยนร่างเป็นทวนพระอังคาร แต่ก็ยังเป็นอาวุธเซียนไร้ช่องโหว่
ตามข้อมูลที่ทุกคนมีอยู่ในมือ เขาอาจจะเป็นยอดฝีมือระดับเซียนคนแรกที่ได้เข้าใกล้ หลังจากตำหนักโอสถเกิดการเปลี่ยนแปลง
พูดอีกอย่างก็คือ เป็นเหยื่อระดับสูงสุดที่นักล่าผู้วางกับดักคนนั้นเคยเจอมาจนถึงตอนนี้
ก่อนหน้านี้อวี่เยี่ยและเยี่ยนจ้าวเกอมีความเข้าใจจำกัด กลับเป็นครั้งนี้เยี่ยนตี๋ติดต่อมรกตท่องฟ้าหาคนช่วย ตอนที่พวกเกาเสวี่ยโพและหลงเสวี่ยเห็นว่าอวี่เยี่ยร่วมทางด้วยจึงพูดขึ้นสองประโยค
พอฟังจากเยี่ยนตี๋ เยี่ยนจ้าวเกอก็พอจะเข้าใจคร่าวๆ
ศิษย์พี่ที่ดูเหมือนจะชอบใจลอยบ่อยๆ นางนี้ ด้านหนึ่งเป็นเพราะมีนิสัยเช่นนี้ หลงใหลในวรยุทธ์จนไม่สนใจเรื่องอื่นมากจนเกินไป พฤติการณ์ใกล้เคียงกับพวกราชันพระอังคารสั่วหมิงจางและซือคงจิง
อีกด้านหนึ่ง เป็นเพราะวิญญาณก่อนกำเนิดของนางแตกต่างกับคนทั่วไป
พอลองคิดดูแล้ว คนทั้งห้าล้วนมีความพิเศษแตกต่างกันในแต่ละด้าน
“ไม่เข้าถ้ำเสือจะได้ลูกเสือได้อย่างไร” ทุกคนมองหน้ากัน ต่างยิ้มออกมา
ไม่ประมาท แต่ก็ไม่เกรงกลัว
“สมควรพูดว่าไม่ยอมเสี่ยเสียบุตร ก็ไม่อาจจับหมาป่า” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มกว้าง ละสายตากลับมาจากเนี่ยจิงเสิน
ความจริงคนที่เขาเป็นห่วงมากที่สุดก็คือเนี่ยจิงเสิน ถ้าหากการคาดเดาในใจของเขาเป็นจริง เนี่ยจิงเสินจะตกเป็นเป้าหมายของอีกฝ่ายได้ง่ายที่สุด
เพียงแต่การคาดเดาของเขาไม่อาจอธิบายได้ จึงไม่อาจแจ้งเตือนแค่เนี่ยจิงเสิน ได้แต่บอกกล่าวกับคนทั้งห้า ยังคงถือเป็นการเตือนเช่นกัน
ทุกคนพูดคุยพร้อมกับมาถึงประตูของตำหนักโอสถ
เยี่ยนจ้าวเกอกับเยี่ยนตี๋ที่อยู่ด้านข้างสบตากัน หนึ่งคนหนึ่งด้าน ยื่นแขนออกมาผลักประตูที่เหมือนกับป้อมปราการพระราชวังตรงหน้าพร้อมกัน
บานประตูที่ดูหนาหนัก กลับอ้าออกไปสองด้านอย่างไร้สุ้มไร้เสียง ราวกับไม่มีน้ำหนักใดๆ
ตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอมีเพียงความมืด
หลังก้าวเข้ามา เขาพลันรู้สึกได้ว่ามิติเวลาเปลี่ยนเป็นมายา
รอจนตรงหน้าปรากฏแสงสว่าง เยี่ยนจ้าวเกอหมุนตัวดูรอบๆ ก็เหลือแค่ตัวเขาคนเดียวแล้ว!
………………..