ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1256 เรื่องราวก่อนหน้าในหอเซียนม่วง
“วิญญาณตำหนัก”
จิตใจของเยี่ยนจ้าวเกอเกิดความพร่าเลือนชั่วพริบตา จากนั้นก็กลับคืนสู่สภาวะปกติอย่างรวดเร็ว
“ตามปกติสมควรอยู่ที่นี่” เขาพยักหน้ากล่าว
สิ่งก่อสร้างหลักจำนวนมากในวังเทพก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ต่างมีวิญญาณตำหนักเป็นของตัวเอง เพื่อเอาไว้คงสภาพการทำงานในยามปกติ ไม่จำเป็นต้องให้ยอดฝีมือจากวังเทพมาใส่ใจดูแล
ตัววิญญาณตำหนักแม้จะมีวิญญาณ แต่ว่าไม่มีสติปัญญา ไม่ได้มีจิตใจ ความคิด และความทรงจำเป็นของตัวเองเหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา ได้แต่จัดการเรื่องราวต่างๆ แบบเครื่องจักร
จักรพรรดิสัญญะเมฆเหมือนนึกอะไรได้ ติดอยู่ในห้วงภวังค์
เยี่ยนจ้าวเกอเคลื่อนไหวอยู่ในหอคอย ใช้นิ้ววาดผ่านโต๊ะเก้าอี้ซึ่งเป็นของตกแต่งด้านใน เขาวาดยันต์วิญญาณสายแล้วสายเล่า อักษรอาคมหายไปในอากาศด้านในหอคอย หายไปโดยไม่สัมผัสกับสิ่งก่อสร้าง
จักรพรรดิเมฆกับเฮ่อเหมี่ยนสองศิษย์อาจารย์มองการเคลื่อนไหวของเยี่ยนจ้าวเกออย่างเงียบๆ ไม่ได้รบกวน และไม่ได้แข่งขันแย่งชิง
ครู่ต่อมาเยี่ยนจ้าวเกอก็ส่ายหน้า “ไม่อาจหลอมเปลี่ยนตำหนักโอสถที่อยู่ในการควบคุมนี้ได้ เหมือนกับถูกขวางไว้ด้วยชั้นหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่ยังห่างไกลจากความสำเร็จ”
“ถ้าหากว่าวิญญาณตำหนักได้สูญสลายไปแล้ว เช่นนั้นถึงการหลอมเปลี่ยนจะสิ้นเปลืองทั้งเวลาและพลัง แต่ก็ยังมีความหวังว่าจะสำเร็จ” จักรพรรดิเมฆลดเสียงกล่าว “ไม่อาจหลอมเปลี่ยนได้โดยสมบูรณ์ หมายความว่าวิญญาณตำหนักยังคง…”
เฮ่อเหมี่ยนขมวดคิ้ว “แต่วิญญาณตำหนักคล้ายกลับไม่ได้อยู่ที่นี่ ถ้าหากว่าไม่ใช่ได้รับบาดเจ็บจนอยู่ในห้วงหลับใหล เช่นนั้นก็หมายความว่าวิญญาณตำหนักออกจากหอเซียนม่วง?”
เขามองอาจารย์ของตัวเองอย่างไม่แน่ใจนัก
“ถูกต้อง แต่ตามปกติ นั่นสมควรเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้” จักรพรรดิเมฆหันไปมองเยี่ยนจ้าวเกอ “ก่อนหน้านี้เซียนผู้ถูกเนรเทศบอกว่า ตัวตำหนักโอสถแห่งนี้มีความผิดปกติ ดูจากตอนนี้น่าจะเป็นความจริง”
เยี่ยนจ้าวเกอเงยมองยอดหอคอย เงียบงันไม่พูดจา
เฮ่อเหมี่ยนยามนี้เข้าใจ สีหน้าฉายแววเหลือเชื่อ “วิญญาณตำหนักโอสถมีสติปัญญาเป็นของตัวเอง”
“ไม่เพียงแต่เกิดสติปัญญาขึ้น ยังผนึกตัวเป็นวิญญาณ ออกไปจากที่สิงสถิต” จักรพรรดิเมฆกล่าวอย่างเชื่องช้า
‘ที่สิงสถิต’ ในที่นี้ ย่อมหมายถึงหอเซียนม่วงที่คนทั้งสามอยู่ในตอนนี้
“ถึงแม้จะออกจากหอเซียนม่วงได้ แต่ว่ายังคงไม่อาจออกจากอาณาเขตของตำหนักโอสถ ได้แต่เคลื่อนไหวอยู่กลางจักรวาลในตำหนัก” จักรพรรดิเมฆทอดถอนใจ “คนที่มาถึงก่อนและได้ยึดครองที่แห่งนี้ ไม่ใช่คนจากวังเทพก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ และไม่เหมือนเป็นผู้มาจากภายนอกเช่นพวกเรา”
แต่ว่าเป็นวิญญาณตำหนักโอสถที่มีความคิดเป็นของตัวเอง!
“คนทั้งสามจากยอดเขาขาวเรืองที่หายไปก่อนหน้านี้ เป็นฝีมือของวิญญาณตำหนักนี้?” เฮ่อเหมี่ยนคิดเชื่อมโยงถึงเรื่องอื่นได้อย่างรวดเร็ว ถามเสียงทุ้มต่ำ
จักรพรรดิเมฆพยักหน้าเบาๆ “สมควรไม่ผิด เพียงแต่ไม่ทราบว่าตอนนี้พวกเขาเป็นหรือตาย และไม่ทราบว่าวิญญาณของตำหนักโอสถดวงนั้นจับพวกเขามาทำอะไร”
“พวกเขาสามคน กับสหายร่วมเส้นทางจากยอดเขาอัศจรรย์สามท่านที่หายตัวไปด้วยกันในตอนนั้น ต่างประสบเพทภัย” เยี่ยนจ้าวเกอยามนี้กล่าวเสียงเบา
จักรพรรดิเมฆกับเฮ่อเหมี่ยนอดมองเขาไม่ได้
“ศพของพวกเขาหกคนล้วนเป็นข้าผู้แซ่เยี่ยนเก็บไว้” เยี่ยนจ้าวเกอว่า
ถึงแม้จะมีข้อพิพาทกับสายสืบทอดของกษัตริย์ลี้ลับ กระนั้นจักรพรรดิเมฆกับเฮ่อเหมี่ยนตอนนี้ล้วนพยักหน้า กล่าว “เซียนผู้ถูกเนรเทศมีน้ำใจแล้ว”
เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้กล่าวอะไรมาก เคลื่อนไหวในหอคอยต่อ
“ถ้าหากว่าวิญญาณตำหนักโอสถมีสติปัญญา ทั้งยังมีความคิดเล่นงานพวกเรา นั่นไหนเลยไม่ใช่สะดวกถึงขีดสุด พวกเราเท่ากับเป็นแกะเข้าปากเสือ?” เฮ่อเหมี่ยนนิ้วหน้าพลางพูดขึ้น
“หลังจากมันออกจากหอเซียนม่วง พลังการควบคุมตำหนักโอสถของมันก็จะลดลงด้วย” เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้หันหลังกลับ ค้นหาในหอคอยพร้อมกับตอบ
เฮ่อเหมี่ยนพอฟังแล้วคล้ายกับนึกอะไรออก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไฉนวิญญาณตำหนักจึงต้องออกจากหอเซียนม่วงซึ่งตั้งอยู่ที่ใจกลางตำหนักโอสถ?
เยี่ยนจ้าวเกอก้าวเดินอย่างแช่มช้า สักพักต่อมาก็พลันยื่นมือเข้าไปในอากาศ ในมืออีกข้างหนึ่งของเขามีเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับเพิ่มขึ้นมา
ตอนนี้เตาวิเศษขนาดมหึมาหดเล็กลง อยู่ในใจกลางฝ่ามือของเยี่ยนจ้าวเกอ ส่องแสงสว่าง สักพักหนึ่งเขาถึงค่อยๆ ชักฝ่ามือที่ยื่นไปในอากาศกลับมา
ในมือของเขาที่แสงสว่างที่ไหลเวียนอยู่หลายสาย
เยี่ยนจ้าวเกอส่งแสงสว่างเหล่านี้เข้าไปในเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับ เตาวิเศษพลันส่งเสียงระเบิดครึกโครมครั้งหนึ่ง
ในตอนที่ฝาเตาเปิดออก แผ่นหยกที่ส่องแสงสีม่วงชิ้นหนึ่งก็ลอยออกมาจากด้านในอย่างช้าๆ
ชายหนุ่มหยิบแผ่นหยกมา จากนั้นก็ออกแรงบีบจนแผ่นหยกสีม่วงแหลกสลาย พร้อมกับการเคลื่อนไหวของเขานี้ จู่ๆ หอคอยก็สั่นไหวเล็กน้อย
ที่ใจกลาง ทิศใต้ ทิศตะวันตก ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และทิศตะวันตกเฉียงเหนือบนพื้นต่างมีประกายแสงสว่างขึ้น ในแสงสว่างมีแท่นบูชาแท่นหนึ่งผนึกรวมโผล่ขึ้นมา วินาทีนี้ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยนจ้าวเกอ หรือจักรพรรดิเมฆสองศิษย์อาจารย์ล้วนมีจิตใจเย็นเยียบ!
สำนึกอันเย็นเยียบสายหนึ่งลอยขึ้นมาในจิตใจ เหมือนกับมีดวงตาที่เย็นชาคู่หนึ่งมองพวกเขา
เยี่ยนจ้าวเกอเหมือนไม่เห็น ก้าวเดินไปเบื้องหน้า มาถึงด้านข้างแท่นบูชาตรงใจกลาง จากนั้นก็วางเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับลงไป
เหนือแท่นบูชาเกิดการเปลี่ยนแปลงของเงาแสง สุดท้ายผนึกกันกลายเป็นอักขระยันต์อาคมที่เก่าแก่ สลักติดอยู่กลางอากาศ
“เวลาของข้า…เหลือไม่มากแล้ว…น่าเสียดายที่เตรียมตัวไม่พอ…อาจทั้งสำเร็จและล้มเหลว…แผนการในตอนนี้เหลือแต่ต้องเสี่ยงอันตรายไม่อาจนั่งรอความตาย…เพียงแค้นที่เด็กน้อยแย่งชิงเตาไป ทำลายแผนการของข้า…ถ้าหากข้าทำสำเร็จจะฆ่ามัน!”
จักรพรรดิสัญญะเมฆเดินถึงข้างกายเยี่ยนจ้าวเกอ เขาได้ศึกษายันต์อาคมอักขระโบราณมาเช่นกัน จึงอ่านตัวอักษรที่อยู่กลางอากาศ
หลังจากเห็นแล้ว เขาก็หันมามองเยี่ยนจ้าวเกอ
ตัวตนที่ทิ้งตัวอักษรไว้คงจะเป็นวิญญาณตำหนักดวงนั้น คนที่มันเคียดแค้นราวกับอยู่ไกลสุดฟากฟ้า แต่ก็ใกล้ราวอยู่ตรงหน้า
เยี่ยนจ้าวเกอคล้ายนึกถึงอะไรออก
เป็นเพราะตนแย่งเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับไป ทำให้อีกฝ่ายไม่อาจลักพาคนได้อีก ดังนั้นจึงพูดว่าเตรียมตัวไม่พอ อาจจะทั้งสำเร็จและล้มเหลว
วิญญาณตำหนักดวงนี้ตอนแรกคงวางแผนค่อยเป็นค่อยไป เตรียมวิธีการอื่นไว้ รอจนเตรียมตัวพร้อม มั่นใจอย่างแท้จริงจึงค่อยลงมือ
แต่ว่าการเปิดเส้นทางที่เชื่อมมายังตำหนักโอสถของราชันพระพฤหัสบดีเซ่าจวินหวง และการปรากฏตัวของราชันพระอังคารสั่วหมิงจาง ทำให้วิญญาณตำหนักเกิดความรู้สึกอันตรายและความรู้สึกกระวนกระวายอันใหญ่หลวง ไม่อาจไม่เริ่มแผนการ ลองเสี่ยงอันตรายในสถานการณ์ที่เตรียมตัวไม่พร้อม
ดังนั้นมันจึงออกจากหอเซียนม่วง หวังว่าจะทำแผนการของตัวเองให้สำเร็จก่อนที่พวกเยี่ยนจ้าวเกอ หรือสั่วหมิงจางจะมาได้
ตราบใดที่ยังไม่ทราบว่าสั่วหมิงจางจะมาตอนไหน มันย่อมหวังให้การเคลื่อนไหวของตัวเองยิ่งเร็วยิ่งดี
เยี่ยนจ้าวเกอเก็บเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับ หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อยก็มาถึงด้านหน้าแท่นบูชาทางทิศใต้
คำพูดเมื่อครู่ ดูท่าทางเป็นสำนึกที่เหลือเอาไว้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่มันจะออกจากหอเซียนม่วง
ไม่ใช่ตั้งใจจะเหลือไว้ แต่เป็นเพราะสำนึกรุนแรงเกินไปจึงสลักอยู่ในหอคอย ตอนนี้ถูกเยี่ยนจ้าวเกอใช้เคล็ดวิชาคืนสภาพ
สำนึกนี้มีไม่ต่ำกว่าหนึ่ง ถ้าหากว่าสำนึกที่คืนสภาพออกมาจากแท่นบูชาตรงกลางเป็นประโยคสุดท้าย หรือก็คือประโยคที่ห้า เช่นนั้นแท่นบูชาทิศใต้สมควรเป็นประโยคแรก
หัวรองเก้าเท้าเหยียบหนึ่ง ซ้ายสามขวาเจ็ด สองสี่เป็นไหล่ หกแปดเป็นเท้า ห้าอยู่หว่างกลาง
แบบแผนของที่นี่มาจากจตุรัสลั่วซู ทิศใต้จึงเป็นประโยคแรก ทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นประโยคที่สอง ทิศตะวันตกเป็นประโยคที่สาม ทิศตะวันตกเฉียงเหนือเป็นประโยคที่สี่ ทิศกลางเป็นประโยคที่ห้า
เยี่ยนจ้าวเกอสีหน้าไร้อารมณ์ วางเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับลงบนแท่นบูชาทิศใต้
………………..