ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1259 ชายฉกรรจ์หัวกระทิง
ในตอนที่เยี่ยนจ้าวเกอวางเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับลงบนแท่นบูชาแท่นที่ห้า สำนึกที่เย็นเยียบสายนั้นก็ลอยขึ้นมาอีกครั้ง
ครู่ต่อมาสำนึกก็หายไป ส่วนดวงตาที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมเด็ดเดี่ยว หายไปในห้วงสมองของเยี่ยนจ้าวเกอเช่นกัน
หลังจากเฮ่อเหมี่ยนเห็นตัวอักษรที่แท่นชูชาห้าแท่นแสดงออกมา เขาปรับสภาพจิตใจเสร็จแล้วก็เอ่ยอย่างใคร่ครวญว่า “ตอนนี้มันกำลังสร้างร่างมนุษย์ให้กับตัวเอง มิหนำซ้ำมองไปรุดหน้ายิ่ง เกรงว่าใกล้จะสำเร็จแล้ว”
“มันเตรียมตัวไม่พอ รีบร้อนลงมือ ใช่ว่าจะสำเร็จง่ายขนาดนั้น” จักรพรรดิเมฆกวาดมองของประดับด้านในหอเซียนม่วงต่อ “ถ้ามันทำไม่สำเร็จ ยังคงมีความเป็นไปได้ที่จะกลับมายังหอเซียนม่วงนี้ เป็นผู้ปกครองของจักรวาลในตำหนักนี้ต่อ”
พอถึงเวลานั้น วิญญาณตำหนักไม่ต้องแบ่งสมาธิไปที่อื่น หันมาควบคุมทั่วทั้งตำหนักโอสถ เหล่าคนที่อยู่ในตำหนักในปัจจุบันก็แทบกล่าวได้ว่าเป็นแกะเดินเข้าปากเสือ
“ถ้าเป็นแบบนั้น ด้วยจำนวนคนในตอนนี้ ต่อให้รั้งอยู่ที่หอเซียนม่วงก็ขัดขวางมันไม่ได้” เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่
“เช่นนั้นต้องหามันให้เจอโดยเร็วที่สุด” จักรพรรดิเมฆกล่าวอย่างเฉื่อยชา “ตอนนี้อุตส่าห์เป็นเวลาที่มันอ่อนแอแล้ว”
หลังเจออีกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นการขัดขวาง เจรจา หรือว่ากำจัด ล้วนขึ้นอยู่กับสถานการณ์แล้ว
วิญญาณตำหนักไม่ดับสูญหรือไม่ถูกสยบ ต่อให้มีเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับอยู่ด้วย ทุกคนที่อยู่ในตอนนี้ต่างยากจะหลอมเปลี่ยนควบคุมตำหนักโอสถแห่งนี้
สำหรับยอดฝีมือประสบการณ์โชกโชนที่เคยผ่านมรสุม เห็นความเป็นความตายจนชาชินอย่างจักรพรรดิเมฆ ผลลัพธ์ในตอนท้ายที่ดีที่สุด ย่อมเป็นการกำจัดวิญญาณตำหนักนั้นได้ ไม่อย่างนั้นการอยู่ในจักรวาลตำหนักโอสถแห่งนี้ อีกฝ่ายจะมีความได้เปรียบเพราะการเป็นเจ้าภาพมากมายถึงขีดสุด
เรื่องราวเกี่ยวพันถึงตำหนักโอสถและผลประโยชน์ของมรกตท่องฟ้า พวกหลงเสวี่ยจี้หลังจากที่ได้รับทราบจากเยี่ยนตี๋ว่าราชันพระอังคารอาจจะเข้าร่วม ก็ไม่ได้ปิดข่าวนี้กับพวกจักรพรรดิเมฆ
พวกเยี่ยนจ้าวคาดคิดถึงเรื่องนี้ไว้แล้วจึงไม่ถือสา ไม่อย่างนั้นคงไม่ติดต่อกับมรกตท่องฟ้าแล้ว
ราชันพระอังคารเป็นชนชั้นใด จักรพรรดิสัญญะเมฆที่อยู่ในยุคสมัยเดียวกันเข้าใจดี แต่ว่าเงื่อนไขก็คือสั่วหมิงจางต้องมาที่นี่ทันเวลา ก่อนหน้านั้น ศัตรูที่ตรึงมือที่สุด อันดับแรกยังเป็นวิญญาณตำหนักโอสถ
“หามันให้เจอแล้วค่อยว่ากันเถอะ” เยี่ยนจ้าวเกอนวดนิ้วกับขมับของตัวเองเบาๆ “ไม่ได้อยู่ทางโกดังโอสถ ไม่ได้อยู่ที่หอเซียนม่วงซึ่งเป็นแกนหลัก สถานที่ที่เหลือซึ่งเหมาะให้มันดำเนินพิธีกรรมเหลือไม่มากแล้ว”
วิญญาณตำหนักออกจากตำหนักเซียนม่วง พลังควบคุมต่อตำหนักโอสถของมันอ่อนแอลง ไม่อาจทำอะไรได้ตามใจ แต่ไม่ใช่ทำอะไรไม่ได้เลย
ถ้ามันคิดเคลื่อนไหวในตำหนักตามใจ ก็จะถูกร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกที่อยู่ในแกนนำทางค้นพบทันที
มิหนำซ้ำเป็นเพราะว่ามีความพิเศษเกินไป ไม่เหมือนกับคนที่มาจากด้านนอก ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอกำหนดตำแหน่งของมันได้ทันทีเช่นกัน
มีเพียงสถานที่ที่ถูกเงามืดครอบคลุมอยู่ไม่กี่ที่เท่านั้น ที่แกนนำทางไม่อาจแยกแยะได้
สถานที่เช่นนี้ ปัจจุบันเหลือแค่สองความเป็นไปได้ ที่หนึ่งคือห้องยาหลัก ที่หนึ่งคือโกดังสมุนไพร
“เซียนผู้ถูกเนรเทศมีเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับในมือ รู้จักที่นี่มากกว่าพวกข้า พวกข้าขอให้เซียนผู้ถูกเนรเทศเป็นผู้นำ” จักรพรรดิเมฆยิ้มเล็กน้อย พูดด้วยตัวเอง
เยี่ยนจ้าวเกอมองเขา คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม กล่าวในใจ ‘ช่างหน้าด้านนัก’
แต่เขากลับไม่ได้ปฏิเสธ ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ การมีคนทั้งสองเป็นทัพทะลวงที่เอาไว้เบิกเส้นทางแทนตนถือเป็นเรื่องดี นี่นับว่าได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องราวก็ไม่อาจชักช้า พวกเราเดินทางเถอะ” เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า ออกจากหอเซียนม่วงก่อน
พอมาถึงด้านนอกเมฆดาราที่ละลานตา เยี่ยนจ้าวเกอก็แยกแยะเส้นทางใหม่ หลังจากชี้ทางแล้ว จักรพรรดิสัญญะเมฆก็ร่วมมือด้วย นำอยู่ด้านหน้าสุดโดยไม่กล่าวมากความอะไร
เป้าหมายต่อไปที่เยี่ยนจ้าวเกอเลือกเป็นอันดับแรกคือห้องยาหลัก
ในโกดังสมุนไพรสมควรยังมีวัตถุดิบล้ำค่า รวมถึงหญ้าวิญญาณและยาวิญญาณเก็บไว้มากพอ หากไม่ไปรื้อเสียหน่อยคงน่าเสียดายไปบ้าง
แต่ว่าเทียบกันแล้ว ห้องยาหลักมีความเป็นไปได้สูงกว่า เพราะที่นั่นเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการหลอมโอสถและพิธีกรรมหลอมเปลี่ยนทุกรูปแบบมากที่สุด
เรื่องที่สำคัญที่สุดในปัจจุบัน ยังเป็นการตามหาวิญญาณตำหนักโอสถดวงนั้นให้เจอโดยเร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นถ้าไม่ระวัง ปล่อยให้มันชิงโอกาส ต่อให้รื้อสิ่งของมามากมายก็เกรงว่าจะไม่มีชีวิตรอกออกจากตำหนักโอสถได้
นอกจากนี้แล้ว เยี่ยนจ้าวเกอยังรู้ผ่านทางร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกที่อยู่ในแกนนำทางว่าคนอื่นๆ ที่เคลื่อนไหวอยู่วงนอกก็เริ่มเข้าใกล้อาณาเขตใจกลางที่ถูกเงาแสงครอบคลุมอยู่แล้ว
ถึงขั้นที่ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปในอาณาเขตเงามืด หลุดออกจากการจับตาดูของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก
เมื่อมีคนเข้ามามาก สถานการณ์ก็จะยิ่งซับซ้อน ไม่ว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะทำอะไร ตัวแปรที่อาจจะได้เจอจะเพิ่มขึ้นไปด้วย
แต่ว่ากล่าวโดยสรุปก็คือได้มากกว่าเสีย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ยิ่งคนเข้ามาที่นี่มากเท่าไร วิญญาณตำหนักก็ยิ่งลำบาก สภาพลุกลี้ลุกลนเท่านั้น
ในการเคลื่อนไหวบนอาณาเขตเงามืด เยี่ยนจ้าวเกออาศัยภาพที่ได้เห็นในแกนนำทางเป็นหลัก จดจำตำแหน่งเส้นทางที่ถูกเงามืดครอบคลุม จากนั้นก็ใช้การนำทางของเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับเป็นรอง เจอโกดังโอสถและหอเซียนม่วงอย่างสะดวกโยธิน
ครั้งนี้เยี่ยนจ้าวเกอก็เจอห้องยาหลักอย่างราบรื่นเช่นกัน
กระนั้น ผลลัพธ์กลับล้มเหลว
เยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่ได้รู้สึกท้อถอยเพราะตัดสินผิดพลาด แต่เหมือนนึกอะไรออก “วิญญาณตำหนักดวงนี้เร่งรีบกว่าที่คาดไว้เสียอีก”
ดูท่าทาง หลังจากอีกฝ่านออกจากหอเซียนม่วงแล้ว ได้ไปเอาโอสถเซียนจำนวนมากจากในโกดังโอสถก่อน จากนั้นก็ไปเอาหญ้าวิญญาณยาวิญญาณในโกดังสมุนไพร ก่อนที่จะเริ่มจัดพิธีที่โกดังสมุนไพรทันทีโดยไม่มาที่ห้องยาหลัก
‘หมายความว่ามันไม่อาจออกจากหอเซียนม่วงได้นาน การออกจากที่นั่นสร้างภาระมากมายแก่มัน’ เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้รั้งอยู่นาน พาจักรพรรดิสัญญะเมฆสองศิษย์อาจารย์บ่ายหน้ามุ่งไปยังโกดังสมุนไพรทันที
เพียงแต่รอเขาเพิ่งจะออกจากห้องยาหลัก ในจักรวาลอันมืดมิดตรงหน้าพลันมีแสงหลายสายสว่างขึ้น
แสงสว่างนั้นเข้าใกล้ตรงหน้า เผยรูปร่างลักษณะ ประจัญหน้ากับพวกเยี่ยนจ้าวเกอ
ต่างฝ่ายต่างมองกัน งุนงงงเล็กน้อย จากนั้นก็ได้สติอย่างรวดเร็ว
เยี่ยนจ้าวเกอ จักรพรรดิสัญญะเมฆ รวมถึงเฮ่อเหมี่ยนต่างตาเป็นประกาย
ตรงหน้าพวกเขาปรากฏเงาร่างสี่สาย บุรุษสองสตรีสอง
สตรีสองคนไม่มีอะไรพิเศษ รูปร่างอ้อนแอ้น งดงามน่าลุ่มหลง ต่างเป็นโฉมสะคราญหายาก อ่อนช้อยนุ่มนวลเหมือนกับน้ำในวสันตฤดู
ส่วนบุรุษสองคนด้านข้างพวกนางรูปร่างหน้าตาต่างโดดเด่น ศีรษะสวมหมวกเกราะสีทอง ใส่เสื้อเกราะสำริด สวมรองเท้าหนังเก้ง เอวมัดสายรัดหัวสิงโตสามเส้น รูปร่างสูงใหญ่สุดขีด ไม่ว่ายืนตรงไหนต่างเหมือนกับหอคอยขนาดเล็กๆ สองหอ
เมื่อมองดูใบหน้า ทั้งคู่มีดวงตาเหมือนกระดิ่งทองแดง คิ้วสีชาดสองเส้น ปากเหมือนอ่างเลือด ฟันเรียงกันเหมือนแผ่นสำริด
ไม่ว่าดูอย่างไรก็เป็นปีศาจกระทิงสองตนเปลี่ยนเป็นคนที่สวมชุดของมนุษย์ แต่บนร่างเหลือลักษณะพิเศษของกระทิงเอาไว้ ปราณปีศาจกับกลิ่นคาวเลือดบนร่างของพวกเขา สุดที่วัวเคี้ยวเอื้องทั่วไปจะเปรียบเทียบได้
เมื่อมีชายฉกรรจ์หัวกระทิงทั้งสองนี้อยู่ด้วย สตรีสองนางด้านข้างก็ยิ่งเล็กจิ๋วกว่าเดิม แต่พวกนางไม่ได้เผยการเปลี่ยนแปลงของร่องรอยแม้แต่น้อย ตอนนี้พวกเยี่ยนจ้าวเกอต่างเพ่งสมาธิ สำรวจอย่างละเอียด สัมผัสได้ว่ามีปราณปีศาจไหลออกมาลางๆ ต่างไปจากมนุษย์ทั่วไป
………………..