ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1265 สบคบคิด
พอฟังข่าวของปีศาจกวางขาว กษัตริย์อนันต์ก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่จากนั้นเขาก็ใจเย็นลง “ปีศาจเฒ่าตนนี้ยังไม่โผล่มา ถ้าหากเขาสอดมือจริงๆ พวกเรายิ่งต้องเร่งความเร็ว จัดการปัญหาก่อนที่เขาจะปรากฏตัว”
กษัตริย์อนันต์จางปู้ซวีเปลี่ยนเรื่อง พูดกับวิญญาณตำหนักโอสถ “ในเมื่อท่านมีสติปัญญา เกรงว่าจะรู้จักกวางขาวพาหนะของเทพโซ่วซิงดีกว่าพวกเรา ปีศาจตนนั้นในเมื่อไม่ได้ตายในวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ปัจจุบันผ่านไปหลายปี เกรงว่าการบำเพ็ญเพียรจะลึกล้ำน่ากลัวกว่าเดิม สถานการณ์ในตอนนี้ของท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ มิสู้มาร่วมมือกับพวกเรา รับมือปีศาจตนนั้นเป็นเรื่องหลักก่อน”
วิญญาณตำหนักเอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้าสำนวนนัก”
ขณะที่พูด ความว่างเปล่าไกลออกไปก็พลันเกิดการสั่นสะเทือน มีคนเข้าใกล้ที่นี่อีกครั้ง
ผู้มามีสองคน คนแรกเป็นคนหนุ่มสวมอาภรณ์ขาวมงกุฎหยก เป็นหลงเสวี่ยจี้กระบี่น้อยที่ไม่ได้พบกันมานาน อีกคนกลับเป็นเยี่ยนตี๋ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอ
เป็นที่เห็นได้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาพบเจอกันโดยบังเอิญตอนกำลังคลำทางในจักรวาลในตำหนัก จากนั้นก็ร่วมทางกันมาถึงที่นี่
พวกเยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้นก็เข้าไปรับ ครั้นทักทายกันแล้วจึงแลกเปลี่ยนข่าวสารที่มีอยู่
เยี่ยนตี๋กับหลงเสวี่ยจี้รู้สึกประหลาดใจกับสถานการณ์ในตอนนี้อยู่บ้าง วิญญาณตำหนักมีสติปัญญาเป็นของตัวเองเป็นเรื่องหนึ่ง ยอดฝีมือผู้นำเผ่าปีศาจมีพลังแข็งแกร่งเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“ในเมื่อเกลี้ยกล่อมวิญญาณตำหนักนั่นไม่ได้ มิสู้ฉวยโอกาสขณะมันแบ่งสมาธิมาผลักดันพิธีกรรม รีบเผด็จศึก จัดการมันทิ้งก่อน” หลงเสวี่ยจี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา “ถึงเวลาอาศัยความได้เปรียบด้านชัยภูมิของตำหนักโอสถ ทดลองต่อสู้กับกวางขาวตนนั้น”
จักรพรรดิเมฆว่า “ข้ามีความคิดเหมือนกัน เพียงแต่ว่าประการแรกไม่อาจจัดการได้ในระยะเวลาอันสั้น อาจถูกเผ่าปีศาจปิดทางถอย ประการที่สองถ้าหากเผ่าปีสาจสมคบกับวิญญาณตำหนักโอสถนี้แล้ว พวกเราตอนนี้เกรงว่าจะอยู่ในสถานการณ์อันตราย”
“สมมติว่าพวกเขาร่วมมือกันจริงๆ พวกเราอยู่ในตำหนักโอสถแห่งนี้ คิดไปก็ไม่ทันกาล มิสู้ทุบหม้อข้าวจมเรือ รวมกำลังโจมตีเป้าหมายเดียวก่อน” หลงเสวี่ยจี้ว่า
เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยอย่างใคร่ครวญ “ไม่ใช่ไม่อาจลองดู”
เขาสามารถทราบผ่านการสังเกตของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกทางแกนนำทางได้ ว่าผู้มาจากภายนอกที่เข้าสู่ตำหนักโอสถตอนนี้ล้วนเข้าไปในอาณาเขตที่เงามืดครอบคลุมแล้ว
นอกจากเยี่ยนตี๋ที่รวมตัวกับตนแล้ว เนี่ยจิงเสิน อวี่เยี่ย ทวนพระอังคารคงจะอยู่ห่างที่นี่ไม่ไกล
จากระยะห่างในตอนนี้ การเล็งเป้าหมายที่วิญญาณตำหนักเทียนซู ใช่ว่าจะไม่มีวิธีการอะไรเลย
กวางขาวตนนั้นจึงเป็นปัญหาที่แท้จริง
หลงเสวี่ยจี้ไม่กล่าวมากความ กลายร่างเป็นประกายกระบี่ พุ่งไปยังที่ที่กษัตริย์อนันต์จางปู้ซวีต่อสู้กับคนที่อยู่ห่างออกไป
จักรพรรดิสัญญะเมฆก็เคลื่อนไหวอย่างเดียวกัน
วิญญาณตำหนักโอสถมีพลังแข็งแกร่งถึงขีดสุด แต่ว่าก่อนที่จะเกิดใหม่ในร่างมนุษย์ ระดับเหตุผลยังเลอะเลือน ยากจะใช้การแบ่งระดับพลังฝึกปรือของจอมยุทธ์มากำหนด การโจมตีของจักรพรรดิเซียนจริงแท้สองคนก่อให้เกิดการคุกคามต่อมันได้
คลื่นหลงเหลือจากการต่อสู้ของกษัตริย์อนันต์และมัน เป็นอันตรายอย่างหนึ่งต่อจอมยุทธ์มนุษย์ที่ยังไม่ได้ผลักเปิดประตู
ดังนั้นเยี่ยนจ้าวเกอ เยี่ยนตี๋ เฮ่อเหมี่ยนจึงหยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหว ทำให้พวกกษัตริย์อนันต์ชิงลงมือได้ก่อนโดยไร้ข้อกริ่งเกรง จากนั้นก็พิจารณาผลที่ตามมา
ในขณะเดียวกัน พวกเขาสามคนแผ่ขยายจิตใจออกไปรอบๆ ระแวดระวังการเคลื่อนไหวทั่งบริเวณ
อีกด้านหนึ่ง ผู้ที่เป็นคนโจมตีหลักยังคงเป็นจางปู้ซวี แต่หลังจากหลงเสวี่ยจี้กับจักรพรรดิสัญญะเมฆเข้าร่วม แรงกดดันของวิญญาณตำหนักก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ถึงอย่างไรสองคนนี้ก็ไม่อาจใช้เซียนจริงแท้ในนิยามทั่วไปมาหยั่งคาดได้
เยี่ยนจ้าวเกอทางหนึ่งสำรวจสถานการณ์รอบๆ ทางหนึ่งสัมผัสกับสถานการณ์ของวิญญาณตำหนักโอสถ
พิธีกรรมเริ่มแล้ว
ในสถานการณ์แบบนี้ วิญญาณตำหนักกลับประสบการกลุ้มรุมจากพวกหลงเสวี่ยจี้ ความเป็นไปได้ที่พิธีกรรมจะล้มเหลวมีมาก
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มันกลับทนต่อ ต้องการจะทำอะไรกันแน่
ขณะใคร่ครวญ เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกไม่ถูกต้อง
สองฝ่ายสู้กันอย่างดุเดือด ในมิติจักรวาลที่มืดมิดซึ่งโกดังสมุนไพรอยู่ไกลออกไปพลันเกิดแสงสีอันน่าตระหนกระเบิดขึ้น เหมือนกับดวงอาทิตย์โชติช่วงลอยขึ้นโดยอยู่ห่างจากพวกเยี่ยนจ้าวเกอเพียงแค่คืบ
ด้านนอกแสงสว่างมีเงาสีดำสามสายวนเวียนเหาะเหิน เหมือนกับจุดดำบนดวงอาทิตย์
นั่นย่อมเป็นพวกหลงเสวี่ยจี้สามคน
นอกจากหลงเสวี่ยจี้กับจักรพรรดิสัญญะเมฆที่คุ้นเคยแล้ว ยังมีบุรุษวัยกลางคนที่มีใบหน้างามสง่าหล่อเหลาผู้หนึ่ง
บุรุษวัยกลางคนผู้นี้นั่งขัดสมาธิกลางความว่างเปล่า วางพิณหยกคันหนึ่งบนตัก สายพิณสั่นไหว ปราณกระบี่ไร้รูปร่างสายแล้วสายเล่าบินเวียนว่อนกลางฟ้าดิน ฟันใส่ดวงอาทิตย์โชติช่วงนั้น
เป็นกระบี่เจ็ดสายแห่งสายเหนือพิสุทธิ์ที่สั่นสะท้านโลกของจางปู้ซวี
ขณะนี้ เขารับหน้าที่จู่โจมหลัก หลงเสวี่ยจี้กับจักรพรรดิสัญญะเมฆคอยชั่วเหลืออยู่ด้านข้าง
ผู้ฝึกกระบี่สายเหนือพิสุทธิ์สามคนตอนนี้พัดกระพือสภาวะโจมตีผลักภูเขาถมทะเล ดุร้ายเกรี้ยวกราด ทำลายฟ้าดิน เจตจำนงกระบี่น่าสะพรึงยิ่งใหญ่เปลี่ยนมิติจักรวาลบริเวณนี้เป็นแดนมฤตยู
ประกายแสงจากดวงอาทิตย์โชตช่วงเรืองรอง บัดเดี๋ยวสว่างบัดเดี๋ยวความมืด
ในแสงสว่างปรากฏเงาคนสายหนึ่ง มีกลิ่นหอมส่งมาเป็นระลอก กลิ่นหอมไม่ได้ฉุนจมูก แต่ว่าคงอยู่ชั่วกาลนาน ไม่สลายหายไปไหน
ต่อให้ทั้งสองฝ่ายจะสู้จนอากาศเกิดช่องโหว่ จักรวาลเกิดบาดแผล กลิ่นหอมก็ยังคงลอยออกมา ทำให้ผู้คนมัวเมา
‘ใช้โอสถเซียนกับหญ้าวิญญาณที่เก็บอยู่ในโกดังสมุนไพร และวัตถุดิบล้ำเลิศปริมาณมหาศาลมาสร้างร่างกายจริงๆ ด้วย’ เยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้นก็มั่นใจ ทว่าเขาตาเป็นประกายอยู่บ้าง ‘เพียงแต่ดูเหมือนมีตรงไหนไม่ถูกต้อง…’
ขณะไตร่ตรองอยู่ เยี่ยนจ้าวเกอพลันรู้สึกได้ว่าสำนึกที่น่ากลัวถึงขีดสุดสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศที่อยู่ใกล้ๆ ไม่ได้ส่งมาจากที่ไกล จากนั้นเข้ามาด้วยความเร็วสูง เหมือนกับผุดออกมาจากที่เดิม อยู่ใกล้ๆ มาโดยตลอด แต่กลับไร้วี่แวว
สำนึกที่น่ากลัวนั้นแทบทำให้คนทั้งหมดมีความรู้สึกชาไปทั่วตัว จิตใจสั่นกลัว
นอกจากกษัตริย์อนันต์จางปู้ซวีที่มีสถานการณ์ดีเล็กน้อย คนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นหลงเสวี่ยจี้ จักรพรรดิสัญญะเมฆที่กำลังลงมืออยู่ หรือว่าพวกเยี่ยนจ้าวเกอที่ชมดูอยู่ด้านข้าง รู้สึกว่าตัวเองได้รับแรงกดดัน เหมือนกับขยับเขยื้อนไม่ได้
ทุกคนรู้สึกได้ พลันเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน
เห็นกลางอากาศยืนไว้ด้วยชายชราผู้หนึ่ง มัดผ้าโพกหัวสีเหลือง สวมเสื้อขนห่าน ใบหน้าดุจหยกกวน เคราพัดพลิ้ว เขาถือไม้เท้าหัวมังกรซึ่งมีเถาไม้แห้งเก้าเส้นมัดอยู่รอบๆ ท่อนหนึ่ง กำลังยิ้มกริ่มพร้อมมามายังทุกคน
“คนที่ผลักเปิดประตูเซียนอยู่นี่กันพอประมาณแล้วกระมัง” ชายชราถามอย่างผ่อนคลาย
วิญญาณตำหนักโอสถกล่าวอย่างเย็นเยียบ “ถูกต้อง นอกจากอาวุธเซียนไร้ช่องโหว่ที่เคลื่อนไหวอยู่ด้านนอกแล้ว คนที่ได้ผลักเปิดประตูเซียนล้วนอยู่ที่นี่”
ชายชราฝืนยิ้มพลางสั่นศีรษะ “น้อยกว่าที่ข้าคิดไว้”
เยี่ยนจ้าวเกอพิจารณาชายชราผู้นั้นอย่างละเอียด ภาพที่อยู่ในส่วนลึกความทรงจำลอยขึ้นในสมอง
อีกฝ่ายเป็นกวางขาวพาหนะของเทพโซ่วซิง!
ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ กวางขาวตนนี้เคยเข้ามาในหอเก็บหนังสือของวังเทพพร้อมกับเทพโซ่วซิง ถึงตอนนั้นจะเป็นมาในร่างเดิมของกวางขาว แต่ก็เคยกลายร่างเป็นคนอยู่ช่วงสั้นๆ ศึกษาวิชาลับแขนงหนึ่งในหอเห็บหนังสือภายใต้การชี้แนะของเทพโซ่วซิง เยี่ยนจ้าวเกอจึงจำอีกฝ่ายได้เพียงมองแค่แวบเดียว
พวกเยี่ยนตี๋กับจักรพรรดิสัญญะเมฆทายสถานะของชายชราผู้นี้ออก ตามภาพลักษณ์ในบันทึกคัมภีร์โบราณและเรื่องเล่าของคนทั่วไป
สมาธิของทุกคนในตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่ไม้เท้ามังกรท่อนนั้น ไม่ใช่เพราะไม้เท้าไม่สะดุดตา แต่เป็นเพราะว่ากวางขาวตนนี้ได้ทำให้ทุกคนหนาวเหน็บไปทั่วร่าง
กษัตริย์อนันต์จางปู้ซวีขมวดคิ้ว มองปีศาจกวางขาว ริมฝีปากสั่นไหว “จ้าวสวรรค์…”
………………..