ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1272 ควบคุมตำหนักโอสถ
พอฟังวาจาของวิญญาณตำหนัก ทุกคนต่างก็งงงัน
เยว่เจิ้นเป่ย จางปู้ซวี เนี่ยจิงเสิน อวี่เยี่ย บวกกับทวนพระอังคาร สีหน้าฉายแววตื่นตระหนก
แม้แต่เฉินเฉียนหัวที่ไม่สนใจเรื่องส่วนใหญ่ในใต้หล้า ก็ยังมองมาด้วยความสนใจ
คัมภีร์เกิดนภาของเขาสามารถมองดูอดีต เรื่องราวส่วนใหญ่เหมือนกับอยู่ใต้หนังตา
ทว่าเป็นเพราะระดับพลังฝึกปรือในปัจจุบันของเขา ยังคงมีขีดจำกัด
เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับวังเทพในอดีต สำหรับเฉินเฉียนหัวแล้ว เต็มไปด้วยความลับ ทำให้เขารู้สึกสนใจ
ทว่าคนที่ได้รับการสั่นสะเทือนมากที่สุดท่ามกลางคนทุกคน เป็นเยี่ยนจ้าวเกออย่างไม่ต้องสงสัย!
พอได้ยินคำกล่าวของเทียนซูตำหนักโอสถ เยี่ยนจ้าวเกอม่านตาก็หดตัว
ครั้งกระโน้นตอนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่มาถึง วังเทพได้ล่มสลายไปก่อน ตอนนั้นตนในฐานะหอเก็บหนังสือวังเทพก็ประสบคราเคราะห์ไปด้วย ถือเป็นหนึ่งในเรื่องที่เยี่ยนจ้าวเกอสงสัยมากที่สุดมาโดยตลอด
เขาในตอนนั้น จิตใจจมดิ่งอยู่ในมหาสมุทรเคล็ดวิชามรรคายุทธ์มากมาย รอจนเขารู้สึกตัว ฉากที่ปรากฏในสายตา ก็เป็นฝ่ามือที่เหมือนกับพลิกคว่ำฟ้าดินได้ข้างนั้นแล้ว
ฝ่ามือนั้นตบลง วิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ก็เหมือนกับตามมา
โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่บัดนั้น
ถึงแม่เรื่องราวจะเกิดกะทันหันเกินไป ทำให้ตนตั้งตัวไม่ทันอยู่บ้าง ทว่าหลายปีมานี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็ได้นำเรื่องราวที่ตนจำได้ในตอนที่เกิดเรื่องขึ้นเมื่อครั้งนั้น มาทบทวนซ้ำไปซ้ำมาหลารอบแล้ว
ฝ่ามือที่เป็นสัญลักษณ์ของจุดจบแห่งมหาจักรวาลในตอนนั้น ฝ่ามือที่ฟาดใส่วังเทพในตอนนั้น มีความเป็นไปได้อยู่เก้าในสิบส่วน ว่าจะเป็นฝีมือของยอดฝีมือที่มีอำนาจแห่งศาสนาพุทธ
เยี่ยนจ้าวเกอมั่นใจว่า ตัวเองไม่มีทางจำผิด
นี่คล้ายกับแตกต่างกับคำพูดของวิญญาณตำหนักโอสถในตอนนี้
หากแต่เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกว่า ตอนนี้เทียนซูตำหนักโอสถไม่ได้มีความตั้งใจจุยั่วยุและแต่งเรื่องขึ้น
มันเหมือนกับโพล่งออกมาเพราะความสิ้นหวังเดือดดาลชั่วขณะมากกว่า
หรือจะบอกว่า มันไม่อยากเห็นเยี่ยนจ้าวเกอได้ใจ
ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ถึงวิญญาณตำหนักจะไม่ได้มีสติปัญญาเป็นของตัวเอง แต่ว่าเรื่องที่เคยเกิดขึ้นรอบๆ ตัวมัน ก็อาจจะเหลือร่องรอยความทรงจำคล้ายๆ กันไว้
ปัจจุบันวิญญาณตำหนักมีสติปัญญาเป็นของตัวเอง ไม่ได้มีแค่การตระหนักรู้แต่ไร้ความรู้สึกอีก ร่องรอยเหล่านี้ก็กลายเป็นความทรงจำของมัน
ความทรงจำของสองฝ่ายต่างเป็นจริง กลับขัดแย้งแย้งกัน ไม่แน่ว่าจะมีฝั่งไหนผิด และอาจจะเป็นเพราะในความรู้และความทรงจำของสองฝ่าย อาจปรากฏการผกผันและอคติบางอย่าง หรือกล่าวได้ว่าพวกเขาต่างกำลังเหมือนคนตาบอดลูบคลำช้าง ได้สัมผัสแค่ส่วนหนึ่งของความจริงเท่านั้น
“ท่านไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเรื่องจริง กุเรื่องขึ้น อาศัยเรื่องนี้มากดพวกเราแล้วยกตัวท่านสูง” เยี่ยนจ้าวเกอแสร้งวางตัวปกติ กระตุ้นเทียนซูวิญญาณตำหนัก “ท่านก็แค่เพิ่งมีสติปัญญา ทุกอย่างแค่เลียนแบบพวกข้า กลับเป็นหัวมังกุท้ายมังกร กล่าววาจาเหล่านี้รังแต่จะน่าหัวเราะกว่าเดิม”
“ในสายตาของพวกเรา ท่านก็แค่วานรได้แก้ว อืม จริงด้วย ท่านทราบหรือไม่ว่าวานรได้แก้วคืออะไร?”
วิญญาณตำหนักสูญเสียรูปร่างจริงแท้ไปแล้ว เสียงเหมือนกับดังมาจากทั่วทุกทิศทุกทางในจักรวาลในตำนัก แต่ความจริงกลับถูกจับไว้ในค่ายกลที่พวกเยี่ยนจ้าวเกอวางขึ้น
มันหัวเราะด้วยความเดือดดาล “เรื่องที่เกิดในตำหนักฟ้าฟื้นของข้า ข้าจะไม่เข้าใจหรือ”
เยี่ยนจ้าวเกอพอฟัง คล้ายนึกออกทันใด ครุ่นคิดในใจ ‘มิน่าข้าที่อยู่ในหอเก็บหนังสือวังเทพจึงไม่ทราบแม้แต่น้อย…’
พริบตานั้นความคิดมากมายแวบผ่านห้วงสมองของเขา สัมผัสได้อย่างเลือนรางว่า เรื่องราวแต่ละเรื่องตอนนี้คล้ายมีเส้นเส้นหนึ่งเชื่อมพวกมันไว้ด้วยกัน เหมือนกับสร้อยไข่มุกที่ตอนแรกขาดสะบั้น
กระนั้น ต่อหน้าคนมากมาย คิดจะหลอกเอาข้อมูลจากปากเทียนซูวิญญาณตำหนักนั้นออกมามากกว่านี้ กลับลำบากไปบ้าง
เยี่ยนจ้าวเกอสายตาเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น รวบรวมสมาธิ จัดการเรื่องราวตรงหน้าก่อน
เมื่อมีเย่วเจิ้นเป่ยคอยขวางจางปู้ซวีอยู่ด้านข้าง หลงเสวี่ยจี้ยังทำให้เฉินเฉียนหัวยากจะข้ามผ่านเขตแดน พวกเยี่ยนจ้าวเกอก็วางใจโดยสมบูณณ์ สามารถเพ่งสมาธิรับมือกับเทียนซูวิญญาณตำหนักได้
เทียนซูตวาดขึ้นอย่างไม่ยินยอม “ข้าจะไม่ให้พวกเจ้าได้โถงตำหนักของข้าไปเป็นอันขาด!”
ตอนนี้ตำหนักโอสถทั้งตำหนักเหมือนกับกำลังสั่นไหว
ทว่าควันสายนั้นถูกสะกดไว้ กลับยากจะทำอะไรได้มากกว่านี้
เยี่ยนจ้าวเกอสองมือเปลี่ยนแปลงมุทราติดต่อกัน ผลักตราอาคมอันแล้วอันเล่าเข้าไปในควันสายนั้น
เยี่ยนตี๋ เนี่ยจิงเสิน อวี่เยี่ย ทวนพระอังคารต่างก็เลียนแบบท่าทางของเยี่ยนจ้าวเกอ เปลี่ยนแปลงมุทราตามวิชาที่เขาได้บอกไว้ก่อนหน้า หลอมเคล็ดวิชามากมายเข้าไปในควัน
ควันแผ่ออก ค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนแปลงควันเมฆเป็นลำแสงระยิบระยับ
อักขระซับซ้อนยากทำความเข้าใจตอนหนึ่งเริ่มปรากฏขึ้นในลำแสง
ด้านในค่ายกลทั้งคล้ายอบอวลด้วยเมฆและแสงอัสดง ราวกับแดนเซียน
พร้อมกับที่พลังของค่ายกลเคลื่อนไหวไม่หยุด ค่อยๆ พุ่งสู่ระดับสูงสุด อักขระในลำแสงยิ่งมายิ่งชัดเจน
เสียงของเทียนซูวิญญาณตำหนักดังขึ้นอีกครั้ง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ตกตายร่วมกันเถอะ”
การเอ่ยปากในครั้งนี้ เสียงไม่แฝงความโกรธแค้นอีกต่อไป แต่เย็นชาอย่างไม่เคยมีมาก่อน ความเด็ดขาดที่อยู่ด้านในทำให้คนเย็นเยียบไปถึงขั้วหัวใจ วิญญาณราวกับถูกแช่แข็งไปด้วย
อักขระในลำแสงเริ่มส่ายไหว เหมือนกับข้อความบนข้อความบนผ้าแพรผืนหนึ่งกำลังฉีกขาด
จักรวาลในตำหนักอันใหญ่โต เริ่มสั่นสะเทือนจากหอเซียนม่วงอันเป็นจุดกึ่งกลาง คล้ายกับกำลังพังทลายจากด้านในออกสู่ด้านนอก
ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
อยู่ในตำหนักแห่งนี้ ถ้าหากว่าตำหนักพังทลายโดยสมบูรณ์ นอกจากคนสองสามคนอย่างเช่นพวกราชันพระอังคารสั่วหมิงจาง คนอื่นๆ เกรงว่าจะต้องฝังกระดูกที่นี่จริงๆ
เยี่ยนจ้าวเกอใบหน้าไม่เปลี่ยนสี สายหน้าเล็กน้อย
เตาทองคำม่วงเมหาลี้ลับปรากฏ เยี่ยนจ้าวเกอกดฝ่ามือลง ใช้เตาวิเศษขนาดยักษ์สะกดไว้บนอักขระลำแสง
จากนั้นอักขระหลายสายก็เริ่มสลักลงบนเตาโอสถ
แสงสว่างนับไม่ถ้วนสาดออกไปทั่วสี่ทิศแปดทางโดยมีเตาโอสถและอักขระเป็นศูนย์กลาง ออกจากค่ายกล เหยียดยื่นไปยังจักรวาลด้านในตำหนัก มองเห็นได้ทุกที่
พอได้รับผลกระทบนี้ ความว่างเปล่าในจักรวาลที่อยู่นอกค่ายกลต่างก็เปลี่ยนเป็นสับสนเหลือประมาณ
แม้แต่เยว่เจิ้นเป่ย จางปู้ซวี่ หลงเสวี่ยจี้ เฉินเฉียนหัวที่กำลังสู้อยู่ ก็ตั้งหลักไม่ได้ หายไปในความว่างเปล่ากลางจักรวาล
ถ้าหากว่ามองไปด้านนอกตำหนักใหญ่ จะเห็นตำหนักสีดำตอนนี้ค่อยๆ ลดสีทดำ เริ่มกลับคืนสู่สภาพเดิมที่เหมือนกับหยกขาว สาดแสงสีทองระยิบระยับ ควันสีม่วงปรากฏ!
ประตูตำหนักเปิดออกอย่างสะเทือนเลือนลั่น จากนั้นกระแสควันหลายสายก็ทะลักออกมาจากดานใน
พร้อมกับกระแสควันที่พุ่งออกมาเหล่านี้ ยังมีเงาร่างหลายสาย บ้างติดตามบ้างหลบหนี เหาะเหินออกมากจากด้านใน จากนั้นก็หายไปในความว่างเปล่านอกเขตแดนไร้สิ้นสุดที่แท้จริงนอกตำหนัก
จักรวาลในตำหนักที่ปั่นป่วนของตำหนักใหญ่ มีเพียงค่ายกลที่พวกเยี่ยนจ้าวเกอห้าคนวางไว้ ยังคงเสถียรอยู่
เสียงไม่ยินยอมและค่อยๆ ออกห่างไปของเทียนซูวิญญาณตำหนักดังมาจากค่ายกล จนกระทั่งขาดสะบั้นไป
เยี่ยนจ้าวเกอสูดหายใจลึกคำหนึ่ง ก้าวเท้าออกมาถึงตรงหน้าเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับ ผลักสองมือออกไปด้านหน้าพร้อมกัน ใช้นิ้วแตะกลางหน้าผากของตัวเอง มืออีกข้างกดลงบนเตา
อักขระอันลี้ลับที่สลักบนเตาวิเศษส่องแสงราวกับมีชีวิตขึ้นมา ไหลผ่านฝ่ามือของเยี่ยนจ้าวเกอไปถึงหว่างคิ้วเหมือนกับกระแสน้ำ จากนั้นก็หายไปไร่ร่องรอย
“ฮ่า!” เยี่ยนจ้าวเกอตวาดเสียงเบา ค่ายกลที่คนทั้งห้าอยู่สองแสงแวบหนึ่ง
ทว่าหลังจากเหตุการณ์ตรงหน้าสงบลงอีกครั้ง ทุกคนเพ่งตามองไป กลับอยู่ในหอเซียนม่วงอันเป็นแกนกลางของตำหนักโอสถแล้ว!
พวกเยี่ยนตี๋สบตากัน ต่างผ่อนลมหายใจ ทราบว่านี่หมายถึงอะไร
เยี่ยนจ้าวเกอควบคุมตำหนักใหญ่แห่งนี้สำเร็จเป็นขั้นแรกแล้ว!
………………..