ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1327 คลื่นลมแห่งยุคสมัย
“เรื่องเดียวแก้ไขข้อสงสัยไม่น้อย?” หลิงชิงมองเกาหาน
เกาหานยิ้ม “เรื่องที่ข้าไม่ทราบมีเป็นภูเขาเลากา มีข้อสงสัยในไม่น้อยไม่ใช่ว่าปกติหรอกหรือ?”
หลิงชิงมองเขาแวบหนึ่ง เพียงแค่ส่ายหน้า กลับไม่พูดอะไรอีก ถึงก่อนหน้าจะประหลาดใจอยู่บ้าง แต่เหมือนไม่ได้มีความสนใจนัก
“ใต้เท้าอายุวัฒนาหนาจี๋ มีความคิดติดต่อกับพวกเยี่ยนจ้าวเกอและสหายร่วมเส้นทางเฉินหรือ?” นางถามขึ้น
ความคิดที่มีต่อเส้นทางนอกรีตของพวกเยี่ยนจ้าวเกอ เห็นได้ชัดว่าแตกต่างกับพวกราชันพระเสาร์เจี่ยงเซิ่นและจักรพรรดิโกวเฉิน
เยี่ยนซิงถางปู่ของเยี่ยนจ้าวเกอ กับเซ่าจวินหวงบูรพาจารย์ของเสวี่ยชูฉิงผู้เป็นมารดาของเขา ต่างเป็นคนที่เอนเอียงไปทางจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋
สำหรบเส้นทางนอกรีต โดยเฉพาะกับโถงเซียน เยี่ยนจ้าเกอเป็นคนที่พวกเขาต้องการกำจัดทิ้งให้เร็วที่สุดเช่นกัน
ถึงเมื่อครู่เกาหานกับหลิงชิงจะได้ต่อสู้กับพวกเยี่ยนจ้าวเกอในจักรวาลสำนักเต๋า เพราะปัญหาบนโลกซ้อนโลก แต่ว่านั่นถือเป็นความขัดแย้งที่ต่างฝ่ายต่างมีแผนการและมีความต้องการของตัวเอง
เป็นการแย่งชิงผลประโยชน์ในระดับหนึ่ง
แต่ว่าในทิศทางใหญ่ของบนเส้นทาง สองฝ่ายไม่มีความขัดแย้งกัน
ในการต่อสู้เมื่อครู่นี้ สุดท้ายพวกเยี่ยนจ้าวเกอเป็นฝ่ายชนะ ไม่ได้เสียท่า สมควรไม่คิดเล็กคิดน้อย
เทียบกันแล้วกลับเป็นหยางเซ่อร่างแยกของเกาหาน ได้วางแผนเล่นงานเฉินเสวียนจง ทิ้งรอยแตกร้าวที่ชัดเจนไว้บนความสมพันธ์ของสองฝ่าย
“รอพวกเขาโผล่มาครั้งหน้าแล้ว” เกาหานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ล่องลอยอยู่ในความว่างเปล่าไร้สิ้นสุดนอกเขตแดน ร่องรอยก็มีจำกัด ตามหายากเกินไป”
หลิงชิงเอ่ย “ยังไม่พูดถึงสหายร่วมเส้นทางสั่ว สหายร่วมเส้นทางเฉินมีความเห็นต่อท่านอย่างไร เพราะเรื่องในครั้งนี้ ภาพประทับใจที่พวกเขามีต่อท่านเกรงว่าไม่มีดีอันใด การดำรงอยู่ของท่านกลับอาจทำให้พวกเขาเกิดความสงสัย”
เกาหานเหมือนไม่มีเรื่องใด “ข้าทำไมแล้ว?”
“คำพูดนี้ท่านสมควรไปถามพี่ร่วมเส้นทางเจี่ยง” หลิงชิงตอบอย่างเฉื่อยชา “สหายร่วมเส้นทางเฉินน่าจะให้คำตอบท่านได้เช่นกัน”
เกาหานสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน “ถ้าเป็นทางสหายร่วมเส้นทางเฉิน เรื่องราวอยู่เหนือความคาดหมายของข้าเล็กน้อย ดังนั้นหลังจากเกิดเรื่องข้าจึงตั้งใจตามหาสหายน้อยฉู่กับสหายน้อยเซี่ย ลองดูว่าจะได้ประโยชน์อะไรหรือไม่”
เขาก้มหน้าหัวเราะขึ้น “ยิ่งไปกว่านั้น เซียนผู้ถูกเนรเทศตระกูลเยี่ยนนั้นก็เจ้าเล่ห์ยิ่ง ระหว่างข้ากับเขาเป็นผู้ใดเอาหนังจากเสือ ยังบอกไม่ถูก”
หลิงชิงไม่ปฏิเสธไม่ตอบรับ ก้มหน้ามองเกานหาน
“ดูจากท่าทางของท่าน ข้าจะส่งท่านไปรักษาอาการบาดเจ็บก่อน” นางกล่าวอย่างราบเรียบ “ครั้งนี้สหายร่วมเส้นทางสั่วอาละวาดใหญ่โต ทางพุทธปลอมต่อให้คิดเปิดสงครามโจมตีโถงเซียนอีกครั้ง ก็เกรงว่าจะจงใจชะลอเวลาเล็กน้อย ให้เต๋าปลอมมีเวลาตามล่าสหายร่วมเส้นทางสั่ว”
“สหายร่วมเส้นทางสั่วเหี้ยมหาญขนาดนี้ สองเส้นทางนอกรีตไม่ว่าเป็นฝ่ายไหน เชื่อว่าไม่อยากเห็นการดำรงอยู่ของอย่างเขา”
“เทวกษัตริย์ไร้ประมาณติดตามสหายร่วมเส้นทางสั่ว คนอื่นๆ ในโถงเซียนเส้นทางนอกรีตทดลองตามหาเยี่ยนจ้าวเกอกับตำหนักโอสถ” หลิงชิงเอ่ย “เราท่านเป็นเป้าหมายที่ถูกติดตามมาโดยตลอดเช่นกัน”
เทียบกับสั่วหมิงจางซึ่งที่แล้วมาตามหาที่อยู่ของเซ่าจวินหวงเงียบๆ ไม่นานมานี้เพิ่งเคลื่อนไหวใหญ่โต นางกับเกาหานถูกโถงเซียนกับแดนสุขาวดีประกาศจับพร้อมกันมาหลายพันปีแล้ว
“ถึงแม้ว่าพระเมตไตรยพุทธเจ้าจะจงใจให้เวลาเทวกษัตริย์ไร้ประมาณ แต่ต่อให้มากอย่างไร ก็ยังมีจำกัดอยู่ดี” เกานหานยืนขึ้นอย่างฝืนๆ อยู่บ้าง “อีกไม่นาน การจู่โจมกันระลอกใหม่ระหว่างเส้นทางนอกรีตจะเริ่มขึ้นแล้ว”
หลิงชิงยกมือขึ้น แสงกระจ่างหลายสายสาดลง ครอบคลุมเกาหาน จากนั้นก็พาเขาเคลื่อนไหวในความว่างเปล่าไร้สิ้นสุด
“การต่อสู้กันของเส้นทางนอกรีต เป็นโอกาสอันนี้ให้พวกเราเคลื่อนไหว กลับจำเป็นต้องป้องกันไม่ให้คนอื่นๆ ฉวยโอกาสเข้ามายุ่ง” นางทางหนึ่งเดินทางหนึ่งกล่าว “เผ่าปีศาจกับศาสนาพุทธสายหลักซึ่งก่อนหน้าสงบเสงี่ยมรวบรวมกำลัง เริ่มคิดก่อหวอดแล้ว”
“โถงเซียนเต๋าปลอมรอบนี้ได้รับความเสียหาย เพื่อป้องกันไม่ให้พุทธปลอมฉวยโอกาสจู่โจม ต้องติดต่อผู้ช่วย เมื่อเป็นแบบนี้ พุทธปลอมสมควรมีผู้ช่วยเช่นกัน” เกาหานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เผ่าปีศาจเดิมทีอยากลมมือเต็มแก่ คงคิดใช้โอกาสนี้เข้ามายุ่งเกี่ยวทางโลกอีกครั้ง สอดเท้าเข้ามาอย่างเป็นางการ”
“กลับเป็นแดนสุขาวดีตะวันตก ใช่ว่าจะลงสนามด้วยตัวเองเร็วขนาดนี้ เพียงแต่ไม่ทำไม่ได้”
เขามองหลิงชิง “อาการบาดเจ็บของข้านี้ต้องรักษาเป็นเวลานาน เรื่องน่ากังวลมากมายต่อจากนี้จำเป็นต้องพึ่งพาท่านแล้ว”
หลิงชิงตอบ “ไม่ได้มีเวลามากมายขนาดนั้นให้ท่านได้รักษาตัวเป็นเวลานานแล้ว”
“เช่นนั้นข้าได้แต่พกพาอาการบาดเจ็บลงสนามรบแล้ว” เกาหานไม่นำพา เสแสร้งถอนใจ “แต่ว่าตอนนี้ ท่านช่วยมอบสิ่งของนี้ให้แก่คนผู้หนึ่ง”
หลิงชิงหันกลับมารับของชิ้นหนึ่งไว้ หลังจากกวาดมอง ก็พยักหน้า “ได้”
…
ในกระแสปั่นป่วนของมิติที่อยู่ห่างจากโลกซ้อนโลก กลางจักรวาลสำนักเต๋ามีมิติพิเศษแห่งหนึ่ง
ในมิติช่องว่าง ทิวทัศน์งดงามโอ่าอ่า มองดูเหมือนเขาคุนหลุนบนโลกซ้อนโลกอยู่หลายส่วน
เหมือนกับมีคนย้ายทิวทัศน์ของเขาคุนหลุนมาไว้ที่นี่
ตรงกลางของที่นี่มียอดเขาลูกหนึ่งตั้งตระหง่าน
ถ้าเป็นคนที่คุ้นเคยกับทัศนียภาพของเขาคุนหลุนบนโลกซ้อนโลกเห็นยอดเขานี้ จะนึกออกทันทีว่า นี่เป็นแดนศักดิสิทธิ์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งบนโลกซ้อนโลก
ยอดเขากานหวา
ที่อยู่ของเฉินกานหวา ประมุขทิศบน อันดับหนึ่งแห่งประมุขทั้งสิบบนโลกซ้อนโลก
ยอดเขากานหวาที่แท้จริงยังคงอยู่บนเขาคุนหลุนในโลกซ้อนโลก ยอดเขาของที่นี่เป็นคนอื่นสร้างเลียนแบบขึ้น
ตอนนี้ ผู้สร้างกำลังยืนอยู่ตรงหน้าคนหนุ่มอาภรณ์ม่วงอย่างกระอักกระอ่วน “พี่ใหญ่…”
คนหนุ่มอาภรณ์ม่วงสีหน้าเกียจคร้าน ทว่าน้ำเสียงขุ่นข้องอยู่บ้าง “เจ้าสมควรทราบว่า ข้าเกลียดของที่ทำซ้ำให้เหมือนกัน”
ไม่เห็นเขาลงมือ ยอดเขาที่เหมือนกับยอดเขากานหวาตรงหน้า ก็หายไปจากมิติต่างแดนแห่งนี้ แม้แต่ฝุ่นผงก็ไม่เหลือแม้แต่จุดเดียว
เฉินคุนหวามีสีหน้าจนปัญญา
เขาไม่ได้มีนิสัยแปลกประหลาดเหมือนเฉินกานหวา กลับรู้สึกว่าการอยู่บนยอดเขากานหวาในโลกซ้อนโลกสุขสภาย ทิวทัศน์งดงาม ดังนั้นจึงเลียนแบบสร้างขึ้น
ปกติแล้วเฉินกานหวาไม่เคยมาที่นี่ จึงไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้น
หากแต่วันนี้พี่ใหญ่ของตนมาแล้ว พอเห็นทิวทัศน์ของที่นี่ ผลลัพธ์ก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวอีก
ยอดเขาหายไป เหลือเพียงป่ารกชัฎ มิติพิเศษขนาดมหึมาว่างเปล่า
เฉินกานหวากลับไม่รู้สึกอึดอัด มีท่าทีเกียจคร้านไม่สนใจสิ่งใดอีกครั้ง ย้ายเก้าอี้ไม้โบราณขนาดใหญ่โตตัวหนึ่งมาไว้กลางป่า จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้
เฉินคุนหวาหยั่งถาม “พี่ใหญ่ ครั้งนี้ท่านมามีธุระหรือ?”
“มีของสิ่งหนึ่งที่คิดให้เจ้า” เฉินกานหวากล่าวอย่างเกียจคร้าน “จริงด้วย ตอนนี้เจ้ามีความมั่นใจว่าจะสำเร็จระดับประมุขขนาดไหน?”
เฉินคุนหวางุนงง “ความรู้สึกของการสั่งสมยังไม่มากพอ ถึงการเลื่อนเป็นระดับประมุขจะไม่อันตรายเหมือนการผลักเปิดประตูเซียนที่ต้องฝ่าภัยพิบัติ แต่ข้ายังคิดจะขัดเกลาตัวเองอีก…”
“เรื่องของตัวเจ้า เจ้าจัดการเอาเอง” เฉินกานหวาพูดอย่างไม่นำพา พร้อมกับโยนของชิ้นหนึ่งออกมา “ของชิ้นนี้ ต้องให้เจ้าเลื่อนสู่ระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสิบ จึงค่อยฝืนควบคุมอานุภาพได้หลายส่วน”
นั่นเป็นบรรทัดโบราณทำจากสำริดชิ้นหนึ่ง ถูกเขาโยนออกมาแต่ไม่ตกพื้น ลอยนิ่งกลางอากาศ
เฉินคุนหวามองบรรทัดดบราณนั้นอย่างสับสน เหม่อลอยอยู่ชั่วขณะ
รอเขาได้สติ ลมหายใจพลันเปลี่ยนเป็นเร่งร้อนขึ้น
นั่นเป็นบรรทัดจิตนภาอันเป็นอาวุธเซียน
………………..