ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1339 เผ่าปีศาจคิดเคลื่อนไหว
เจ้าของนิวาสสถานหลังจากต้อนรับนักพรตผู้นั้น ก็ไม่สนใจพิธีรีตอง พูดตรงๆ “ที่เชิญสหายร่วมเส้นทางร้อยตามา เพราะมีเรื่องปรึกษาจริงๆ”
“พี่ร่วมเส้นทางต้องการปรึกษาอันใด” บุรุษวัยกลางคนลักษณะเหมือนนักพรตยกจอกสุกราที่อยู่บนโต๊ะขึ้นส่งถึงริมปากของตัวเอง
เจ้าของนิวาสสถานกล่าวอย่างไม่รีบร้อน ถามก่อนว่า “ก่อนหน้านี้สหายร่วมเส้นทางร้อยตราหลอมโอสถ ไม่ทราบรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางโลกในปัจจุบันมากขนาดไหน?”
นักพรตเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “หลังจากออกฌานได้พบคนอื่นๆ ฟังสถานการณ์ใหญ่ๆ มาส่วนหนึ่ง”
“พวกเราในที่สุดก็ออกไปได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องซ่อนอยู่ในเขาดาราทะเลดวงดาวอีก”
สำหรับเผ่าปีศาจที่สืบทอดเผ่าอาศัยในเขาดาราทะเลดวงดาว โดยเฉพาะยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าปีศาจ นี่ย่อมเป็นเรื่องใหญ่ที่ควรค่าแก่ความสนใจมากที่สุด
“ฟังว่าตำหนักโอสถของวังเทพก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง” นักพรตเอ่ยถึงตรงนี้ ดวงตาฉายแววละโมบชัดเจน
“จริงด้วย ดูเหมือนสามพิสุทธิ์สายหลักจะให้กำเนิดเซียนสวรรค์ชั้นมหาชาลอีกคนแล้ว?” นักพรตพูด ส่วนลึกของดวงตาทอแววอิจฉาริษยา
เจ้าของนิวาสสถานพยักหน้า “มิผิด เป็นเช่นนี้เอง”
นักพรตได้สติ มองเจ้าของนิวาสสถาน “พี่ร่วมเส้นทางเชิญข้ามาเพราะเรื่องอะไรกันแน่?”
“ท่านไม่ใช่คิดหาเรื่องผู้สืบทอดของเจ้าแม่อู๋ตังมาโดยตลอดหรอกหรือ?” เจ้าของนิวาสสถานกล่าว “ตอนนี้มีโอกาสแล้ว”
นักพรตพอฟัง สีหน้าปรากฏความสงสัย “ไม่ได้ยินว่าเจ้าแม่อู๋ตังสิ้นชีวิต”
“เจ้าแม่อู๋ตังยังไม่สิ้นชีวิตจริงๆ แต่ว่าโอกาสยังคงมาแล้ว” เจ้าของนิวาสสถานโบกมือ “มหาเทวะเก้าเศียรกำลังจะออกฌาน”
“มหาเทวะเก้าเศียรไม่ได้มีความขัดแย้งกับเจ้าแม่อู๋ตัง” นักพรตเหลือบตา ความสงสัยบนใบหน้าเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
เจ้าของนิวาสสถานหัวเราะ “แต่ในอดีตมหาเทวะเก้าเศียรเสียท่าผู้สืบทอดกระแสตรงสายหยกพิสุทธิ์สาหัส”
เขาพอกล่าวเช่นนี้ ดวงตาของนักพรตสั่นไหว ความสงสัยบนใบหน้าหายไป ค่อยๆ แสดงสีหน้าใคร่ครวญ “ท่านหมายถึง…”
“ท่านอาจจะรู้เช่นกันว่า คนที่มหาเทวะเก้าเศียรเสียท่า เป็นศิษย์ของอวี้ติ่งจินหยิน ผู้สืบทอดของเทวกษัตริย์บรรพกำเนิดสายหยกพิสุทธิ์ในตำนาน” เจ้าของนิวาสสถานกล่าว “แต่สิ่งที่ท่านไม่ทราบก็คือ ปัจจุบันในผู้สืบทอดสายหยกพิสุทธิ์มีสายสืบทอดหนึ่งที่เป็นผู้สืบทอดกระแสตรงของอวี้ติ่งจินหยิน”
นักพรตรู้สึกสนใจแล้ว จ้องมองเจ้าของนิวาสสถาน รอเขากล่าวต่อ
“หลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ การสืบทอดกระแสตรงสายหยกพิสุทธิ์ให้กำเนิดคนรุ่นหลังที่โดดเด่นยิ่ง มีชื่อว่าเยี่ยนซิงถาง เป็นลูกศิษย์ที่แท้จริงในสายสืบทอดกระถางหยก” เจ้าของนิวาสสถานไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง กล่าวอย่างฉะฉาน “แต่ว่าเยี่ยนซิงถางเสียชีวิตไปแล้ว หาเขาได้เหลือลูกหลานไว้”
“ถ้าข่าวที่ข้ารวบรวมไว้ตอนนี้ไม่ผิดพลาด เช่นนั้นตำหนักโอสถของวังเทพที่โผล่มาอีกครั้งก็ได้ตกไปอยู่ในมือคนที่มีชื่อว่าเยี่ยนจ้าวเกอ หลานของเยี่ยนซิงถาง”
เขาทางหนึ่งกล่าวทางหนึ่งมองนักพรตผู้นั้น “ในอดีตเยี่ยนซิงถางนั้นกลับตบแต่งจอมยุทธ์สายเหนือพิสุทธิ์เป็นภรรยา ยังเป็นผู้โดดเด่นที่ปรากฏขึ้นมาใหม่ของสายเหนือพิสุทธิ์หลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่”
“กล่าวอีกอย่างก็คือ ตำหนักโอสถแห่งวังเทพในตอนนี้ตกไปอยู่ในมือลูกหลานของอวี้ติ่งจินหยินกับเจ้าแม่อู๋ตัง”
เจ้าของนิวาสสถานยิ้มเล็กยิ้มหน่อย เอ่ย “ท่านว่าถ้ามหาเทวะเก้าเศียรทราบ จะมีปฏิกิริยาอย่างไร? ปัจจุบันตำหนักโอสถถูกซ่อนยากตามหา แต่ว่าผู้สืบทอดสายหยกพิสุทธิ์เหล่านั้นยังอยู่ในจักรวาลสำนักเต๋า ฟังว่าสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ไม่เลว หลายปีมานี้คล้ายมีการติดต่อกัน เพียงแต่พวกเขาระวังตัวกันมาก ไม่ยอมให้เราพบร่องรอย”
“นี่กลับประเสริฐยิ่ง!” นักพรตลูบเคราของตัวเอง รอยยิ้มบานเต็มหน้า “ใช้ประโยชน์จากผู้สืบทอดของเจ้าแม่อู๋ตังตามหาตำหนักโอสถ”
แต่ไม่ทันไรเขาก็หุบเยิ้ม “ประเดี๋ยวก่อน เยี่ยนซิงถาง เยี่ยนจ้าวเกออะไรนั่น เป็นแค่ผู้สืบทอดของสายกระถางหยกแห่งปากแม่น้ำก้วน ไม่ใช่ผู้สืบทอดของคนผู้นั้น มหาเทวะเก้าเศียรคงไม่ระบายความโกรธกับพวกเขากระมัง?”
เจ้าของนิวาสสถานยิ้ม “ยังไม่เอ่ยถึงว่าพวกเขาทราบที่อยู่ของคนผู้นั้นหรือไม่ แต่ว่าพวกเขามีตำหนักโอสถของวังเทพ แม้แต่มหาเทวะเก้าเศียรก็ต้องหวั่นไหว ทำหนึ่งเรื่องได้ถึงสอง”
เขามองนักพรตแวบหนึ่ง “เกี่ยวกับตำหนักโอสถ พวกเราอย่าโลภจะดีกว่า สามารถแบ่งปันผลประโยชน์ได้ย่อมยอดเยี่ยมที่สุด มาตรแม้นว่าไม่มี อย่างสหายร่วมเส้นทางร้อยตาท่านก็สามารถสร้างความลำบากให้แก่ผู้สืบทอดของเจ้าแม่อู๋ตังได้ไม่ใช่หรือ?”
“แต่คนที่สังหารลูกศิษย์ของท่านในตอนนั้น เหมือนกับไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว ที่เหลืออยู่ในปัจจุบันเป็นลูกหลานของนาง สหายร่วมเส้นทางร้อยตาคล้ายไม่ได้ใช้ความรู้ทั่วไปกับพวกนาง”
นักพรตแค่นเสียง “นังโจรสังหารศิษย์ข้า สมควรตายแล้ว ปัจจุบันได้ชำระแค้นกับลูกศิษย์หลานศิษย์ของนาง สมหน้าน้ำพวกนางมีชะตาชีวิตเช่นนี้”
ถ้าหากมีคนคอยพัวพันเจ้าแม่อู๋ตัง เขาพลันไร้ข้อกริ่งเกรง
“อืม…เดี๋ยวก่อน ผู้สืบทอดสายหยกพิสุทธิ์ไม่ใช่ว่าเพิ่งมีเซียนสวรรค์ชั้นมหาชาลคนหนึ่งหรือ? นอกจากนี้อย่างน้อยยังมีจักรพรรดิโกวเฉินกับจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋ที่ยังอยู่” นักพรตพลันนึกอะไรได้
เจ้าของนิวาสสถานพยักหน้า “มิผิด ถึงพวกเขาใช่ว่าจะมีโอกาสลงมือเหมือนกับเจ้าแม่อู๋ตัง แต่ก็ไม่ใช่ว่าไร้ความเป็นไปได้โดยสิ้นเชิง”
“แต่จงวางใจให้เต็มที่ วันนี้ถึงแม้ว่าจะสู้กับพุทธเกษตรตะวันตกรวมถึงโถงเซียนเส้นทางนอกรีตอยู่ แต่นอกจากมหาเทวะเก้าเศียรแล้ว ที่นี่พวกเรายังมีมหาเทวะตนอื่นๆ ที่ยังมีเวลาว่าง ไม่ได้ลงมือ”
นักพรตพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนนี้พวกเราไปพบมหาเทวะเก้าเศียรเถอะ”
“ใจเย็นๆ ก่อน ตอนนี้ยังไม่รีบร้อน” เจ้าของนิวาสสถานปรามเขา “ผู้สืบทอดสามพิสุทธิ์สำนักเต๋า นอกจากเทวกษัตริย์สองสามคนที่ยังอยู่ พลังของคนอื่นๆ ความจริงไม่อาจดูแคลน มรกตท่องฟ้าเป็นที่ที่ผู้สืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์ดูแลมาหลายปี อย่าได้มองข้ามไป”
“พวกเราตามหาผู้ช่วยอีกสักเล็กน้อย ค่อยมีโอกาสสำเร็จ” เจ้าของนิวาสสถานมองด้านนอกประตู “สมควรใกล้มาถึงแล้ว”
นักพรตตาเป็นประกาย คาดคำนวณในใจ
เป็นอย่างที่คาด ผ่านไปไม่นานเท่าไร มีเด็กรับใช้พาคนผู้หนึ่งเข้ามา
ผู้มาอยู่ในแสงจันทร์สุกสกาวชั้นหนึ่ง แสงจันร์สลายไป กลับเผยให้เห็นร่างของสตรีนางหนึ่ง
“พี่ร่วมเส้นทางสายดี ไม่ทราบเชิญผู้น้องมาเพราะเหตุใด” นางเห็นเจ้าของนิวาสสถานก็ทักทาย จากนั้นก็มองนักรตที่อยู่ที่นี่อย่างประหลาดใจอยู่บ้าง “นี่ไม่ใช่พี่ร่วมเส้นทางร้อยตาหรอกหรือ?”
นักพรตพยักหน้า “นางเซียนสบายดี บุคลิกเลิศล้ำกว่าวันวาน”
เจ้าของนิวาสสถานกล่าว “ที่เชิญนางเซียนมา เพราะมีเรื่องคิดปรึกษาจริงๆ”
เขาบอกเล่าเรื่องราว สตรีนางนั้นขมวดคิ้ว “ตำหนักฟ้าฟื้น มีแต่วิธีนี้ที่จะตามหามันเจอจริงๆ แต่ว่า…”
“ปัจจุบันพวกเราสู้กับทางพุทธเกษตรตะวันตกกับโถงเซียนอย่างดุเดือด ถึงจะมีกำลังเหลือ แต่สุดท้ายอาจทำให้เทวกษัตริย์ของสำนักเต๋าลงมือรุนแรงและถี่ขึ้น หากก่อเรื่องนี้ในตอนนี้ จะทำลายแผนการใหญ่ของใต้เท้าหรือไม่?” นางถามอย่างลังเล
“หนำซ้ำยังมีปัญหาหนึ่งอย่าง” นางมองนักพรตผู้นั้น หลังจากลังเลก็กล่าว “ดึงผู้สืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์เข้ามาจะดีจริงๆ หรือ? ทางพวกเรามีมหาเทวะที่เคยร่ำเรียนในสำนักของสายเหนือพิสุทธิ์อยู่”
“ถึงมหาเทวะเก้าเศียรอาจลงมือ แต่ข้อนี้พวกเราไม่อาจไม่พิจารณากระมัง”
นักพรตใบหน้าเคร่งขรึม ไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ว่าไม่ได้พูดขัด
กลับเป็นเจ้าของนิวาสสถานแห่งนั้นหัวเราะขึ้น “ไม่ต้องกังวล อย่างน้อยไม่ใช่อุปสรรคใหญ่”
………………..