ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1347 ดาบทำลายหรูอี้
เกาชิงเสวียนสองคน เหมือนเคลื่อนไหวของใครของมัน แต่หนึ่งวิญญาณสองร่าง สองกระบี่ผสานทำนอง กอปรเป็นสภาวะร่วมกันจู่โจม
ที่คนหนึ่งใช้เป็นกระบี่ลงทัณฑ์เซียน อันดับหนึ่งในสี่กระบี่ล้ำค่าสายเหนือพิสุทธิ์
ที่อีกคนหนึ่งใช้กลับเป็นกระบี่หยกเบิกนภาของหลงซิงเฉวียนผู้เป็นสามี!
กระบี่เบิกผ่าฟ้าดิน กับกระบี่ทำลายฟ้าดิน ขณะนี้เชื่อมต่อหลอมรวมกัน
ถึงจะไม่กลายเป็นวรยุทธ์สะท้านโลกชนิดใหม่เหมือนดาบกฎเกณฑ์ของเยี่ยนตี๋ ทว่าขณะที่เกาชิงเสวียนใช้สองกระบี่ผสานท่วงทำนอง ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยมีมาก่อน
นางมีสถานการณ์พิเศษ กอปรด้วยพรสวรรค์มากมาย มีหนึ่งวิญญาณสองร่าง ขณะออกกระบวนท่า เหมือนกับคนคนเดียวกัน
การสอดประสานเช่นนี้ แม้เป็นฝาแฝดผสานการโจมตีด้วยสองกระบี่ ก็ยังทำไม่ได้
สองคนเมื่อฝึกฝนร่วมกัน ต่อให้คบหากันมาเป็นเป็นพันเป็นหมื่นปี ก็ไม่มีทางบริสุทธิ์ขนาดนี้
เจตจำนงกระบี่สองด้านผสมผสาน ถึงกับก่อเกิดเป็นสภาวะวัฎจักรเริ่มต้นและสิ้นสุดในการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติของฟ้าดิน
ไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างดาบกฎเกณฑ์ของเยี่ยนตี๋ แต่ว่าร่างจริงและร่างแยกของนาง พอผสานเจตจำนงกระบี่และปราณกระบี่ ก็แทบเท่ากับพลังของตัวเองสองคนเพิ่มพูนให้แก่กัน ยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ
เกาชิงเสวียนออกสองกระบี่พร้อมกัน สภาวะไม่อาจต้านทาน ประกายกระบี่ที่เหมือนธารสวรรค์สีเหลืองเข้มของจ้าวปีศาจร้อยตาถูกฟันหักอีกครั้ง!
“ไม่ใช่ร่างปลอมลวงตา เป็นร่างแยกที่อยู่ในระดับห้าปราณมุ่งสู่ต้นกำเนิดเหมือนร่างจริงหรือ?” จ้าวปีศาจร้อยตายังคงเป็นปีศาจชราอายุหมื่นปี ความรู้กว้างขวาง ยามนี้แตกตื่น “ยังมีวิชากระบี่นี้ สุดท้าย…”
เขามองตำหนักโอสถกับมรกตท่องฟ้าอีกครั้ง เห็นมรกตท่องฟ้าเริ่มเคลื่อนไหวภายใต้การชักนำจากเสาแสงแล้ว!
จ้าวปีศาจร้อยตาสูดหายใจลึก ปลดเสื้อผ้า ถอดเสื้อคลุมดำที่อยู่บนร่างทิ้ง
หลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ เหล่าผู้สืบทอดของชวนเหอเต้าหยินต่างลอบป้องกันจ้าวปีศาจร้อยตา เพราะไม่ทราบว่าจะบุกมาตอนไหน
ความสามารถและจุดพิเศษของเขา ก็ถูกสืบทราบมาแล้วเช่นกัน
ตอนนี้เกาชิงเสวียนเห็นการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย พลันนึกถึงคำพูดที่เกี่ยวโยงส่วนหนึ่ง
เป็นอย่างที่คาด เห็นจ้าวปีศาจร้อยตาถอดเสื้อผ้าทิ้ง ยกมือขึ้นพร้อมกัน ใต้สีข้างมีดวงตาพันดวงสาดแสงสีทองหมอกสีเหลืองออกมาพร้อมกัน
หมอกสีเหลืองแน่นขนัด สีข้างสองด้านเหมือนพ่นเมฆออกมา แสงสีทองอร่าม ในดวงตาพันดวงราวกับลุกเป็นไฟ
หมอกแสงกระจายไปทั่ว ครอบคลุมเข้าหาเกาชิงเสวียน
พอถูกละอองแสงนี้ครอบคลุม เกาชิงเสวียนพลันรู้สึกรุกถอยลำบาก ถึงขั้นกระดิกกระเดี้ยไม่ได้
นางประกบสองกระบี่ เปิดทางเส้นหนึ่งให้ตัวเอง ท่าร่างเป็นอิสระอีกครั้ง แต่ยังเคลื่อนไหวอยู่ในหมอกแสง
ทว่าหมอกแสงประหลาดยิ่ง ลอยมาไม่ขาดสาย ต่อให้ทำลายก็เกิดใหม่ ยังคงขังนางไว้ด้านใน
เกาชิงเสวียนสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ร่างจริงร่างแยกยืนชนหลัง คนหนึ่งยังคงใช้กระบี่ลงทัณฑ์เซียน อีกคนเปลี่ยนวิชากระบี่ ไม่ใช่กระบี่หยกเบิกนภาอีกต่อไป แต่เปลี่ยนมาใช้กระบี่ลงทัณฑ์เซียนเหมือนกัน
สองกระบี่ร่วมมือกันผสานจูาโจมอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ถึงอย่างไรก็โจมตีสุดกำลัง การโจมตีที่เหมือนทัณฑ์สวรรค์พุ่งลงมาทำลายฟ้าดินเจาะหมอกแสงอย่างหักโหม พุ่งออกมาจากด้านใน
เกาชิงเสวียนแม้จะพุ่งออกจากหมอกแสงแล้ว แต่เมื่อหันหน้าไปมอง ตาปีศาจเป็นร้อยเป็นพันดวงใต้สีข้างของจ้าวปีศาจร้อยตายังคงกะพริบแสงไม่หยุด หมอกแสงกว้างใหญ่ครอบฟ้าปกคลุมดิน ไล่ตามนางมาอย่างต่อเนื่อง
ในขณะเดียวกัน พวกมหาเซียนหรูอี้จอมปีศาจตอนอื่นๆ ก็ได้เร่งรุดมาถึงในมิตินอกเขตแดนด้านนอกจักรวาลสำนักเต๋าแล้ว
ทว่าก็มีกลิ่นอายอันแข็งกล้าอย่างอื่นมาถึงด้วยเช่นกัน
แสงสว่างสีเคลือบกระจ่างใสปรากฏขึ้นด้านใน พระโพธิสัตว์ร่างทององค์หนึ่งโผล่ขึ้นมา!
ถึงแม้ทั้งร่างท่านจะเป็นสีเคลือบ และเรืองแสงจางๆ กลับไม่ใช่แสงพุทธที่เห็นได้ในพวกสมณะศาสนาพุทธของแดนสุขาวดีบัวขาว
แสงนี้ส่องมาจากตัวพระโพธิสัตว์องค์นี้เอง
ถึงกับเป็นพระโพธิสัตว์บรรลุมรรควิถีที่มาจากแดนสุขาวดีตะวันตก บำเพ็ญทางสายหลัก
กลิ่นอายของท่านแข็งแกร่งสุดขีด นอกจากท่านแล้ว ยังมีสภาวะของคนอื่นๆ อีกสองสามคนโผล่มา ด้านในถึงขั้นมีปราณมารจากนพยมโลก
พวกจอมปีศาจเช่นฝูลัวจื่อส่งสัญญาณทางใบหน้าให้แก่กัน ต่างคนตางเคลื่อนไหวตามแผนการที่วางไว้ก่อนทันที
นางเซียนเสวียนซวงภายใต้การขับเน้นของแสงจันทร์ ในมือถือสากบดยาท่อนหนึ่ง เข้าปะทะกับพระโพธิสัตว์จากแดนสุขาวดีตะวันตกองค์นั้น
ฝูลัวจื่อข่มขวัญคนทั้งหมดที่เหลือ ขณะเดียวกันก็ยื่นมือออกมาขีดเขียนยันต์อาคมกลางอากาศ ยันต์สาดแสง ขยายออกไปยังที่ไกล ค่อยๆ กลายเป็นตาข่าย
สมณะศาสนาพุทธจากแดนสุขาวดีตะวันตกเห็นดังนั้นพลันขมวดคิ้ว
ท่านถึงไม่แน่ใจว่าตาข่ายแสงนั้นมีผลอะไร แต่ว่าก่อนหน้านี้ท่านได้ติดต่อให้แดนสุขาวดีตะวันตกของตนส่งกำลังเสริมมาแล้ว
แต่พอรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของมิติเวลา ตาข่ายแสงนั้นก็ขยายใหญ่ ถึงกับรวบมิติเวลาที่ปั่นป่วนขึ้น ทำให้คนที่อยู่บริเวณรอบๆ สุดท้ายต่างพุ่งเข้าไปในตาข่าย
ตาข่ายนี้ดูเหมือนคลุมข้างนอกไม่คลุมข้างใน สมณะศาสนาพุทธผู้นั้นคิดทำลาย เสียดายที่ นางเซียนเสวียนซวงปีศาจกระต่ายหยกเริ่มรบกวนท่าน พัวพันท่านเอาไว้
อีกด้านหนึ่ง มหาเซียนหรูอี้พายอดฝีมือเผ่าปีศาจกลุ่มหนึ่ง ชิงพุ่งเข้าไปในจักรวาลสำนักเต่า มุ่งหน้าไปหาตำหนักโอสถ
จ้าวปีศาจร้อยตามีความแค้นกับมรกตท่องฟ้า แต่เขาไม่มี
ตำหนักโอสถจึงเป็นเป้าหมายที่มหาเซียนหรูอี้ต้องการ
“เจ้ายังต้องระวังตัว” ตอนนี้ในตำหนักโอสถ เยี่ยนจ้าวเกอมองเฟิงอวิ๋นเซิงที่อยู่ด้านข้าง “จงสะกดผนึกต่อไปห้ามผ่อนคลาย รอจนสภาพการณ์ตรงหน้ามั่นคง ไม่อย่างนั้นหากวู่วามมากขึ้น นิสัยมารจะกลายเป็นเรือลอยตามน้ำ อาจไม่มีวิธีจัดการอีกแล้ว”
“ข้าทราบดี” เฟิงอวิ๋นเซิงใส่อาภรณ์สีขาว มืดถือดาบสีดำ “ถ้าไปถึงขั้นนั้นจริงๆ ข้าอาจจะกลายเป็นเป้าหมาย ล่อตัวตนอย่างมารไม้อิกมา”
ขณะที่กล่าว นางก็หายตัวไป ตอนปรากฏขึ้นอีกครั้ง ก็มาถึงนอกตำหนักโอสถแล้ว
ขณะนี้ มหาเซียนหรูอี้กำลังพุ่งตัวเข้าหาตำหนักโอสถ พอเห็นเฟิงอวิ๋นเซิงก็อดงุนงงไม่ได้
“คน...หรือว่ามาร?” เขาสับสนเล็กน้อย จากนั้นนึกถึงข่าวสารหนึ่งที่เคยได้ยินมา “เจ้าคือคนที่ขโมยอำนาจของมารปัจฉิมธรรมไปหรือ?”
เฟิงอวิ๋นเซิงไม่ตอบ ผมที่รวบไว้เป็นหางม้าสะบัดวูบหนึ่ง ดาบเทพอาทิตย์ยะเยือกในมือคำรามพร้อมกับออกจากฝัก!
ควันมารเพลิงทมิฬที่ดุร้ายอัปมงคล กลายเป็นคมดาบน่าพรั่นพรึง ฟันใส่มหาเซียนหรูอี้!
กลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นที่เคยทำให้จักรวาลสำนักเต๋าบังเกิดสภาวะทรุดโทรมเปลี่ยวร้างเมื่อยี่สิบปีก่อน โผล่ขึ้นในวันนี้อีกครั้ง
หนำซ้ำ ยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าเมื่อยี่สิบปีก่อนอีก!
เฟิงอวิ๋นเซิงลงมือไม่ปรานี บนศีรษะของนางถึงกับมีแสงงดงามที่เหมือนลวงเหมือนมายารวมตัวกัน!
เพียงแต่ว่า แตกต่างจากสั่วหมิงจางกับเกาหานในอดีต และไม่เหมือนกับจ้าวปีศาจร้อยตาในตอนนี้
แสงสว่างที่รวมบนศีรษะของเฟิงอวิ๋นเซิงเป็นสีดำ
กลิ่นอายอันน่าสะพรึงทำให้มหาเซียนหรูอี้ไม่กล้าชักช้า หยิบตะขอหรูอี้ของตนออกมา บนศีรษะปรากฏสองบุปผาบนกระหม่อม พลังและกลิ่นอายทั่วร่างระเบิดออกมาหมดสิ้น
เขากวาดตะขอออกไป บ้าคลั่งดุร้าย แข็งแกร่งไร้เทียมทาน
เหมือนกับเทพกระทิงที่สามารถแบกท้องฟ้าตนหนึ่ง สะบัดเขาบนศีรษะอย่างดุดัน!
เฟิงอวิ๋นเซิงสีหน้าราบเรียบ เพ่งสายตา คมดาบอยู่เหนือศีรษะ จากนั้นก็ฟันลงด้วยสภาวะทำลายขุนเขา ไม่เห็นตะขอของมหาเซียนหรูอี้ในสายตา
คมดาบสีดำอันน่ากลัวนั้นกระจายไปทุกที่ มิติจักรวาลราวกับแยกออกเป็นสองส่วน
แสงสว่างบ้าคลั่งกะพริบผ่าน ดาบเทพอาทิตย์ยะเยือกปะทะกับตะขอหรูอี้ มหาเซียนหรูอี้พลันรู้สึกมือสั่น ไม่กล้าหักหาญ รีบเอียงตะขอในมือ หลบไปด้านข้าง
แม้จะเป็นเช่นนี้ พอเขาเพ่งตามองไป บนตะขอในมือก็ปรากฏรอยร้าวมากมาย!
………………..