ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1362 แดนสุขาวดีบัวขาว
พอได้ยินคำ ‘ยุคคนหนุ่มสาว’ เฉินเสวียนจงที่อยู่ด้านข้างอดยิ้มขึ้นไม่ได้
เยว่เจิ้นเป่ยซึ่งที่แล้วมาเอาจริงเอาจังบนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเช่นกัน
เยี่ยนตี๋ยิ้ม มองเยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิง
ทั่วทั้งเข้ากว่างเฉิงในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ใด ไม่มีทางยึดถือเยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงเป็นศิษย์รุ่นหลัง หรือคนโดดเด่นที่มาทีหลัง
กระนั้นพวกเขาสองคนล้วนไม่รับควบคุมสำนักต่อ
คนหนึ่งไม่เคยแสดงให้เห็นความสามารถด้านนี้ อีกคนไม่ได้สนใจเรื่องนี้
ดังนั้นในตอนพิจารณาถึงผู้สืบทอดจ้าวสำนัก ย่อมตัดพวกเขาทิ้งโดยอัตโนมัติ
โชคดีที่ตอนนี้ลูกศิษย์รุ่นฃหนุ่มสาวของเขากว่างเฉิงคนอื่นๆ เริ่มเติบโตขึ้น เยี่ยนตี๋ไม่ต้องกังวลแล้วว่าจะไม่มีผู้สืบทอดต่อ
พวกหยวนเจิ้งเฟิง ฟางจุ่น ฟู่เอินซูต่างฝึกฝน ค้นคว้าความลี้ลับในหลักวรยุทธ์ได้อย่างสบายใจ
จอมยุทธ์ที่เดินถึงระดับหนึ่งได้ ต่างยินดีค้นคว้าศึกษาวรยุทธ์ของตัวเอง
แน่นอนว่าปัจจุบันนี้ ตำแหน่งของเขากว่างเฉิงในฟ้าเหนือฟ้า และในกลุ่มผู้สืบทอดสำนักเต๋าทั้งหมดหลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ไม่อาจเทียบกับอดีตได้อีกแล้ว
คนหนุ่มสาวคิดแบกรับธงใหญ่จากมือของเยี่ยนจ้าวเกอและเยี่ยนตี๋ จำเป็นต้องสั่งสมมากกว่านี้
กระนั้นการจัดการและการปฏิบัติภารกิจประจำวันในสำนัก แม้เยี่ยนตี๋จะวางมือไม่สนใจ ก็ไม่มีอุปสรรคใด
ความจริงแล้ว ในสถานการณ์ที่ฟางจุ่นถอยไปอยู่หลังม่าน ตั้งใจฝึกฝนวรยุทธ์ การทำเงินงานและการจัดการภารกิจส่วนใหญ่ในเขากว่างเฉิง ล้วนเป็นสวีเฟยที่เป็นผู้อาวุโสระดับหนึ่งแห่งวิหารปฏิบัติกิจรับช่วงต่อ ทั้งจัดการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
หลังจากเปลี่ยนสวีเฟยมารับตำแหน่ง ตำแหน่งผู้อาวุโสระดับหนึ่งแห่งวิหารอาญาก็ว่างลง ใครจะเป็นคนรับช่วงต่อ ตอนนี้ยังอยู่ในการพิจารณา
เทียบกันแล้ว เซี่ยกวงมีโอกาสมากที่สุด
เขาที่เกลียดชังความชั่วดุจศัตรูคู่แค้นมีนิสัยดุร้ายตรงไปตรงมา หลายปีมานี้เริ่มควบคุมอารมณ์ได้ ไม่ได้บ้าคลั่งเหมือนในอดีตอีกแล้ว
หลังจากที่เขากว่างเฉิงยึดครองเขตชางเทียนตะวันออกบนโลกซ้อนโลก เผชิญหน้ากับผากิเลนแห่งเขาคุนหลุนโดยมีความมั่นใจมากพอ เซี่ยกวงได้ทำลายเขาสามขาจนพินาศด้วยตัวเอง แก้แค้นให้แก่ครอบครัว
ความเคียดแค้นและเพลิงโทสะดับลง หลังจากผ่านการขัดเกลามากมาย ปัจจุบันการรับมือคนกับเรื่องราวของเซี่ยกวงไม่ได้เดียงสาเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
กระนั้นเขาในปัจจุบันยังคงเลือดร้อน ดังนั้นจะรับหน้าที่ผุ้อาวุโสระดับหนึ่งในวิหารหนึ่งได้หรือไม่ ตอนนี้เยี่ยนตี๋ หยวนเจิ้งเฟิง และฟางจุ่นกำลังพิจารณาอยู่
แต่กล่าวโดยสรุป ปัจจุบันทุกสิ่งบนเขากว่างเฉิงได้เดินไปบนครรลองที่ถูกต้องแล้ว ขอแค่พัฒนาไปตามปกติก็พอ
สภาวะที่ค่อยๆ สั่งสมเริ่มแสดงให้เห็น แค่ต้องใช้เวลาตกผลึกเท่านั้น
“หวังว่าจะเจอสหายร่วมเส้นทางเจี่ยและสหายร่วมเส้นทางฉู่ รวมถึงหาวิธีการกำจัดภัยแฝงเร้นจากภัยพิบัติมารบนร่างของจวินเอ๋อร์สองแม่ลูกในการเดินทางนี้” เยี่ยนตี๋กล่าวอย่างเคร่งขรึม
เยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงปั้นสีหน้าจริงจังเช่นกัน
เฉินเสวียนจงพยักหน้า “หลังเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางเถอะ”
ทุกคนต่างคำนับซึ่งกันและกัน บอกลากันเท่านี้
เยี่ยนจ้าวเกอกับเยี่ยนตี๋ไปพบเสวี่ยชูฉิงด้วยกัน สองพ่อลูกล้วนออกเดินทาง ทำให้เสวี่ยชูฉิงอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง
ในตอนนั้นเพราะสถานการณ์บังคับ นางไม่อาจไม่แยกจากสามีและบุตร จากลาครั้งหนึ่งกินเวลาหลายสิบปี
ปัจจุบันในที่สุดก็ได้กลับมาอยู่ด้วยกัน ใช้เวลาอันงดงามสมบูรณ์ถึงยี่สิบปีเต็ม
ก่อนหน้านี้แม้เยี่ยนจ้าวเกอจะออกเดินทาง แต่ยังดีที่สามีคอยอยู่เคียงข้าง
ตอนนี้แม้ว่าตนจะรั้งอยู่ในฟ้าเหนือฟ้าที่ปลอดภัย แต่กลับต้องลาจากกันอีกครั้ง เหลือแค่นางคนเดียว
หากบอกว่าไม่มีความรู้สึกแม้แต่น้อย นั่นเป็นการหลอกตนเองและคนอื่นแล้ว
ต่อให้ในอดีตจะผ่านวันเวลาที่ต้องเร่ร่อนอันยากลำบากจนเคยชิน ทว่าวันนี้ในฐานะภรรยาและมารดา สุดท้ายก็ยังหวังจะได้ลงหลักปักฐานและอยู่ด้วยกัน
ทว่าที่แล้วมาเสวี่ยชูฉิงไม่ใช่คนธรรมดา ไม่กล่าวอะไรมาก เพียงกำชับให้สามีและบุตรชายระวังตัว
“ข้าจะดูแลรักษาค่ายกลในตำหนักโอสถเอง หากไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมาย ต้องไม่เป็นไรแน่” เสวี่ยชูฉิงกล่าว “กลับเป็นพวกท่านออกไปด้านนอก ระวังตัวให้มากไว้”
เยี่ยนตี๋กอดนางเบาๆ “วางใจ”
เยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงเห็นดังนั้นต่างมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม
“อวิ๋นเซิงเจ้าดูแลจ้าวเกอมากๆ เขาพอคลั่งขึ้นเมื่อไหร่ก็ไม่ฟังใครแล้ว” มีผู้เยาว์สองคนดูอยู่ เสวี่ยชูฉิงไม่เขินอาย ยิ้มให้เฟิงอวิ๋นเซิงแล้วพูดขึ้น
นางพอใจในตัวเฟิงอวิ๋นเซิงมาก ถึงแม้ว่านิสัยของสะใภ้และแม่ผัวจะต่างกันไม่น้อย ทว่าเข้ากันได้ดี
เฟิงอวิ๋นเซิงยิ้มเซิงรับคำ “ข้าจะพยายาม แต่อย่างที่ท่านว่า เขาคลั่งขึ้นมาก็ไม่ฟังผู้ใดแล้ว”
“ตอนนี้เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า หากไม่ไหวจริงๆ ก็มัดกลับมาเลย” เสวี่ยชูฉิงเอ่ยอย่างไม่นำพา
เยี่ยนจ้าวเกอแยกเขี้ยว เยี่ยนตี๋เองก็ยิ้มขึ้นเช่นกัน
ทั้งหมดหยอกล้อกัน บรรยากาศโดยรวมค่อนข้างผ่อนคลาย
แรงกดดันและวิกฤติการณ์หลักๆ แล้วมาจากคนหรือเรื่องราวในสภาพแวดล้อมใหญ่ของโลกภายนอกซึ่งไร้ความแน่นอน ทำให้คนค่อนข้างผ่อนคลายอยู่บ้าง
หลังจากเตรียมการทุกอย่างเสร็จสิ้น เยี่ยนตี๋กับเฉินเสวียนจงก็ออกเดินทางก่อน
เยี่ยนจ้าวเกอเตรียมตัววางแผนอย่างละเอียดเสร็จ ก็ออกจากฟ้าเหนือฟ้า ผละไปจากจักรวาลฟ้าฟื้น เข้าสู่มิตินอกเขตแดนอันไร้สิ้นสุดพร้อมกับเฟิงอวิ๋นเซิงอีกครั้ง
ทั้งสองเคลื่อนไหวในมิติเวลาอันกว้างใหญ่ เยี่ยนจ้าวเกออาศัยความทรงจำ ตามหาเส้นทางกลับแดนสุขาวดีบัวขาว
ครั้งกระโน้นเขาไปมาระหว่างแดนสุขาวดีบัวขาวและจักรวาลสำนักเต๋า ตอนนี้คิดตามหาแดนสุขาวดีบัวขาวอีกครั้ง ไม่อาจกลับทางเดิมได้
แต่โชคดีที่เขาจำตำแหน่งของแดนขวางกั้นได้ เมื่ออาศัยมันนำทาง ก็ทำให้เขาเจอเส้นทางไร้รูปร่างสายหนึ่งจริงๆ
หลังจากเข้าใกล้แดนสุขาวดีบัวขาวแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงก็หยุดฝีเท้า ติดต่อกับราชันพระจันทร์หลิงชิง
ครั้งกระโน้นพลังฝึกปรือยั้งต่ำ ไม่ดึงดูดความสนใจ
เพราะระดับพลังฝึกปรือในตอนนี้ บวกกับตำหนักโอสถ ตนจึงได้กลายเป็นคนที่ทุกฝ่ายจับตามอง เยี่ยนจ้าวเกอไม่อาจไม่ระวัง
หลังจากรอคอยด้วยความอดทน ทางหลิงชิงก็ส่งข่าวกลับมา
ตามการนัดหมาย นี่หมายถึงทางนั้นเตรียมการสำเร็จแล้ว อีกสักครู่จะเคลื่อนไหว
เป็นอย่างที่คาด สักพักหนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกได้ในทันทีว่า จักรวาลที่ศาสนาพุทธเส้นทางนอกรีตปกครองเกิดระลอกคลื่นขึ้น
‘กำแพง’ ไร้รูปร่างนั้นถึงขั้นกำลังสั่นไหว
“ไป!” เยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงสบตากัน พูดเป็นเสียงเดียวกัน จากนั้นก็พุ่งไปด้านหน้า
หลังจากพวกเยี่ยนจ้าวเกอทะลุ ‘กำแพง’ ไร้รูปร่าง ก็เท่ากับเข้าสู่แดนสุขาวดีบัวขาวอย่างเป็นทางการ
เวลามีแค่หนึ่งชั่วยาม หรืออาจน้อยกว่า
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้งสองมุ่งหน้าไปยังทิศทางของแดนขวางกั้นในทันที
ขณะที่เยี่ยนจ้าวเกอที่เลื่อนสู่ระดับเซียนมองดูจักรวาลศาสนาพุทธแห่งนี้อีกครั้ง ก็เห็นแสงพุทธกระจายไปทั่ว ครอบคลุมทั้งจักรวาล
ไกลออกไป แสงพุทธเรืองรอง มีลำแสงอันน่าอัศจรรย์หลายสายกำลังสั่นไหว
นั่นเป็นความวุ่นวายที่พวกจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋สร้างขึ้น ทำการอำพรางให้แก่ฝ่ายตน
เยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงต่างพยายามซ่อนกลิ่นอายและร่องรอยอย่างเต็มกำลัง
ทว่าในตอนที่พวกเขาเข้าใกล้แดนขวางกั้นนั่นเอง พลันมีการเคลื่อนไหวใหญ่โตส่งมาจากทิศทางอื่น!
เยี่ยนจ้าวเกอหันไปมองอย่างงงงวย เห็นในมิติจักรวาลซึ่งแยกแยะทิศทางไม่ได้ พลันเพิ่มแสงสว่างที่เหมือนกับเครื่องเคลือบหลายสาย
แสงสีทองอร่ามสว่างขึ้นกลางจักรวาล บัวสีเขียวหลายดอกผลิบาน
“แสงทอง บัวเขียว…คนของแดนสุขาวดีตะวันตก?” เฟิงอวิ๋นเซิงงุนงงเช่นกัน
ทั้งสองสบตากัน “มีคนจากแดนสุขาวดีตะวันตกมาโจมตีแดนสุขาวดีบัวขาวแล้ว?”
………………..