ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1366 ตราผนึกใต้เขายังคงอยู่
เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินคำบรรยายของเฟิงอวิ๋นเซิงก็คล้ายนึกอะไรได้ “ดูท่าทาง ที่นี่คงมีตราผนึกไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั้น มีสองชั้น”
“ตราผนึกสองชั้นแสดงผลทับซ้อนกัน กลับเบียดกันจนเกิดร่องแยกสายหนึ่ง ตราบใดที่พลังฝึกปรือของจอมยุทธ์ไม่สูงไม่ต่ำจะเผยเลศนัยออกมาบางส่วน หากพลังฝึกปรือสูงหรือต่ำ กลับไม่มีทางสัมผัสได้?” เฟิงอวิ๋นเซิงเข้าใจความหมายของเยี่ยนจ้าวเกอ
“ข้าแค่เดาดู สุดท้ายจะใช่หรือไม่ ยังต้องรอยืนยัน” เยี่ยนจ้าวเกอทางหนึ่งพูด ทางหนึ่งเดินไปหาภูเขาที่อยู่ในโลกอีกใบ
เทียบกับในตอนที่มาที่นี่เป็นครั้งแรก ขีดความสามารถและระดับในตอนนี้ของเยี่ยนจ้าวเกอสูงส่งกว่ามาก
แต่ว่าสิ่งที่ได้พบกลับไม่แตกต่างไปจากอดีต
ไม่ว่าเดินนานขนาดไหน ล้วนเหมือนกับก้าวเท้าอยู่กับที่ ไม่อาจเข้าใกล้ภูเขา
เขาไม่ท้อถอย ขณะที่เคลื่อนไหว ก็ตั้งใจสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของมิติเวลาและแบบแผนปราณวิญญาณของที่นี่
“คงใช้กำลังไม่ได้กระมัง?” เฟิงอวิ๋นเซิงอยู่ด้านข้างเขา “อาจจะดึงความสนใจของยอดฝีมือที่ต่อสู้กันอยู่ด้านนอกได้”
“ไม่ใช่แค่นั้น” เยี่ยนจ้าวเกอสำรวจพร้อมกับตอบ “ที่นี่อาจจะเป็นร่องรอยที่ศากยมุณีพุทธเจ้า อดีตพระยูไลแห่งเขาหลิงซานได้ทิ้งเอาไว้ในครั้งกระโน้น”
“สาเหตุที่หลายปีมานี้คนที่ทราบเรื่องเช่นจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋ ไปจนถึงคนอื่นๆ ที่อาจยังอยู่ไม่อาจมาที่นี่ด้วยตัวเอง เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะกลัวไปแตะใส่การจัดการที่พระยูไลได้เหลือเอาไว้ ถึงอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดทราบว่าการจัดการในอดีตยังมีผลหรือไม่ พระพุทธเจ้ายังจับตาดูอยู่หรือไม่”
พระยูไลอดีตผู้ปกครองดินแดนอภิรดีศูนย์กลางถึงแม้จะหลุดพ้นไปแล้ว แต่ก็เหมือนกับบรมครูสามพิสุทธิ์ที่ไม่มีใครทราบว่าจะสะกิดความโกรธของพวกเขาเพราะเรื่องอะไรบางอย่างได้หรือไม่ และไม่มีใครทราบว่าพวกเขาจะกลับมาที่นี่หรือไม่ ดังนั้นจึงไม่อาจไม่รับมือด้วยความระวัง
เกิดว่าทำให้ตัวตนเช่นนี้จับตามองที่นี่อีกครั้ง ผลลัพธ์ยากจะคิดถึงเกินไป
“แต่ใต้เท้าอายุวัฒนาหนานจี๋ยังให้ท่านมา?” เฟิงอวิ๋นเซิงขมวดคิ้วเคร่งเครียด
“แต่ดูท่าทางแล้ว ถ้าไม่คิดพาคนที่ถูกสะกดไว้ที่นี่ออกไปก็สมควรไม่มีปัญหา” เยี่ยนจ้าวเกอว่า
หลังจากใคร่ครวญครู่หนึ่ง เขากระซิบข้างหูเฟิงอวิ๋นเซิงเบาๆ
เฟิงอวิ๋นเซิงหลังได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อย ดวงตาสองข้างเริ่มกะพริบแสงมารสีดำแกมน้ำเงิน ผนึกไว้ไม่ปล่อยออกมา ควันมารเพลิงทมิฬเหมือนกลายเป็นหมอกบางชั้นหนึ่ง ครอบคลุมม่านตาของนาง ในม่านตาเป็นประกายมัวซัว
นางนั่งขัดสมาธิกลางอากาศ ไม่ได้ผลีผลามบุกเข้าไป แต่อดทนรอคอย
เนิ่นนานให้หลัง โลกตรงหน้าก็อยู่ใต้ตาของนาง กลางอากาศเพิ่มเส้นสีดำแกมน้ำเงินหลายสาย พาดขวางตัดสลับกัน
ถึงตอนนี้ เฟิงอวิ๋นเซิงค่อยผุดลุกขึ้น จากนั้นก็ก้าวไปด้านหน้า
นางเคลื่อนไหวอยู่บนร่องแยกสีดำแกมน้ำเงินหลายสาย ข้ามผ่านมิติหลายชั้นเช่นนี้
เยี่ยนจ้าวเกอติดตามอยู่ด้านหลัง สัมผัสการเปลี่ยนแปลงในนี้ไปพลางๆ
ถึงจะดูเหมือนกับการเดินทางที่ไร้จุดหมาย แต่สุดท้ายทั้งสองก็ก้าวสู่โลกใบที่ภูเขาลูกนั้นอยู่ ยิ่งมายิ่งเข้าใกล้เขาสองเขตแดน
เดินได้สักพักหนึ่ง เฟิงอวิ๋นเซิงพลันหยุดนิ่ง “มีการเปลี่ยนแปลง”
ขณะนี้ กลางความว่างเปล่าในดวงตาของนางยังคงมีเส้นสีดำแกมน้ำเงินกระจายอยู่ถี่ยิบ แต่ว่าพอมองผ่านตาข่ายที่ทับกันหลายชั้นนี้ไป ที่ตีนเขาของเขาสองเขตแดนสาดแสงสว่างเรืองรอง เหมือนกับครอบคลุมด้วยเมฆสีดำแกมน้ำเงินชั้นหนึ่ง
“เหมือนกับตราผนึกสองชั้นจริงๆ เพียงไม่ทราบว่ามาจากฝีมือของคนเดียวกันหรือไม่” เฟิงอวิ๋นเซิงว่า
เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ “รอพวกเราไปถึงใต้ตีนเขา สัมผัสความแข็งแกร่งของตราผนึกชั้นที่สองนั้น ก็จะทราบว่าเป็นฝีมือที่มาจากคนคนเดียวกันกับที่วางตราผนึกชั้นแรกด้านนอกหรือไม่”
ทั้งสองมุ่งหน้าต่อ เลี้ยววกไปวนมาในความว่างเปล่า หลังจากการค้นหาที่กินเวลายาวนาน ในที่สุดก็มาถึงใต้ตีนเขานั้น
แม้ดูเหมือนกับเขาร้างป่ารก แต่ก็เต็มไปด้วยแสงพุทธจางๆ ปรากฏสำนึกความบริสุทธิ์
ถ้าหากว่าเพ่งมองขุนเขาเป็นเวลานาน ถึงขั้นมีลักษณะของเครื่องเคลือบ ภูเขาเหมือนกับโปร่งแสง
พอยืนอยู่บนขุนเขาที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ และเต็มไปด้วยตำนานมากมายเช่นนี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็เกิดความรู้สึกทอดถอนใจ
“แดนสุขาวดีตะวันตกบุกแดนสุขาวดีบัวขาวอย่างกะทันหัน การสอดมือในครั้งนี้ แม้จะขวางทางถอยของเรา แต่ก็ซื้อเวลาให้กับพวกเราเช่นกัน” เยี่ยนจ้าวเกอกอดเอว หันไปมองความว่างเปล่า “ดูจากสภาวะในตอนนี้ของสองฝ่าย พวกเรามีเวลามากกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว”
“กระนั้นเกิดสองฝ่ายปรากฏผลแพ้ผลชนะ พวกเราก็จำเป็นต้องฉวยโอกาสออกไปทันที ยังจำเป็นต้องแข่งกับเวลา” เฟิงอวิ๋นเซิงแสงไฟสีดำแกมน้ำเงินในม่านตาสองข้างยังคงไม่สลาย โลกทั้งใบส่วนใหญ่มืดมัว
พอเข้าใกล้แล้ว แสงสว่างใต้ตีนขาวสองเขตแดนในสายตาของนางกลับมืดลงมาก
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่างแสงสว่างอ่อนลง แต่เป็นเพราะถูกเก็บไว้มากขึ้น
ยิ่งเข้าใกล้ ผลกระทบของตราผนึกก็ยิ่งแข็งแกร่ง เหมือสภาพอันยิ่งใหญ่คือไร้ลักษณ์ วัตถุเลิศล้ำเก็บซ่อนประกาย เมื่อมองดูกลับไม่ชัดเจน ถึงขั้นทำให้คนไม่อาจค้นพบ
“ขอแค่ไม่ทดลองแก้ผนึก ตราผนึกชั้นที่สองก็ไม่แสดงอานุภาพ ห้ามไม่ให้พวกเราเข้าใกล้” เยี่ยนจ้าวเกอพึมพำ
เฟิงอวิ๋นเซิงพยักหน้า “แต่ว่าตราผนึกชั้นที่หนึ่งด้านนอกกลับทำให้คนไม่อาจเข้าใกล้”
เยี่ยนจ้าวเกอมองยอดเขาโดยสัญชาตญาณ อยากจะเห็นว่ากระดาษที่พระยูไลแห่งเขาหลิงซานได้เขียนคำสวดมนต์หกคำด้วยลายมือของตัวเอง ยังอยู่ที่นี่หรือไม่
แต่ว่าที่นั่นว่างเปล่าแล้วจริงๆ
“พวกเราลองลงไปดูก่อนเถอะ” เยี่ยนจ้าวเกอว่า คนทั้งสองเดินไปยังใต้ตีนเขาด้วยกัน
พอถึงตีนเขา ก็อ้อมรอบๆ เขาดูรอบหนึ่ง แต่ไม่พบอะไร
เสียงคำรามข้างหูของเยี่ยนจ้าวเกอยังคงดังไม่หยุด คล้ายกับว่าดังมาจากทั่วทุกมุมของขุนเขา ทำให้คนยากแยกแยะทิศทาง
พวกเขาล่วงลึกเข้าไปในภูเขาต่อ
มาถึงที่นี่ ในที่สุดก็ได้สัมผัสกับหมอกสีแดงเรืองรองกลุ่มนั้น
หมอกสีแดงไม่มีการเปลี่ยนแปลง และไม่ได้ห้ามไม่ให้ทั้งสองเคลื่อนไหว
ผ่านจากที่นี่ไป เยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงสบตากัน ต่างกระจ่างแจ้ง “ตราผนึกสองชั้นไม่ใช่คนคนเดียวกันวางไว้”
ตราผนึกชั้นที่สองที่ดูไร้ประโยชน์ ไม่เป็นอุปสรรค์ต่อการมาถึงของคนทั้งสองตรงหน้านี้ แต่แข็งแกร่งเหนือกว่าตราผนึกชั้นที่สองที่อยู่ด้านนอกมาก
หากไม่กลัวว่าจะถูกยุทธวิชัยพุทธะกับราชาปีศาจกระทิงที่อยู่ด้านนอกค้นพบ พวกเยี่ยนจ้าวเกออยากจะลองเจาะตราผนึกชั้นที่สองดู เช่นนั้นตราผนึกชั้นที่หนึ่งในตอนนี้ แม้ต้องการทำลาย ก็ไม่อาจกระทำได้
“พระยูไลแห่งเขาหลิงซานได้ทิ้งไว้ในตอนนั้นหรือ?” เฟิงอวิ๋นเซิงมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความสงสัย “แต่ว่าตอนนั้นไม่ใช่ถูกพระถัมซัมจ๋ำแก้ไขแล้วหรอกหรือ? ด้านบนเขาก็ไม่เห็นลายมือของพระพุทธเจ้าที่เป็นคำสวดมนต์หกคำ”
“นี่เป็นเศษซากของตราประทับในอดีต หรือว่าเป็นตราผนึกอันใหม่จริงๆ?”
เยี่ยนจ้าวเกอพอฟังไม่ได้ตอบในทันที ติดอยู่ในห้วงความคิด
ครู่ต่อมาเขาค่อยพูดว่า “พวกเราไปด้านในต่อ”
ทั้งสองเดินอีกสักพัด เสียงคำรามที่ดังมาไม่ขาดสายในตอนแรกพลันหายไปจากข้างหูของเยี่ยนจ้าวเกอ
สรรพเสียงล้วนเงียบลง
แต่เยี่ยนจ้าวเกอขุนลุกวาบที่กลางหลัง
เขาเหมือนกับรู้สึกได้ว่า อยู่ๆ ก็มีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องเขาจากความว่างเปล่า
………………..