ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1411 กระทำเรื่องราวใด แล้วแต่ลิขิตชะตา
“จะเป็นเวลาไหนนั้น ตอนนี้ข้าก็ไม่แน่ใจ ถึงทำให้คนอึดอัดอยู่บ้าง แต่อีกฝ่ายได้เปรียบไปครึ่งส่วนจริงๆ” เยี่ยนจ้าวเกอสีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจัง “แต่ก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นข้า อวิ๋นเซิง หรือกษัตริย์ดาราต่างก็มีความเห็นเดียวกัน”
สวีเฟยพยักหน้าเงียบๆ ปลดถุงหนังใบหนึ่งจากเอว ดึงฝาเปิดออก ในถุงมีกลิ่นสุราลอยมา เขาเงยหน้าดื่มหลายอึก จากนั้นก็ส่งให้เยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ด้านข้าง
เยี่ยนจ้าวเกอรับไว้อย่างเคยชิน ดื่มไปอึกหนึ่งแล้วส่งคืนให้สวีเฟย
สวีเฟยรับถุงสุรากลับมา แล้วดื่มสุราที่เหลือจนหมด ก่อนจะระบายลมหายใจออกยาวๆ
ความอึดอัดบนใบหน้าในตอนแรกหายไป เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มสง่างาม “ก่อนหน้าอีกฝ่ายมีทั้งมีดและเขียง ส่วนเราเป็นแค่เนื้อปลา ถึงตอนนี้อีกฝ่ายนำไปแค่ครึ่งส่วน ทว่าเราไล่ตามมาได้มากแล้ว ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส”
“โอกาสในครั้งนี้มีครึ่งต่อครึ่ง แต่อีกฝ่ายยึดครองโอกาสลงมือก่อน พวกเราจำเป็นต้องรอพวกมันเผยช่องโหว่” เยี่ยนจ้าวเกอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าลง สุดท้ายหยุดนิ่งยืนอยู่กับที่ ครุ่นคิดครู่หนึ่งค่อยกล่าว “ความจริงใช่ว่าพวกเราไม่อาจจู่โจมได้ก่อน…”
สวีเฟยหยุดเดินเช่นกัน หันไปทางเยี่ยนจ้าวเกอ “จำเป็นต้องหาผู้อาวุโสฉู่ ศิษย์ของกษัตริย์ดาราให้เจอก่อนกระมัง”
“อืม ถูกต้อง” เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “ที่ตามหลังครึ่งก้าว เป็นเพราะตรงนี้เอง ถ้าหากว่าเราเจอที่อยู่ของผู้อาวุโสฉู่ก่อนที่อีกฝ่ายจะเคลื่อนไหว เราจะสามารถชิงครึ่งก้าวสุดท้ายกลับมาได้”
เยี่ยนจ้าวเกอปรบมือถอนใจ
“ผู้อาวุโสฉู่จะตกไปอยู่ในมือของนพยมโลกหรือไม่ สาเหตุที่มารน้ำกุ่ยไม่มีการเคลื่อนไหวมาโดยตลอด ด้านหนึ่งเป็นเพราะมันต้องการให้กษัตริย์ดาราเป็นร่างสถิต ด้านหนึ่งเพื่อรอให้ทางมารดินโบ่วเตรียมตัวให้แล้วเสร็จหรือ” สวีเฟยถาม
เยี่ยนจ้าวเกอตอบอย่างแช่มช้า “มีความเป็นไปได้”
เยี่ยนตี๋กับเฉินเสวียนจงออกไปด้านนอกพร้อมกัน ถึงจะยังไม่กลับมา แต่ก็ไม่เคยขาดการคิดต่อโดยสมบูรณ์
แน่นอนว่าเพื่อปกปิดตำแหน่งของจักรวาลฟ้าฟื้น ถึงแม้จะเป็นการติดต่อ แต่ก็รวบรัดคลุมเคลือถึงขีดสุด
ตอนนี้พวกเขากำลังพยายามตามหาฉู่หลีหลีกับเจี่ยหมิงคงอยู่ ตอนนี้ยังไม่มีข่าวดีส่งมา แต่สิ่งที่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงก็คือไม่ใช่ไม่มีผลลัพธ์อะไรเลย นี่ทำให้จิตใจของผู้คนอดฮึกเหิมไม่ได้
ทว่าในขณะเดียวกัน การส่งข่าวในตอนที่การตัดสินบุญคุณความแค้นเป็นครั้งสุดท้ายของสองฝ่ายอยู่ใกล้ตรงหน้า ก็ทำให้ผู้คนแอบระวังตัว ป้องกันการหลอกลวง ไม่ให้ติดกับอีกฝ่าย
“อีกฝ่ายกำลังวางแผนเพิ่มความได้เปรียบ คิดโจมตีให้สำเร็จในทีเดียว” เยี่ยนจ้าวเกอแค่นหัวเราะ
ภัยพิบัติครั้งนี้ แม้พวกเยี่ยนจ้าวเกอจะชิงโอกาสลงมือได้ก่อน แต่สุดท้ายแล้วใครจะแพ้ใครจะชนะ มีความเป็นไปได้ห้าสิบห้าสิบ
กระนั้น ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยนจ้าวเกอหรือสวีเฟยล้วนเป็นคนกล้าหาญ ถึงจะยังรู้สึกกังวล แต่มีใจสู้มากกว่า
“เหมือนกับที่อาจารย์ปู่เคยสั่งสอน กระทำเรื่องราวใดล้วนแล้วแต่ลิขิตฟ้า ไม่ว่าทำเรื่องใดสุดท้ายก็อยู่ที่ลิขิตฟ้า” สวีเฟยดวงตาวาวโรจน์
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลังจากมุมานะบากบั่นอย่างเต็มที่ จึงค่อยเผชิญกับลิขิตฟ้าด้วยความเยือกเย็นได้ พวกเรามาพยายามต่อสู้กับจอมมารที่อยู่มาเป็นหมื่นปีในนพยมโลกเหล่านั้นกันก่อน”
ศิษย์พี่ศิษย์น้องยิ้มให้แก่กัน ยื่นหมัดออกมาชนกัน ก่อนจะออกเดินอีกครั้ง
ที่สวีเฟยบอกกับสือจวินเมื่อก่อนหน้าว่ายังมีธุระต้องจัดการในสำนัก ด้านหนึ่งเป็นเพราะมีวาจาต้องการกล่าวกับเยี่ยนจ้าวเกอ ซึ่งไม่อาจพูดต่อหน้าสือจวิน อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะเขามีภารกิจติตดตัวอยู่จริงๆ
“ในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องรุ่นเดียวกับพวกเรา ไม่ค่อยมีผู้ช่วยที่แบ่งเบาความกังวลกับศิษย์พี่สวีท่านได้มากนัก หลายเรื่องราวยังต้องให้ท่านกระทำด้วยตัวเอง” เยี่ยนจ้าวเกอถอนใจ
สวีเฟยยิ้ม “ข้าไม่ใช่คนทำทุกอย่างด้วยตัวเอง หากมีคนร่วมสำนักที่มีความถนัดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ ข้ายินดีมอบอำนาจให้พวกเขาไปจัดการอย่างเต็มที่”
ในบุคคลที่โดดเด่นที่สุดท่ามกลางสมาชิกรุ่นที่สามของเขากว่างเฉิง เยี่ยนจ้าวเกอมีสถานการณ์พิเศษไม่ต้องกล่าวถึง
คนอื่นๆ เช่นเฟิงอวิ๋นเซิงก็นับได้ว่าเป็นคนที่มีความพิเศษเช่นกัน แต่ต่อให้ไม่มีเรื่องที่เข้าสู่นพยมโลก นางก็ไม่ค่อยถนัดและไม่ได้ชมชอบการจัดการภารกิจในสำนักมากนัก
ซือคงจิงถึงตอนนี้จะควบคุมวิหารถ่ายทอดวิชา แต่ว่ามาถึงปัจจุบัน นางเดิมทีหลงใหลในวรยุทธ์ คร้านจะสนใจเรื่องอื่น การควบคุมวิหารถ่ายทอดวิชาเป็นการแสดงความสามารถของนางได้ในระดับสูงสุดแล้ว ไม่อาจหวังให้นางไปปฏิบัติภารกิจเฉพาะอย่างด้านนอก หรือควบคุมวิหารปฏิบัติกิจแทนสวีเฟย
หลังจากเซี่ยกวงผ่านการทดสอบก็กลายเป็นผู้อาวุโสระดับหนึ่งแห่งวิหารอาญาทันที คนผู้นี้ถึงแม้จะมีนิสัยใจร้อนในตอนที่ยังอายุน้อย แต่ความแข็งกร้าวตรงไปตรงมาก็ยังเหลืออยู่ เกลียดชังความชั่วร้าย การควบคุมวิหารอาญาจึงไม่มีปัญหา แต่การควบคุมสถานการณ์โดยรวมยังคงมีข้อบกพร่องไม่น้อย โดยเฉพาะมนุษย์สัมพันธ์กับบารมีในสำนักของเขา ยังด้อยกว่าฟางจุ่นและสวีเฟยมาก
แน่นอนว่าพร้อมกับเวลาที่ผ่านไป ประสบการณ์ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น อายุเพิ่มขึ้นขั้นหนึ่ง ต่อจากนี้เซี่ยกวงจะเปลี่ยนแปลงตัวเองอีกหรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน ทว่าสำหรับปัจจุบัน ในลูกศิษย์รุ่นเดียวกัน เขากลายเป็นมือซ้ายมือขวาของสวีเฟยแล้ว จะควบคุมสำนักหรือออกไปปฏิบัติภารกิจเฉพาะด้านนอกล้วนไม่มีปัญหา
ว่ากันอย่างยุติธรรม วิหารอาญากับวิหารถ่ายทอดวิชาอาจจะมีความจำเป็น แต่ว่าวิหารปฏิบัติกิจมีหน้าที่ดูแลเรื่องราวในสำนัก ไม่เกี่ยวกับขีดความสามารถพลังฝึกปรือของจอมยุทธ์เสมอไป
ถึงอย่างไรผู้คนก็มีความสามารถต่างกันออกไป คนที่ชำนาญทั้งบู๊และบุ๋นอย่างเยี่ยนตี๋ ฟางจุ่น และสวีเฟยมีเพียงไม่กี่คน
แต่ว่าในนี้เกี่ยวข้องกับปัญหาด้านอายุขัยของคนและความสามารถในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพการณ์ที่เร่งด่วน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องคิดถึงสมดุลในนี้ด้วย
เรื่องราวหลักๆ และการปฏิบัติหน้าที่ในระดับกลางถึงต่ำสามารถจัดวางได้ง่าย แต่ว่าในระดับสูงสุด โดยเฉพาะตำแหน่งผู้อาวุโสระดับหนึ่งที่ต้องดูแลวิหารปฏิบัติกิจ ยังคงจำเป็นต้องระวัง
“ในอดีต ศิษย์น้องเซี่ยคิดถึงเรื่องสองเรื่องมาโดยตลอด เรื่องแรกเป็นการแก้แค้น เรื่องที่สองเป็นการตามหาญาติ” เยี่ยนจ้าวเกอว่า “เขาสามขาพินาศไปนานแล้ว เขาได้ชำระแค้น น่าเสียดายที่ครอบครัวของเขาไม่รู้อยู่ที่ไหน”
สวีเฟยพยักหน้า “ถึงพวกเราจะย้ายออกจากโลกซ้อนโลก แต่พวกเราก็ยังมีการติดต่อกับขุมกำลังส่วนหนึ่งที่ทิ้งไว้บนโลกซ้อนโลกในที่ลับ ขอให้พวกเขาตามหาแทน แต่ว่าไม่มีผลลัพธ์ใด ตอนนี้ดูเหมือน...”
คำพูดยังกล่าวไม่ทันหมด ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอย่อมเข้าใจความหมาย ดังนั้นจึงถอนใจคำหนึ่ง
“หลายปีมานี้ถึงศิษย์น้องเซี่ยจะไม่เคยปล่อยวาง แต่ก็เกรงว่าน่าจะมีการเตรียมใจอยู่แล้ว สภาพจิตใจคงดีขึ้นมาก” สวีเฟยไม่พูดถึงเรื่องที่ทำให้คนหม่นหมองอีก เปลี่ยนเรื่องว่า “เขาครอบครองโลหิตอัสนี ดุร้ายรุนแรงถึงขีดสุด หากรีบพัฒนาอาจติดคอขวดได้ง่าย ถ้าสามารถสงบจิตใจ การพัฒนาจะรวดเร็วเหมือนเดินทางได้พันลี้ในหนึ่งวัน เขาเดิมทีถูกศิษย์น้องอิงที่มาทีหลังแซงไปแล้ว ล้าหลังศิษย์น้องอิงอยู่ แต่หลายปีมานี้ไล่ตามทันแล้ว”
ศิษย์น้องอิงที่สวีเฟยพูดถึง ย่อมหมายถึงฮานหลงเอ๋อร์ อิงหลงถู
ปัจจุบันฮานหลงเอ๋อร์นับว่ารู้ความขึ้นแล้ว ไม่ได้ใสซื่อเหมือนตอนเป็นเด็ก แต่เขายังคงบริสุทธิ์ซื่อสัตย์ ไร้เดียงสาเหมือนทารก
“ร่างจิตนภาของฮานหลงเอ่อร์ ในตอนที่เขาได้เห็นเทวะสำแดง ไม่ได้หลอมจุดลมปราณทีละจุดเหมือนคนอื่น จุดลมปราณสามสิบหกจุดได้เห็นเทวะสำแดงในคราวเดียว พอจุดลมปราณแรกได้เห็นเทวะ หนึ่งจุดก็ผ่าน สามสิบหกจุดผ่านพร้อมกัน” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ต่อให้คนอื่นๆ อิจฉาก็ไม่มีทางได้มา”
………………..