ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1444 การเตรียมการณ์มากมาย
พอเห็นท่าทางของสือจวิน เยี่ยนจ้าวเกอกับสวีเฟยก็มองหน้ากัน
“จวินเอ๋อร์ ที่กษัตริย์ดาราใช้อาคมผนึกมารได้อย่างราบรื่น เป็นเพราะว่าตัวเขามีระดับขีดความสามารถแข็งแกร่งอยู่แล้ว นอกจากนี้มารที่เขาต้องสู้ด้วยมีแค่มารน้ำกุ่ยตัวเดียว” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยอย่างจริงจัง “ส่วนเจ้ากับมารดาของเจ้าต้องเผชิญกับมารสองตน ต่อให้เจ้าคิดใช้อาคมผนึกมารเสียสละตัวเองช่วยมารดา ผลลัพธ์ก็ไม่น่าดูนักหรอก”
เยี่ยนจ้าวเกอถอนใจ “อาคมผนึกมารข้าจะถ่ายทอดแก่เจ้า เพื่อให้เจ้าปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ในห้วงเวลาสุดท้าย จะได้มีตัวเลือกเพิ่มขึ้น กลับไม่ใช่ต้องการให้เจ้าคิดสละชีวิตตัวเองตั้งแต่เริ่ม”
สือจวินถูกจี้ใจดำ ก้มหน้าไม่พูดอะไร
“เจ้าจงทราบว่าการไม่กลัวตายกับการหาที่ตายแต่แรกเป็นคนละเรื่องกัน” เยี่ยนจ้าวเกอมองเขา “สภาพจิตใจของอย่างหลังตกต่ำเกินไป ไม่ส่งผลดีต่อการสู้กับมาร กลับอาจะถูกอีกฝ่ายพบช่องโหว่”
สือจวินสีหน้าเปลี่ยนไป สูดหายใจเฮือกหนึ่ง ปั้นสีหน้าจริงจัง “ขอรับอาจารย์อาเยี่ยน ข้าเข้าใจแล้ว”
“ถึงมารดินโบ่วจะเป็นฝ่ายนำ พญามารที่ต้องการใช้เจ้าเป็นร่างสถิตสำหรับเกิดใหม่เป็นฝ่ายตาม แต่เจ้าก็มีขีดความสามารถและระดับเหนือกว่ามารดาเจ้ามาก” สวีเฟยเอ่ยขึ้นด้านข้าง “ถึงเวลาอำนาจในการนำยังคงอยู่ที่ตัวเจ้า สงบจิตใจเข้าไว้”
“ขอรับท่านอาจารย์” สือจวินตอบด้วยใบหน้าจริงจัง
เยี่ยนจ้าวเกอมาถึงด้านหน้าโลงศพน้ำแข็ง ก้มมองใบหน้าของสตรีที่หลับใหลอยู่ในโลงศพ ใบหน้าที่ในอดีตอ่อนโยนสงบนิ่ง ยามนี้ภายใต้การส่องสะท้อนจะประกายแสงสีเหลืองอันน่ากลัว ถึงกับดูน่าสะพรึงอยู่บ้าง
ภายใต้แสงสาดส่อง ใบหน้าของสตรีเหมือนบิดเบี้ยว ราวกลับกลายเป็นอีกใบหน้าหนึ่ง ตอนนี้กำลังมองเยี่ยนจ้าวเกออย่างบูดบึ้ง
เยี่ยนจ้าวเกอยื่นมือออกไปกดบนโลงศพน้ำแข็ง ลวดลายอาคมหลายสายขยายออกไปโดยมีฝ่ามือเขาเป็นศูนย์กลาง แล้วกระจายไปทั่วโลงศพในชั่วพริบตา
เขาไม่ได้คลายมือ แต่ยืนอยู่ที่เดิม “ท่านพ่อกับอวิ๋นเซิงกำลังฟื้นฟูพลัง ตอนนี้ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนพวกเจ้า รอข่าวทางใต้เท้าอายุวัฒนาหนานจี๋”
สือจวินพยักหน้าเบาๆ
สวีเฟยมีหมอกแสงที่คล้ายโซ่พันอยู่บนร่าง ไม่สนใจและนั่งลงกับพื้น
เยี่ยนจ้าวเกอทางหนึ่งจับตาดูสถานการณ์ของอิ๋งอวี่เจิน ทางหนึ่งคอยสังเกตทางสือจวิน
ในปัจจุบันนี้ ทางด้านพวกสือจวินยังนับว่าดีอยู่
ภายใต้การช่วยเหลือจากตำหนักโอสถกับมุกผ่าดิน ถึงแม้ว่าแสงมารจะปรากฏเลือนรางกลางรอยแยกบนศีรษะของเขา แต่สุดท้ายก็อยู่ในสภาพถูกสะกดไว้
แน่นอนว่าพร้อมกับเวลาที่ค่อยๆ ผ่านไป สภาพของสือจวินกับอิ๋งอวี่เจินก็แย่ลงเรื่อยๆ ยิ่งมายิ่งไม่มั่นคง ถึงแม้ความเร็วในการเปลี่ยนแปลงจะเชื่องช้า ทว่าสถานการณ์ก็ยังคงพัฒนาไปในด้านที่ไม่ส่งผลดี
ผ่านการสั่งสมของเวลา การเปลี่ยนแปลงยิ่งมายิ่งชัดเจน
ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไร สีหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอพลันสั่นไหว
สวีเฟยมองเขา ฝ่ายชายหนุ่มพยักหน้า “ทางใต้เท้าอายุวัฒนาหนานจี๋มีข่าวส่งกลับมาแล้ว”
เยี่ยนจ้าวเกอดึงมือออกจากโลงศพน้ำแข็ง ออกจากตำหนักโอสถแกนกลาง ไปจากตำหนักโอสถ
เขายืนอยู่บนยอดเขากว่างเฉิง เงยหน้ามองฟ้า เห็นบนท้องฟ้าของฟ้าเหนือฟ้ามีประกายกระบี่สายหนึ่งสาดแวบขึ้น
ประกายกระบี่พุ่งมาถึงตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ ปรากฏร่างของเยว่เจิ้นเป่ย
“ใต้เท้าอายุวัฒนาหนานจี๋ยินดีลงมือ” เยว่เจิ้นเป่ยพูดพลางยื่นจานหยกใบหนึ่งให้ “นี่คือความหมายของเขา”
เยี่ยนจ้าวเกอรับไว้แล้วใช้ฝ่ามือลูบไล้ บนจานหยกเปล่งแสง ปรากฏอักขระอาคมกลางอากาศ
หลังจากอ่านดูอย่างรวดเร็ว เยี่ยนจ้าวเกอใบหน้าฉายแววยินดี “ก่อนหน้านี้ข้ายังมีความกังวล วิธีการของใต้เท้าอายุวัฒนาหนานจี๋จะต้องใช้ได้แน่”
“ดูจากตอนนี้ พวกเรามีพื้นที่ให้เคลื่อนไหวค่อนข้างมากแล้ว เมื่อเป็นแบบนี้ บางทีความคิดของข้าอาจกลายเป็นจริงได้”
เขาทางหนึ่งพูด ทางหนึ่งสั่งคนให้ติดต่อพวกเกาชิงเสวียนทางมรกตท่องฟ้า
เยว่เจิ้นเป่ยถาม “แผนการที่สี่ที่ตกลงก่อนหน้านี้?”
“ถูกต้อง” เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า ประกบสองฝ่ามือ จากนั้นก็แยกออกไปสองด้าน แสงผืนหนึ่งสาดออกมา
จากนั้นแสงนี้ก็ขยายใหญ่ขึ้นตามลม ปรากฏเป็นเรือเทพนาวายักษ์ลำหนึ่ง ขนาดขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง ลอยอยู่กลางท้องฟ้า
ถึงตอนท้าย เรือเทพนาวายักษ์ลำนี้ก็บังฟ้าปิดตะวันกลางอากาศ ทำให้เขากว่างเฉิงถูกครอบคลุมเป็นเงาดำชั้นหนึ่ง
เรือลำนี้มีลักษณะภายนอกเหมือนเรือนภาร่อนวายุ แต่ว่ามีขนาดมหึมากว่ามาก ความรู้สึกของพลังที่แฝงอยู่ด้านในแข็งแกร่งยิ่งกว่า
“ครั้งนี้ต้องพึ่งทางมรกตท่องฟ้าแล้ว” เยว่เจิ้นเป่ยเงยหน้ามองเรือเทพลำนี้
“ถึงกษัตริย์ดาราจะสิ้นชีวิต แต่ว่าอาจารย์ลุงเยว่ท่านไม่ต้องรับผิดชอบ” เยี่ยนจ้าวเกอปลอบ “พวกผู้อาวุโสเกาเป็นคนมีเหตุผล ครั้งนี้ร่วมกันต่อต้านวิถีมาร จับมือเคียงบ่าเคียงไหล่ มาตรว่าจะมีบุญคุณความแค้นส่วนตัว แต่ก็ต้องรอหลังสงคราม ตอนนี้ทุกคนยังคงร่วมแรงร่วมใจกันอยู่”
เยว่เจิ้นเป่ยพยักหน้า “ข้าไม่เป็นห่วงในเรื่องนี้ หลี่เถาม่วงเสียชีวิต ข้าแม้นเสียดายแต่ไม่มีความละอาย ทว่าหลังจากสมครามนี้ ถ้ามรกตท่องฟ้าต้องการคำบอกกล่าว ข้าจะมอบให้พวกเขาเอง”
“อาจารย์ลุงเยว่…” เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย
เยว่เจิ้นเป่ยส่ายหน้า “ข้าไม่ฆ่าตัวตายหรอก จ้าวเกอไม่ต้องเป็นห่วงข้า เรื่องนี้อย่าเพิ่งไปพูดถึงเลย ข้าเป็นห่วงทางจิงเสินกับศิษย์หลานอวี่มากกว่า ยังไม่มีวี่แววเลย”
“หลังจากสงรามนี้จะไปตามหาพวกเขาทันที” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยเสียงทุ้ม
“จัดการดูแลสงครามตรงหน้าก่อนเถอะ” เยว่เจิ้นเป่ยว่า
เวลานี้เฟิงอวิ๋นเซิงเกับเยี่ยนตี๋ที่ได้รับข่าวก็มาถึงยอดเขาแล้วเช่นกัน
เยี่ยนตี๋ตอนนี้ถึงแม้ว่าพลังจะไม่สมบูรณ์ ทว่าบุคลิกก็ไม่ได้แสดงความอ่อนด้อยออกมา ฟื้นฟูกำลังได้ดียิ่ง
เฟิงอวิ๋นเซิงภายนอกมองไปไร้ความผิดปกติ ไม่มีความอิดโรย ทว่าการฟื้นฟูของนางช้ากว่าของเยี่ยนตี๋
ในตอนต่อสู้กับคนต้องเก็บพลังเอาไว้ประมาณหนึ่ง ไม่อาจแสดงออกมาได้ทั้งหมด กระนั้นไม่ส่งผลต่อการลงมือในยามปกติ
“พวกเราลงมือ” หลังจากทั้งหมดมองกัน เฟิงอวิ๋นเซิงกับเยว่เจิ้นเป่ยก็ขึ้นเรือยักษ์ไปก่อน
เยี่ยนตี๋รั้งอยู่ที่เดิม เมฆแปลงกำเนิดที่เหมือนกลุ่มเมฆเหมือนดอกบัวบนศีรษะขยายออก อาณาเขตที่ครอบคลุมขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง
มาถึงตอนนี้ แทบครอบคลุมเรือเทพบนฟ้าและยอดเขาบนดินไว้ด้วยกัน
เยี่ยนจ้าวเกอเข้าไปในตำหนักโอสถ
ครู่ต่อมา ในตำหนักก็เหมือนสั่นไหวครั้งหนึ่ง จากนั้นประกายแสงสีเหลืองก็สว่างขึ้นตรงประตูใหญ่ของตำหนัก แต่ถูกเมฆแปลงกำเนิดของเยี่ยนตี๋คลุมไว้
แสงสีเหลืองเดี๋ยวหายเดี๋ยวปรากฏ เคลื่อนไหวในชั้นเมฆที่ขมุกขมัว ไม่ทันไรก็เคลื่อนจากประตูใหญ่ของตำหนักโอสถไปอยู่บนเรือเทพกลางท้องฟ้า
เมฆแปลงกำเนิดพลันหุบลง หดกลับไปอยู่บนเรือเทพ
จากนั้นเรือขนาดมหึมาก็ทะยานลมสวรรค์ แล่นบนทะเลอากาศ แหวกขอบเขตของฟ้าเหนือฟ้า ก่อนจะร่อนเข้าไปในจักรวาลด้วยความเร็วสูง
เรือเทพแล่นอยู่ในจักรวาล มาถึงบริเวณใกล้ๆ มรกตท่องฟ้า
ในมรกตท่องฟ้ามีประกายกระบี่สี่สายบินออกมา พุ่งลงบนดาดฟ้าเรือเทพ เกาชิงเสวียน หลงซิงเฉวียน นักพรตอวิ๋นเจิ้ง กับหลงเสวี่ยจี้ล้วนมาถึง
“รบกวนผู้อาวุโสเกาแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอนั่งตัวตรงไม่ลุกขึ้น ยื่นสองมืออกมาด้านหน้า ในความว่างเปล่าระหว่างฝ่ามือเป็นกลุ่มแสงที่ลอยอยู่กลุ่มหนึ่ง
เงาคนบัดเดี๋ยวสูญหายบัดเดี๋ยวปรากฏในกลุ่มแสง
“พวกเราออกเดินทาง” เกาชิงเสวียนที่ได้รับการแจ้งข่าวมาก่อนแล้วไม่มีลังเล รับหน้าที่ต่อจากเฟิงอวิ๋นเซิง กลายเป็นผู้คุมหางเสือของเรือยักษ์ลำนี้
ประกายกระบี่สีแดงก่ำหลายสายพรั่งพรูออกมาจากตัวเกาชิงเสวียน แล้วเคลื่อนไหวเกาะเกี่ยวกลางอากาศอย่างต่อเนื่อง
บนผิวของเรือขนาดใหญ่เหมือนกับถูกชุบไว้ด้วยสีแดงชั้นหนึ่ง แสงสีแดงยิ่งมายิ่งเจิดจ้า ถึงตอนสุดท้ายก็ครอบคลุมเรือยักษ์นาวาเทพไว้ทั้งลำ
จากนั้นแสงสว่างก็ไหลเวียน กลางจักรวาลที่มืดมิดเหลือเพียงกระบี่สีแดงก่ำเล่มเดียว
ประกายกระบี่สาดวาบแล้วออกห่างไปในชั่วพริบตา พุ่งออกจากจักรวาลฟ้าฟื้น เข้าไปในมิติไร้สิ้นสุดนอกเขตแดน