ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1449 อานุภาพแห่งมหาชาล
ขณะนี้กระจกที่เกิดจากสายฟ้าเหมือนกับมีฝุ่นจับหน้ากระจก แสงมืดลง
พร้อมกับที่แสงกระจกค่อยๆ สลายไป เสียงสายฟ้าไร้สภาพที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้นก็เบาลงไปด้วย
สำหรับเหล่าคนที่อยู่บนดาดฟ้าเรือเช่นพวกเฟิงอวิ๋นเซิง เยี่ยนตี๋ เกาชิงเสวียน หากเสียงสายฟ้าเบาลงจนหายไปก็ไม่ได้มีผลกระทบมากนัก ทว่าสำหรับพวกสือจวินที่กำลังสู้กับมารน้ำกุ่ยในท้องเรือจนมาถึงห้วงเวลาสำคัญ ครั้งนี้กลับอันตรายถึงชีวิต
แม้จะเป็นเยี่ยนจ้าวเกอที่ยืนอยู่ตรงหน้าต้นไม้ที่เหี่ยวเฉา ก็สัมผัสความผิดปกติได้ในทันที ในห้วงสมองที่ราบเรียบประดุจทะเลสาบพลันปรากฏระลอกคลื่นขึ้น นอกจากนี้ ยังเกิดอย่างต่อเนื่อง ติดต่อกันไม่หยุด
ทันใดนั้นเอง มารภายในบังเกิดในใจของเขาแทบไม่อาจควบคุมได้ ตรงหน้าถึงขั้นที่ปรากฏภาพมายาเงาลวงที่เต็มไปด้วยแสงพิลึกกึกกือ
‘มารจิตแรกเริ่ม?’ เยี่ยนจ้าวเกอเคร่งขรึม เข้าใจว่าตนอยู่ใกล้มารดินโบ่วมากเกินไป ขณะนี้มารจิตแรกเริ่มฉวยโอกาสแสดงฤทธิ์เดช ส่งผลต่อสภาพจิตใจของตน กระตุ้นให้เกิดมารภายใน
เขาโคจรวิชา ฝืนสงบจิตใจที่ปั่นป่วนของตัวเองในทันที เขาไม่ได้ใช้วิชาสงบจิตใจสะกดมารภายในอย่างคัมภีร์นภาทันใจ และไม่ได้โคจรวิชาแห่งวิถีมารอย่างเช่นคัมภีร์มารไร้รูป
ห้วงสมองของเยี่ยนจ้าวเกอกลายเป็นความโกลาหลผืนหนึ่ง ไร้หน้าไร้หลังไร้จุดเริ่มต้นไร้จุดสิ้นสุด ทำลายสรรพสิ่ง แม้แต่มารภายในก็ไม่อาจดำรงอยู่
หลังจากสงบจิตใจของตัวเองได้ เยี่ยนจ้าวเกอสายตาก็ราบเรียบกระจ่างใสเหมือนเดิม
มารจิตแรกเริ่มเล่นงานอย่างกะทันหัน แทรกซึมเข้ามาสำเร็จ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเด็ดขาด ถ้าไม่ใช่เพราะมันแข็งแกร่งขึ้นอย่างฉับพลัน ก็เป็นเพราะทางด้านจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋ที่ก่อนหน้าช่วยขัดขวางเกิดปัญหาขึ้น
พอสัมผัสได้ว่ากระจกสายฟ้าเหนือเรือเทพเริ่มอ่อนกำลังลง เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกหนักอึ้ง
ในสถานการณ์ตอนนี้ หากว่าจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋มีแผนการอื่น อย่างน้อยก็สมควรรอหลังจากมารดินโบ่วจบเห่โดยสมบูรณ์จึงค่อยลงมือ
ขณะนี้พิธีกรรมของเขาพลันเกิดความไม่มั่นคง ประสิทธิภาพด้อยลง สาเหตุสมควรเป็นเพราะจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋เจอศัตรูร้ายกาจ จึงไม่อาจดูแลทางนี้ได้ต่อ
ถึงมารจิตแรกเริ่มจะกำลังต่อสู้กับคนอื่นอยู่เช่นกัน ทว่าด้านนี้ถึงอย่างไรก็เป็นขอบเขตที่เขาถนัดที่สุด หล่อเลี้ยงทุกวัตถุอย่างไร้เสียง คงอยู่ทุกที่
นพยมโลกที่ก่อนหน้านี้ประสบการกลุ้มรุมมีสภาวะอ่อนแอลง ดังนั้นยอดฝีมือสำนักเต๋าจึงผ่อนคลายมากกว่าเดิม ขณะที่จักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋ได้โอกาสแยกตัวมาปกป้องคนอื่นๆ ก็สามารถช่วยซ่อนทางเยี่ยนจ้าวเกอได้
จากสถานการณ์ในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋มีคู่ต่อสู้คนใหม่ กำลังต่อสู้กันอยู่
ศัตรูที่ทำให้จักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋ต้องตั้งใจรับมือ สมควรเป็นยอดฝีมือระดับมหาชาลอย่างไม่ต้องสงสัย
เพียงแต่เมื่อเป็นแบบนี้ สถานการณ์ทางพวกเยี่ยนจ้าวเกอจึงเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เมื่อไม่มีของวิเศษอย่างพิธีผสมฟ้าขับไล่มารคอยสะกด มารจิตก็ก่อกวน โรมรันบุกตะลุย สามารถส่งผลกระทบต่อพวกสือจวินที่สู้กับมารดินโบ่วได้โดยตรง!
เยี่ยนจ้าวเกอกัดฟัน กระโจนร่างพุ่งเข้าหาส่วนรากของต้นไม้เหี่ยวตรงหน้า ร่างกลายเป็นลำแสง เข้าไปในกลุ่มแสงที่แฝงอยู่ตรงส่วนราก
พอเข้ามาที่นี่ พลันรู้สึกได้ว่าปราณมารแผ่พุ่ง!
สถานการณ์อันยอดเยี่ยมที่ก่อนหน้าผนึกมารได้ชั่วคราว ปิดตายเส้นทางคืนชีพของพวกมันเปลี่ยนเป็นสับสน ปั่นป่วนโดยสิ้นเชิง
แพ้ชนะตัดสินกันที่ความต่างเพียงเล็กน้อย
ถ้าเกิดการพลิกเปลี่ยน ก็ไม่ใช่การยื้อยันกันเหมือนตอนแรกอีก หากแต่เป็นการตกจากชั้นเมฆลงสู่ก้นหุบเขา ตกจากท้องฟ้าเข้าไปในเหวลึก
สถานการณ์ในปัจจุบันเปลี่ยนเป็นเหตุการณ์ที่พวกมารแทบจะกำหนดแนวโน้มได้แล้ว
จิตมารอันน่ากลัวที่หนาหนักยิ่งใหญ่ แต่ทำให้คนอึดอัดหายใจไม่ออกกระจายทั่วสี่ทิศ ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกว่าตนถูกกดลึกเข้าไปในดิน
อิ๋งอวี่เจินลืมตาสองข้าง ในม่านตาเป็นสีดำสนิท ร่องแยกบนหน้าผากกำลังสมานตัว แสงสว่างสีเหลืองส่องระยิบระยับไม่หยุด ยามนี้นางถึงกับหันไปมองเยี่ยนจ้าวเกอ “พวกเราเจอกันอีกแล้ว”
น้ำเสียงเป็นของมารจิตแรกเริ่ม!
ตรงกันข้ามนาง สือจวินนั่งอยู่บนพื้น ร่างสั่นไหวอย่างต่อเนื่องเหมือนกับหนาวสั่น เหงื่อไหลดุจสายฝน
ทว่าดวงตาของเขา ในการดิ้นรนยังคงรักษาความแน่วแน่ ไม่ยอมแพ้แก่มารตั้งแต่ต้นจนจบ
รอยแยกบนหน้าผากบิดเบี้ยวกระตุกไม่หยุดเหมือนกับมีชีวิตขึ้นมา เสียงหนึ่งดังมาจากด้านใน “จงหยวนคำนับใต้เท้ามารจิต”
‘อิ๋งอวี่เจิน’ พยักหน้ายิ้ม
อีกด้านหนึ่ง สวีเฟยนั่งขัดสมาธิ สองมือประสานมุทรา บนใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ดวงตาสั่นไหวไม่หยุด แต่รักษาความกระจ่างใสไว้ได้ กำลังฝืนสงบจิตใจของตัวเอง
“เยี่ยนจ้าวเกอ พวกเราแลกเปลี่ยนกันเป็นอย่างไร” มารจิตที่เป็น ‘อิ๋งอวี่เจิน’ เอ่ยอย่างราบเรียบ “ช่วยข้านำดินโบ่วกับจงหยวนออกจากที่นี่ได้หรือไม่”
‘อิ๋งอวี่เจิน’ มองสวีเฟยแวบหนึ่ง “ข้าจะคืนสหายผู้นี้ให้แก่เจ้าอย่างปลอดภัย”
ที่บอกให้ช่วยพาพวกมันออกไป เป็นเพราะไม่ว่าจะเป็นมารดินโบ่วหรือพญามารจงหยวน ตอนนี้อิ๋งอวี่เจินกับสือจวินที่พวกมันใช้ร่างเพื่อคืนชีพ เมื่อเทียบกับเหล่าวีรบุรุษสำนักเต๋าด้านนอก ไปจนถึงยอดฝีมือจากศาสนาพุทธและเผ่ามารจำนวนมากแล้วยังอ่อนแอเกินไป
การคืนชีพกลับมามีชีวิตอีกครั้งย่อมยอดเยี่ยม แต่ถ้าหากไม่อาจไปสู่สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยได้ในทันที มีเวลามากพอรอมารกรอกศีรษะสำแดงฤทธิ์ จากนั้นกลับคืนสู่จุดสุงสุด เช่นนั้นก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะต้องตายอีกครั้ง
นี่ย่อมไม่ใช่ผลลัพธ์ที่พวกมารจิตแรกเริ่มและมารดินโบ่วต้องการจะเห็น
อย่าว่าแต่พวกเยี่ยนจ้าวเกอ ยอดฝีมือจากศาสนาพุทธและเผ่าปีศาจสองขุมกำลังใหญ่ที่อยู่ด้านนอกก็กำลังใคร่ส่งพวกมันเข้าสู่การดับสูญใหม่เช่นกัน
เยี่ยนจ้าวเกอกวาดสายตามอง เห็นสวีเฟยกับสือจวินถึงใบหน้าจะแสดงความทรมาน ทว่ายังส่ายหน้าอย่างแช่มช้าและแน่วแน่
“ข้าจริงใจยิ่ง…” ขณะที่มารจิตแรกเริ่มกำลังพูดอยู่ จู่ๆ เสียงก็ชะงักเล็กน้อย
เยี่ยนจ้าวเกอจิตใจสั่นไหวเล็กน้อย รู้สึกได้ในฉับพลันเช่นกันว่าสภาพแวดล้อมของโลกภายนอกคล้ายเกิดการเปลี่ยนแปลง
พวกเยี่ยนตี๋กับเกาชิงเสวียนที่อยู่บนดาดฟ้าเรือเทพ สีหน้าแปรเปลี่ยนพร้อมกัน
พลังงานอันน่าตกตะลึงถึงขีดสุดปรากฏขึ้นกลางมิติไร้สิ้นสุดในโลกภายนอก แสงสีทองสาดส่อง บัวเขียวเบ่งบาน เสียงสวดมนต์อันยิ่งใหญ่กังวานดังขึ้น สั่นสะเทือนฟ้าดินไร้สิ้นสุดรอบๆ
ยอดฝีมือทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ไม่ว่าจะเป็นนพยมโลก ศาสนาพุทธ หรือเผ่าปีศาจ การเคลื่อนไหวในวินาทีนี้ล้วนผ่อนช้าลง
เป็นเพราะว่า ณ ขณะนี้พระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง หรือยอดฝีมือที่เทียบได้กับเซียนสวรรค์ชั้นมหาชาลผู้หนึ่งมายังที่นี่!
อีกทั้งเป็นพระพุทธเจ้าที่มีพลังแข็งแกร่งสุดขีดองค์หนึ่งมาถึง แม้แต่อนุเทวะเผ่าปีศาจระดับสุดยอดเช่นฝูลัวจื่อก็มีสภาวะอ่อนด้อยลง
นอกจากจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋ที่ถูกคนสะกดไว้แล้ว ยอดฝีมือชั้นมหาชาลในขุมกำลังอื่นๆ อีกคนหนึ่งก็เข้ามาสอดมือ
พวกเกาชิงเสวียนเห็นท่าไม่ดี ควบคุมกระบี่พุ่งทะยานต่อ หมายหนีออกห่างจากอีกฝ่าย หากแต่แสงพุทธที่กระจ่างใสเหมือนเครื่องเคลือบได้ครอบคลุมลงมาแล้ว
แสงสว่างนั้นเหมือนกับคงอยู่ทุกที่ ไม่มีที่ใดที่ไปไม่ถึง ก้าวข้ามนิยามของกาลเวลาและมิติช่องว่าง ต่อให้กระบี่ยักษ์สีแดงก่ำจะเคลื่อนที่ในมิติเวลาเร็วอย่างไร ก็ถูกแสงพุทธโจมตีโดน!
เหมือนกับมีมือยักษ์ที่พุ่งลงจากฟ้าตบใส่กระบี่แสงสีแดงก่ำ ขณะที่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ลำแสงสีแดงก่ำก็แตกสลายกระจายไปรอบๆ!
พริบตาที่กระทบถูก ภาพตรงหน้าทุกคนก็เปลี่ยนเป็นมายา เห็นบนบัวเขียวปรากฏร่างทองของพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มียี่สิบเศียร สิบแปดกร แยกถือพาหุรัด กรด กระถางดอกไม้ ไส้ปลา วัชรปลุกเสก ตะไบวิเศษ บาตรทอง ธนูทอง ง้าวเงิน และธง บนศีรษะเป็นสีทองอร่าม มีเกล็ดปลาเมฆทอง ตะเกียงน้ำมันใบหนึ่งวางบนเมฆสีทอง ในไฟตะเกียงยังมีสารีริกธาตุ
“นะโมพุทธวิชัยยะ!” เฟิงอวิ๋นเซิงน้ำเสียงซับซ้อน