ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1464 โชคดีในโชคร้าย
เยี่ยนจ้าวเกอกระโดดออกมาจากในกรงขังเพลิงสีดำ ฝ่ามือพลิกรองเปลวเพลิงสีเหลี่ยมจัตุรัสกลุ่มหนึ่ง เขาใช้นิ้ววาดภาพกลางอากาศ ลำแสงหลายสายทิ้งร่องรอยไว้กลางอากาศ คงอยู่เนิ่นนานไม่ดับลง
ลำแสงตวัด เกิดเป็นกรงขังกรงหนึ่ง ปิดล้อมเพลิงสีดำ จากนั้นก็ผนึก
“ว่าอย่างไร” เฟิงอวิ๋นเซิงถาม
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “จะไม่ให้เศษสวะตัวนี้ตายดี”
เขาไม่ได้สูญเสียความมีเหตุผลไปเพราะความโกรธจริงๆ ต่อจากนี้จะทำอย่างไรก็มีความคิดแล้วเช่นกัน
ทว่าในใจของเยี่ยนจ้าวเกอมีเพลิงโทสะสุมอกอยู่
ก่อนหน้านี้คิดสร้างปัญหาให้อีกฝ่ายมาโดยตลอด ครั้งนี้ในที่สุดเฉินเฉียนหัวก็ตกมาอยู่ในมือตัวเอง เยี่ยนจ้าวเกอไหนเลยจะปล่อยไปง่ายๆ
“ข้าจะทำให้มันเสียใจว่าเกิดมาทำไม” เยี่ยนจ้าวเกอสายตาเย็นเยียบ
“มันสมควรรับโทษแล้ว” เฟิงอวิ๋นเซิงพยักหน้า
ในตอนที่นางกำลังมาถึงแล้วจับเฉินเฉียนหัวไว้ ยังไม่ทราบสถานการณ์ทางด้านสวีเฟยกับสือจวิน ดังนั้นจึงจับอีกฝ่ายไว้ก่อน
แต่ว่าเจตจำนงดาบอันชั่วร้ายจากหุบเหวโกลาหลสูญพอฟันลงก็ทำลายสรรพมรรคาสรรพวิชา เฟิงอวิ๋นเซิงทำลายพลังฝึกปรือรากฐานทั้งหมดของเฉินเฉียนหัว กำจัดความเข้าใจในหลักการวรยุทธ์มากมายทิ้ง ไม่ปรานีแม้แต่น้อย
ต่อมาก็ละเว้นชีวิตเฉินเฉียนหัว แต่ก็เพื่อให้เยี่ยนจ้าวเกอจัดการ
ขณะนี้ถึงแม้ไม่ทราบว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะจัดการเฉินเฉียนหัวอย่างไร แต่เฟิงอวิ๋นเซิงก็เพียงกล่าวว่าสมน้ำหน้า
นางกังวลถึงปัญหาอีกอย่างมากกว่า “ทางด้านศิษย์พี่สวีมีความหวังจริงๆ หรือ”
“ถ้าข้าคาดไว้ไม่ผิด สมควรยังมีหวัง” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยเสียงทุ้ม
เฟิงอวิ๋นเซิงถามด้วยความหวาดวิตก “ศิษย์พี่สวีกลืนมุกผ่าดิน กระตุ้นอาคมผนึกมาร สะกดสังหารมารดินโบ่ว ส่งมันสู่การดับสูญ แต่ถึงแม้ท่านจะใช้ลายมือแห่งแผ่นดินติดไว้ ศิษย์พี่สวียังคงไม่ใช่ร่างวิญาญดินโบ้วกี่ มุกผ่าดินแม้แฝงปราณวิญญาณดินโบ่ว แต่กลับสะกดปราณวิญญาณดินโบ่วได้ดีที่สุด อาจก่อเกิดการทำลายขนาดใหญ่”
คนอื่นๆ อาจไม่ทราบว่าเยี่ยนจ้าวเกอคิดอะไร
ทว่าในตอนที่เฟิงอวิ๋นเซิงได้ยินเยี่ยนจ้าวเกอบอกให้ไปยังแดนสุขาวดีบัวขาว ก็เข้าใจในทันที
ความหวังของเยี่ยนจ้าวเกออยู่ที่ซุนหงอคง มหาเทวะเสมอฟ้าผู้ถูกสะกดอยู่ใต้เขาเบญจคีรี ในแดนขวางกั้นแห่งแดนสุขาวดีบัวขาว!
มหาเทวะเสมอฟ้าเคยบอกว่าต้องการให้ปีศาจวานรที่เป็นเผ่าเดียวกับเขา หรือคนที่ร่างแฝงวิญญาณดินโบ่วกี้มารับกายทองของเขา ช่วยให้เขาหลุดจากการคุมขัง
ดังนั้นพอเยี่ยนจ้าวเกอบอกว่าจะไปแดนสุขาวดีบัวขาว เฟิงอวิ๋นเซิงก็คิดถึงเหตุผลข้อนี้ทันที
เพียงแต่ว่านางมีความลังเลอยู่บ้าง
สวีเฟยที่กลืนมุกผ่าดิน สังหารมารดินโบ่ว ไม่ใช่คนที่ร่างแฝงวิญญาณดินโบ่วกี้ ต่อให้เพิ่มลายมือแห่งแผ่นดินเข้าไปก็ยังไม่ใช่ ไม่อย่างนั้นเมื่อครู่นางคงคิดถึงวิธีนี้ออกทันที
ก่อนหน้านี้เยี่ยนจ้าวเกอบอกให้ไปยังแดนสุขาวดีบัวขาว เฟิงอวิ๋นเซิงไม่ได้กล่าวอะไรมากความก็ออกเดินทางทันที ทว่าในใจจะมากจะน้อยก็ยังมีความไม่มั่นใจอยู่บ้าง ดังนั้นจึงถามเยี่ยนจ้าวเกอขณะเดินทาง
“มิผิด หากว่ามีแค่นี้คงไม่มีผลจริงๆ” เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ออกแรง ปล่อยให้เฟิงอวิ๋นเซิงเป็นคนนำไป เขานำรูปสลักหินที่เกิดจากตัวสวีเฟยออกมา
ยามมองรูปสลักหินสีเทาอมเขียว เยี่ยนจ้าวเกอระมัดระวังยิ่ง หลังจากศึกษาอย่างละเอียด จึงยื่นนิ้วออกมาสลักตราทิ้งไว้กลางหลังรูปปั้นหินที่เกิดจากตัวสวีเฟย
ลวดลายยันต์อาคมที่โบราณและซับซ้อนสายหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังรูปปั้นหิน จากนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็ยื่นมืออกมากดลงบนลายมือแห่งแผ่นดิน
มีแสงจางๆ ลอยขึ้นบนลายมือแห่งแผ่นดิน ก่อนจะเริ่มซึมเข้าไปในรูปสลักหิน
“ยันต์อาคมนี้?” เฟิงอวิ๋นเซิงมองดู สีหน้าฉายแววใคร่รู้ “ความเก่าแก่เข้มข้นยิ่ง…”
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “เกิดมาพร้อมกับฟ้า แพร่หลายมาหายปี หลังจากยุคโบราณตอนต้นก็ถูกวังเทพเก็บไว้ ภายหลังสูญหายไปเพราะวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ถึงหอเก็บหนังสือวังเทพจะพินาศไปแล้ว แต่ว่าพวกเรามีโชคไม่เลว ข้าขุดค้นต์อาคมนี้มาจากในตำหนักโอสถ”
เยี่ยนจ้าวเกอถอนใจคำหนึ่ง “จะบอกว่าโชคดีก็ไม่ได้ หากไม่เกิดเรื่องในวันนี้ ยันต์นี้คงถูกข้าเก็บไว้บนชั้น ในตอนที่พบก็ไม่ได้ใส่ใจมาก”
“ยันต์อาคมนี้สามารถช่วยศิษย์พี่สวีได้?” เฟิงอวิ๋นเซิงใบหน้าทอแววยินดี
“ก่อนหน้านี้ข้าศึกษาหลักการด้านใน รู้สึกว่าลองดูได้” เยี่ยนจ้าวเกอตอบ “ดูจากตอนนี้ การคาดการณ์ก่อนหน้าไม่ผิดพลาด ในที่สุดเราก็พอจะหายกังวลได้ครึ่งหนึ่ง”
เฟิงอวิ๋นเซิงมองรูปสลักหิน เหมือนนึกอะไรออก “จำได้ว่าครั้งนั้นมหาเทวะเสมอฟ้าบอกว่า หากต้องการรองรับกายทองของเขาจำต้องมีพลังฝึกปรือถึงระดับหนึ่งถึงจะใช้ได้ ไม่อย่างนั้นต้องใช้คนมาก”
ระดับพลังฝึกปรือของสวีเฟย หรือร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกของเยี่ยนจ้าวเกอ ไปจนถึงพ่านพ่าน ล้วนมีไม่พอ
ระดับพลังฝึกปรือไม่พอ จำนวนเองก็มีน้อย สมควรไม่ประสบความสำเร็จ
“กระนั้นตอนนี้ พอผสานพลังวิญญาณส่วนหนึ่งของมุกผ่าดินกับลายมือแห่งแผ่นดิน แม้ศิษย์พี่สวีจะกลายเป็นรูปสลักหิน ทว่าบางทีอาจมีความหวังรับกายทองของมหาเทวะเสมอฟ้า?” เฟิงอวิ๋นเซิงถาม
เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะเอ่ยขึ้น “ข้าหาวิธีติดต่อกับร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกแล้ว อีกเดี๋ยวให้มันนำพ่านพ่านมาพบกับพวกเรา เมื่อเป็นแบบนี้อาจมีความหวังเพิ่มหลายส่วน”
เขามองรูปสลักหินตรงหน้าเงียบๆ ผิวรูปสลักหินแม้จะหยาบ แต่ยังคงสมจริงราวกับมีชีวิต เห็นใบหน้าของสวีเฟยได้รำไร
“ถ้าหากทำสำเร็จ ครั้งนี้ศิษย์พี่สวีอาจมีโชคดีในโชคร้าย” เฟิงอวิ๋นเซิงปลอบ
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวเสียงเบา “ถึงจะกล่าวเช่นนี้ อย่างไรก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นความตาย ยากจะคาดเดาได้ ถ้าไม่ใช่เช่นนี้ ข้าไหนเลยไม่คิดใช้ความสะดวกของวิธีนี้เพื่อช่วยมหาเทวะออกมา”
“ขอให้ฟ้าคุ้มครองศิษย์พี่สวี” เฟิงอวิ๋นเซิงกล่าว เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า
คนทั้งสองเหาะเหน ระหว่างนี้หยุดนิ่งสักพัก
ครู่ต่อมา ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกของเยี่ยนจ้าวเกอก็กระพือปีกมาถึง
พอมาถึงใกล้ๆ ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกก็แบมือ กลางฝ่ามือมีแสงกะพริบ สิ่งที่มีขนสีขาวตัดดำ กลมปุกชิ้นหนึ่งพุ่งเข้าหาเยี่ยนจ้าวเกอ
เยี่ยนจ้าวเกอยื่นมือคว้าหนังคอ และยกพ่านพ่านที่พุ่งมาขึ้นพร้อมกล่าวอย่างไม่พอใจ “เจ้าตัวขี้เกียจ ทำตัวดีๆ หน่อย”
หลังรวมกลุ่มกับร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกที่พาพ่านพ่านมาแล้ว พวกเยี่ยนจ้าวเกอก็เดินทางต่อทันที
ไม่ทันไร พวกเขาก็เข้าใกล้เขตของแดนสุขาวดีบัวขาวอีกครั้ง
“ครั้งนี้ไม่มียุทธวิชัยพุทธะมาสร้างความวุ่นวาย เกรงว่าแดนสุขาวดีบัวขาวจะตอบสนองอย่างรวดเร็ว พวกเรามีเวลาจำกัด” เฟิงอวิ๋นเซิงว่า
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “มารดินโบ่วดับสูญอีกครั้ง เหล่ามารตัดใจ คิดถอยกลับนพยมโลก หากไม่ง่ายดายปานนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสสำนักเต๋าของเรา หรือผู้ยิ่งใหญ่ในศาสนาพุทธ และเผ่าปีศาจ ขณะนี้ต่างก็พัวพันเหล่ามารจากนพยมโลก ไม่อาจแบ่งสมาธิมาดูแลทางได้นี้ได้อย่างรวดเร็ว แต่พวกเราก็ยังคงต้องระวัง”
แดนสุขาวดีบัวขาวยังคงต่อสู้กับโถงเซียนอย่างดุเดือด
แต่ถ้าหากในท้องที่เกิดการเคลื่อนไหวใหญ่โตเกินไป ยากจะไม่ดึงดูดความสนใจของยอดฝีมือพุทธปลอมส่วนหนึ่ง
“ข้าช่วยปิดบังอำพรางให้ท่าน ท่านไปแดนสุขาวดีโดยตรง รีบไปรีบกลับ” เฟิงอวิ๋นเซิงว่า
“เจ้าระวังตัวด้วย” เยี่ยนจ้าวเกอยกรูปสลักหิน ถอนใจออกยาวๆ จากนั้นก็มุ่งไปด้านหน้าอย่างแน่วแน่ “พวกเราไป!”