ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1495 พายุพัดโหมอัสนีคำราม
เงาร่างที่สูงใหญ่นั้นเป็นร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกของเยี่ยนจ้าวเกอ พ่านพ่านติดตามด้านหลังมันอย่างเงียบๆ ไม่เห็นลักษณะเกียจคร้านอย่างเดิม กลับแสดงกลิ่นอายบ้าคลั่งดุร้ายออกมาด้วยซ้ำไป
มันเป็นสัตว์วิญญาณที่เยี่ยนจ้าวเกอเลี้ยง สามารถรับรู้จิตใจของผู้เป็นนายได้ในระดับหนึ่ง
ประตูของเรือนน้อยเปิดเองโดยไร้ลม ร่างของสวีเฟยเดินออกมาจากด้านใน ไม่ถามว่าเรื่องอะไร ไม่ถามว่าไปไหน เพียงพยักหน้า “ได้”
“พวกเราเดินพลางพูดพลาง” ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกของเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้รีบอธิบาย ความเชื่อใจระหว่างพวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่จำเป็นต้องพูดมากอยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้ได้แจ้งคนอื่นๆ ก่อนแล้ว สองคนหนึ่งตัวออกเดินทางทันที ผละจากมรกตท่องฟ้า ไปจากจักรวาลฟ้าฟื้น เข้าสู่จักรวาลไร้สิ้นสุดนอกเขตแดน
หลังจากข้ามมิติเวลาหลายชั้น พวกเขาก็รวมกับเยี่ยนจ้าวเกอร่างจริง
“ศิษย์พี่สวี” เยี่ยนจ้าวเกอมองสวีเฟยที่ติดตามมากับร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก พยักหน้าเล็กน้อย
ขณะนี้กลิ่นอายของสวีเฟยยังไม่มั่นคงอยู่บ้าง ทว่ามองไปเหมือนโรคร้ายเริ่มดีขึ้น
ระหว่างที่มายังที่นี่ สวีเฟยได้ทราบเรื่องแล้ว ยามนี้เห็นเยี่ยนจ้าวเกอร่างจริงก็เพียงกล่าวแค่หนึ่งประโยค “ในเมื่อต้องไป เช่นนั้นก็ให้เร็วที่สุดเถอะ”
เป็นไปได้ว่าโถงเซียนจะใช้เฮ่อเหมี่ยนเป็นหลุมพราง ล่อให้คนในสำนักเต๋ากินเบ็ด
ในเมื่อฝ่ายตนตัดสินใจจะลงมือ เช่นนั้นลงมือยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น เวลายิ่งลากถ่วงไปนาน การเตรียมตัวของศัตรูก็ยิ่งเต็มเปี่ยมขึ้น
“เป็นตอนนี้” เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะอย่างสงบนิ่ง “พวกเราไป”
เขาทางหนึ่งพูด ทางหนึ่งวูบไหวร่าง ถูกประกายกระบี่สีแดงก่ำครอบคลุม จากนั้นม้วนร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก สวีเฟย และพ่านพ่านหายไปจากความว่างเปล่าในชั่วพริบตา
ประกายกระบี่สีแดงก่ำเคลื่อนไหว ข้ามมิติเวลาหลายชั้น ตรงหน้าค่อยๆ ปรากฏสิ่งที่ดูเหมือนกับ ‘กำแพง’
ไม่รอเข้าใกล้ เยี่ยนจ้าวเกอสัมผัสได้ว่า มีพลังอันแข็งแกร่งตั้งอยู่ ครอบคลุมท้องฟ้าในจักรวาล
“ถึงแล้ว” ประกายกระบี่สีแดงก่ำหายไป เยี่ยนจ้าวเกอโผล่ขึ้นมา มองดูจักรวาลตรงหน้าพลางพึมพำ
จักรวาลที่โถงเซียนครอบครอง ก่อนหน้านี้เขาเคยมาแล้ว แต่ว่าตอนนั้นสงครามสงบ เส้นทางนอกรีตสองแห่งกำลังฟื้นฟูกำลัง ถึงแม้ว่าใกล้ๆ ชายแดนจักรวาลวาลสองแห่งจะมีความขัดแย้งไม่หยุด แต่โดยรวมแล้วยังนับว่าสงบสุข
ตอนนี้สองฝ่ายกำลังสู้กันดุเดือด ยอดฝีมือนับไม่ถ้วนรวมตัวกัน สู้กันชนิดพลิกคว่ำฟ้าดินแทบจะตลอดเวลา
เยี่ยนจ้าวเกอมองทุกอย่างนี้อย่างเรียบเฉย ฝีเท้าไม่หยุดลง มุ่งไปด้านหน้าต่อ เริ่มขบคิดว่าจะเข้าไปจากทางไหน
แต่ว่าวันนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนจริงๆ ไม่รอให้เขาเข้าไปในจักรวาลโถงเซียน ก็มีแสงวิเศษไหลเวียนอยู่ด้านใน ป้องกันผู้มาจากภายนอกที่เข้าใกล้อย่างพวกเขาแล้ว
ต่อจากนั้นก็มีเงาคนปรากฏจากด้านใน
“ผู้มาเป็นใคร” ในเสียงทุ้มต่ำ ตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอปรากฏจอมยุทธ์โถงเซียนสองคน
แต่ว่ายังไม่รอให้สองฝ่ายเห็นรูปร่างกันชัด เยี่ยนจ้าวเกอก็โบกมือวูบหนึ่ง
ร่างของจอมยุทธ์โถงเซียนสองคนที่ดูเหมือนอยู่ระหว่างเมฆบางลมอ่อน ระเหยหายไปจากด้านในความว่างเปล่า
เยี่ยนจ้าวเกอยื่นฝ่ามือออกมาทาบบนแสงวิเศษนั้น ส่วนฝ่ามืออีกข้างหนึ่งปล่อยหนึ่งกำปั้น ม่านแสงที่ประกอบจากแสงวิเศษเริ่มบิดเบี้ยว ค่อยๆ ถูกฉีกออกเป็นช่องว่าง
มองลอดช่องว่างนั้นเข้าไปจะเห็นดวงดาวเป็นประกาย โลกที่ยิ่งใหญ่ใบแล้วใบเล่า เวลานี้ปรากฏอยู่ตรงหน้าตนราวหมู่ดาวสว่างไสว แสงวิเศษหลายสายพุ่งสู่ฟ้า ไม่ทราบมาจากตรงไหน
เยี่ยนจ้าวเกอต้องการไปด้านหน้า ในความว่างเปล่าอันมืดมิดด้านหลัง มีแสงดาวสว่างขึ้น ยิ่งมายิ่งละลานตา เข้ามาจากที่ไกล หลังเข้าใกล้แล้วก็เหมือนกับดวงอาทิตย์โชติช่วง
อีกฝ่ายรุดมาด้วยความเร็วทั้งหมด หลังมาถึงแล้วความเร็วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเชื่องช้า จากนั้นแสงอาทิตย์ก็หายไป
ดวงอาทิตย์เหมือนกับหายไปในความว่างเปล่าอันมืดมิด ทว่าจักรวาลยังคงสว่างไสว
คนหนุ่มอาภรณ์ดำคนหนึ่งปรากฏกายจากในแสงอาทิตย์ เป็นราชันพระอาทิตย์เกาหาน
“ราชันพระอาทิตย์ร้ายกาจนัก” เยี่ยนจ้าวเกอไม่หันหลัง เอ่ยเรียบๆ “นี่ยังหาข้าผู้แซ่เยี่ยนเจออีก?”
“ข้าไม่ได้คิดทำเช่นนี้” เกาหานถอนใจกล่าว “ข้าผู้แซ่เกาอยู่ใกล้ๆ พอดี จึงรุดมาทัน”
“มาทันหรือ” ในที่สุดเยี่ยนจ้าวเกอก็หมุนตัวมามอง ดวงตาราบเรียบไร้อารมณ์ ไม่ทราบว่ายินดีหรือมีโทสะ
เกาหานเห็นดังนั้น จิตใจกลับเคร่งเครียดลงหลายส่วน
เขารู้สึกว่าตนกำลังยืนอยู่ตรงหน้าภูเขาไฟมีชีวิตที่กำลังจะปะทุลูกหนึ่ง
ตอนนี้ยิ่งสงบนิ่งเท่าไร ภายหลังยิ่งรุนแรงเท่านั้น
“เรื่องเกี่ยวกับมารน้ำกุ่ย มารดินโบ่ว และมารทองแก ข้าทราบหมดแล้ว” เกาหานกล่าวขึ้นก่อน “ครั้งนี้ข้ามีภารกิจติดตัว ไม่อาจลงมือ รบกวนสหายร่วมเส้นทางทุกท่านต้านทาน ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย”
เยี่ยนจ้าวเกอน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านรอบคอบมองการณ์ไกล มีแผนการของตัวเอง ที่แล้วมาข้าผู้แซ่เยี่ยนทราบดี คิดทำเรื่องใด หลายๆ ครั้งโอกาสหากไม่คว้าไว้ก็จะหายไป เสียเวลาไม่ได้ ทั้งไม่อาจผละมา เป็นเรื่องที่ปกติยิ่ง ราชันพระอาทิตย์ไม่จำเป็นต้องขอโทษ”
เกาหานถอนใจ “โถงเซียนเผชิญแดนสุขาวดีบัวขาว ไม่มีเวลารับมือ แดนสุขาวดีตะวันตกกลับยังมีพระพุทธเจ้าคอยเฝ้า ข้าทราบว่าท่านได้รับผลประโยชน์เพราะช่วยให้มหาเทวะเสมอฟ้าหลุดจากการจองจำ แต่ว่ากายทองระดับเซียนกำเนิดร่างหนึ่งยังคงไม่มากพอจะช่วยท่านโจมตีโถงเซียน ต่อให้นั่นจะเป็นกายทองของที่มหาเทวะได้ทิ้งเอาไว้ และมหาเทวะไร้ประมาณไม่ลงมือก็ตาม”
“ราชันพระอาทิตย์ ถ้าท่านไม่คิดจะช่วยข้า เช่นนั้นก็คอยดูอยู่ด้านข้างก็พอ” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างสงบนิ่ง “หรือท่านคิดช่วยเส้นทางนอกรีต”
“แน่นอนว่าไม่” เกาหานส่ายหน้า “เพียงแต่ขอให้ท่านพิจารณาดู”
เขามองเยี่ยนจ้าวเกอ “ข้าทราบว่าท่านไม่เชื่อข้า แต่ครั้งนี้ข้าไม่ได้เชื้อเชิญท่านลงมือจริงๆ ตอนนี้การต่อสู้ของเส้นทางนอกรีตสองฝ่ายยังไม่จบลง หากยึดตามสภาวะในปัจจุบัน สงครามดำเนินไปมากกว่าร้อยปีก็ไม่น่าแปลก โถงเซียนตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบกลับไม่หมดหวัง ย่อมต้องใส่พลังสมาธิเข้าไปในการต่อต้านศาสนาพุทธเส้นทางนอกรีต ยากจะมีความคิดมาสนใจพวกเรา เรื่องของสหายน้อยเนี่่ยกับสหายน้อยอวี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายจริงๆ ถ้าไม่ใช่ศิษย์ของอวิ๋นเจิ้งเผยความลับ ก็คงไม่เป็นแบบนี้ สภาพในปัจจุบันเหมาะให้พวกเราเคลื่อนไหว หาประโยชน์มากที่สุด สถานการณ์แบบนี้ยิ่งดำเนินนานเท่าไร ยิ่งเป็นผลดีกับสำนักเต๋าสายหลักของพวกเราเท่านั้น แม้ว่าจะลงมือก็สมควรเชื่อมอ่อนแอต่อต้านเข้มแข็ง จะได้รักษาสถานการณ์ในปัจจุบันได้ง่ายกว่าเดิม การเล็งเป้าหมายไปที่โถงเซียนอาจทำให้สถานการณ์สูญเสียการควบคุม ไถลไปยังหุบเหวลึกไหนไม่ทราบ คนฉลาดไม่ควรทำ”
เกาหานปั้นสีหน้าจริงจัง กล่าวอย่างจริงใจ “การณ์ใหญ่ต้องมาก่อน ขอให้ท่านอย่ากระทำโดยใช้อารมณ์ ข้าไม่ได้กล่าววาจาเลื่อนลอย ท่านได้โปรดตามข้ามา มีค่าตอบแทนมากมายชดเชยให้ ไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน”
เกาหานเชื่อถือไม่ได้ แต่ที่แล้วมาเวลาทำอะไรล้วนยอดเยี่ยม ค่าตอบแทนที่เขาว่าย่อมไม่เบาแล้ว ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอไม่สนใจ
“ราชันพระอาทิตย์ท่านมีการปรึกษาอะไรกับแดนสุขาวดีตะวันตก ข้าไม่ก้าวก่าย” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างเรียบเฉย “แต่ว่าวันนี้เฮ่อเหมี่ยนต้องตาย ทำแบบไหนจะได้ประโยชน์มากที่สุด ข้าเข้าใจดี ไม่ต้องให้ราชันพระอาทิตย์ท่านมาสั่งสอน แต่ว่าบนโลกนี้มีเรื่องบางเรื่องที่ไม่อาจดูแค่ได้หรือเสียผลประโยชน์”
เกาหานขมวดคิ้ว “ถึงท่านจะดูกล้าหาญบุ่มบ่าม แต่ที่แล้วมาเป็นคนมีเหตุผลและเยือกเย็น เรื่องราวเกิดขึ้นแล้ว ท่านสังหารเฮ่อเหมี่ยนไปก็เอาอะไรกลับมาไม่ได้…”
เยี่ยนจ้าวเกอตัดบทของเขา กล่าวตรงๆ ว่า “ในอดีตตอนอยู่บนโลกซ้อนโลก ศิษย์พี่เนี่ยเดิมมีความสามารถเลื่อนสู่ระดับประมุข แต่เพื่อเหลือที่ว่างในการเคลื่อนไหวแก่พวกเราสองพ่อลูก จึงกดตัวเองให้อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้ามาโดยตลอด จนกระทั่งให้หลังเฉินเฉียนหัวคิดเปลี่ยนไปรับตำแหน่งประมุขทักษิณเพราะมุ่งร้ายแก่บิดา เขาจึงค่อยก้าวสู่ระดับประมุข เป็นกระบี่ห้อยอยู่ที่ฟ้าทิศใต้ ช่วยเหลือบิดาข้ากันเฉินเฉียนหัวออกจากทิศใต้ หวังเจิ้งเฉิง กานหยวนจื่อ จักรพรรดิแพรอาภรณ์ดำร่วมมือกันสร้างความลำบากแก่เขากว่างเฉิง ยิ่งต้องการไล่ล่ามารดาข้า อาจารย์ลุงเยว่ยังไม่กลับโลกซ้อนโลก เป็นศิษย์พี่เนี่ยลงมือช่วยเหลืออีกครั้ง ใช้ร่างมนุษย์เซียนตรึงกานหยวนจื่อที่เป็นเซียนจริงแท้เอาไว้เพื่อพวกเราพ่อลูก ครั้งนี้เผชิญกับการคืนชีพของมารดินโบ่วและมารน้ำกุ่ย ศิษย์พี่เนี่ยกับศิษย์พี่อวี่ช่วยเหลือโดยไม่คิดชีวิต จึงทำให้ศิษย์หลานแม่ลูกที่เป็นสหายร่วมสำนักของข้าเปลี่ยนอันตรายเป็นปลอดภัยได้ แต่ถ้าไม่ใช่เช่นนี้ ศิษย์พี่เนี่ยก็ไม่ถึงกับเสียท่ามารทองแก”
เขากล่าวฉะฉาน น้ำเสียงราบเรียบดุจสายน้ำ คล้ายกับว่าเรื่องที่บอกเล่าไร้ความสำคัญ
ทว่าในความสงบนิ่งกลับทำให้คนหวาดกลัว
“ตอนนี้เขาเกิดเรื่องแล้ว ท่านขอให้ข้าคิดถึงเหตุผล?” เยี่ยนจ้าวเกอหันหน้ามา ในที่สุดสีหน้ากับน้ำเสียงก็เปลี่ยนแปลง ไม่สงบนิ่งเหมือนเดิมอีก
เพลิงโทสะหลังจากที่ทราบเรื่องและกดข่มไว้มาตลอด ตอนนี้ระเบิดออกมาหมดสิ้น!
เขามองเกาหานอย่างเย็นชา สายตาเหมือนธารน้ำแข็งพังทลาย วินาทีก่อนสงบเงียบไร้คลื่น วินาทีต่อมาเหมือนน้ำซัดฟ้าแหลกสลาย
“ถ้าท่านไม่หลีกไป เช่นนั้นข้าก็จะจัดการท่านก่อน! สิทธิ์ในการเลือกอยู่ที่ท่าน ตอนนี้ข้ามีเหตุผลมากพอแล้วหรือยัง?”
ในเสียงคำราม บุปผาแสงสายหนึ่งผุดขึ้นบนศีรษะของเยี่ยนจ้าวเกอ ในบุปผาแสงปรากฏร่างของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก
ร่างแยกสมุทรสุขอบโลกงอเอว บนไหล่ขวาพลันมีแสงสีทองพุ่งขึ้นฟ้า
แสงสีทองตัดกัน วานรยักษ์ตัวหนึ่งใส่มงกุฎทองปีกหงส์ ใส่ชุดเกราะทอง สวมรองเท้าใยบัว เงยหน้าส่งเสียงคำราม
ปราณปีศาจที่ไม่สนใจกฎเกณฑ์ กระทำตามความต้องการของตัวเอง ขณะนี้ไหลเชี่ยวกลางฟ้าดิน!
กรงเล็บปีศาจขนาดมหึมาคว้าใส่อากาศ คว้าเงาร่างสองสาย คนหนึ่งเป็นจ้าวสวรรค์อัสนีเขียว อีกคนหนึ่งเป็นนักพรตวัยกลางคนที่ฝึกฝนเมฆเขียวแห่งเมิ่งเจ่อผู้นั้น
จ้าวสวรรค์เส้นทางนอกรีตสองคนถูกวานรจับไว้ในฝ่ามือ
พอเห็นภาพของโลกจำนวนมากในโถงเซียน นักพรตวัยกลางคนก็แตกตื่นสงสัย “ถึงกับกล้ามาแล้ว?”
จ้าวสวรรค์อัสนีเขียวตวาด “ต่อให้ข้าตาย วันนี้เจ้าก็ต้องไปเป็นเพื่อนข้า…”
เขายังพูดไม่ทันจบ วานรกยักษ์ประกบสองมือเข้าหากันหน้าทรวงอกแล้ว!
ตบเซียนกำเนิดเส้นทางนอกรีตสองคนให้กลายเป็นเนื้อเหลว
จากนั้นวานรยักษ์ตัวนี้ก็เขวี้ยงมือสองข้าง กระแทกซากศพของจ้าวสวรรค์เส้นทางนอกรีตสองคนเข้าไปในจักรวาลโถงเซียน
ต่อมามันก็ตีลังการอบหนึ่ง กระโดดเข้าไปในดินแดนของโถงเซียน สถานที่ที่เท้าเหยียบย่ำ โลกหล้าสั่นสะเทือน หมู่ดาวพังทลาย!
แสงหลายสายสว่างขึ้น ตัดกันเหมือนกับกรงขัง ต้องการจองจำวานรยักษ์
มันยื่นมือออกมาช้อนขึ้น กระบองสีทองท่อนหนึ่งเคลื่อนไหวในแสงสว่าง กวาดล้างจักรวาล
กระบองพอสะบัด ก็ทำลายแสงดาวหลายสายพินาศ
ความว่างเปล่าไกลออกไปเปิดออก ปรากฏเงาคนสายหนึ่ง
กลับเป็นจ้าวสวรรค์ของโถงเซียนอีกคนหนึ่งที่ก่อนหน้ารีบเร่งรุดมาจากสถานที่อื่น เพราะสัมผัสได้ว่าเยี่ยนจ้าวเกอทำลายปราการจักรวาลโถงเซียนทะลวงเข้ามา
“ปีศาจจากที่ใด…” จ้าวสวรรค์โถงเซียนผู้นี้เพิ่งส่งเสียงตวาด เห็นแสงสีทองตรงหน้าวูบไหว วานรยักษ์ค้ำฟ้ายันดินตัวหนึ่งกระโดดมาถึงหน้าเขาในทันใด
จ้าวสวรรค์ผู้นี้ตกใจ ไม่มีเวลาคิด รีบยกระดับพลังฝึกปรือทั้งหมดสู่จุดสูงสุด
ขณะที่ลมปราณระเบิด บุปผาแสงสองดอกลอยขึ้น ปรากฏขึ้นบนศีรษะของเขา
ระหว่างที่พายุสายฟ้าบังเกิด พลังไร้สิ้นสุดก็รวมตัว ทำให้จ้าวสวรรค์โถงเซียนผู้นี้มีอานุภาพน่าตกตะลึง แสดงอาวุธ ความสามารถสะท้านสี่ทิศ
บนพื้นที่ของโถงเซียนยิ่งมีแสงดาวหลายสายตกลงมาเสริมพลัง ทำให้พลังของเขารุดหน้าขึ้นอีกขั้น
ขณะนี้จ้าวสวรรค์โถงเซียนผู้นี้บรรลุถึงจุดสูงสุดของชีวิต
ทว่าทันใดนั้นเอง วานรยักษ์ก็ง้างกระบองแล้วฟาดมา
เสียงเปรี้ยงดังขึ้น!
บุปผาคู่บนศีรษะระเบิดพร้อมกัน!
แสงดาวทั่วฟ้าแหลกสลาย!
จ้าวสวรรค์โถงเซียนผู้นั้นศีรษะถูกฟาดเข้าไปในคอ ตกตายในพริบตา!