ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1551 กระบี่อยู่ในมือคนมิใช่ไร้เจ้าของ
แสงสว่างหลายสายที่กำเนิดจากกระบี่ลวงเซียนประกอบกันเป็นค่ายกล แสงของค่ายกลพุ่งลงบนชิ้นส่วนตราพลิกฟ้า ชิ้นส่วนตราพลิกฟ้าที่ดูเหมือนสะดุดตานั้นพลันส่องแสงขึ้นมา
แสงมิได้สว่างเท่าใด กลับมอบความรู้สึกหนักอึ้งถึงขีดสุดให้แก่ผู้คน
ตราประทับใหญ่ที่เหมือนกับบขุนเขาบุพกาลปรากฏเป็นเงาแสงมายา ลอยอยู่เหนือกระบี่ลวงเซียน
ยันต์กระดาษที่ติดอยู่บนด้ามกระบี่ลวงเซียนใบนั้นลุกไหม้ขึ้น
เยี่ยนจ้าวเกอกับเกาเสวี่ยพอเห็นดังนั้น ระบายลมหายใจออกยาวๆ ใบหน้าฉายแววยินดี
“สั่ง!” เยี่ยนจ้าวเกอยกมือขึ้น ใช้นิ้วตวัดใส่อากาส กระตุ้นให้ลวดลายค่ายกลหลายสายหุบเข้าไปด้านใน ขณะเดียวกันก็นำยันต์กระดาษสีขาวโพลนออกมา โยนเข้าไปในแสงเพลิง
แสงสว่างของลวดลายค่ายกลที่หดตัวทะลักเข้าไปในเปลวไฟอันเกิดขึ้นจากการเผาไหม้ยันต์กระดาษ หลังจากยันต์กระดาษว่างเปล่าร่วงลงไป กลับมิได้ถูกเผา เกิดเป็นลวดลายส่วนหนึ่ง
รอจนแสงเพลิงค่อยๆ ดับลง ยันต์กระดาษใหม่ใบนี้ก็ลอยออกมาจากในไฟ ถูกเยี่ยนจ้าวเกอคว้า
ตอนนี้เพียงเห็นบนยันต์กระดาษที่ตอนแรกว่างเปล่าปรากฏลวดลายอันงดงามลี้ลับมากมาย กอปรเป็นตราอาคมที่ซับซ้อน
เงาแสงตราประทับขนาดใหญ่ที่เป็นมายาค่อยๆ สลายไป เหลือเพียงชิ้นส่วนตราพลิกฟ้าชิ้นนั้น
กระบี่ลวงเซียนหยุดสั่นสะเทือนเช่นกัน ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ
เยี่ยนจ้าวเกอเก็บชิ้นส่วนตราพลิกฟ้า มองยันต์อาคมในมือ จากนั้นมองกระบี่ลวงเซียนตรงหน้า กล่าวอย่างแช่มช้า “ตอนนี้นับว่ามีจุดเริ่มต้นที่ดี หวังว่าจะราบรื่นเหมือนครั้งก่อน”
“ไม่ทราบว่าตอนนี้เทวกษัตริย์กว่างเฉิงเป็นอย่างไร ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่” เกาเสวี่ยพอเอ่ยขึ้น
เยี่ยนจ้าวเกอถอนใจคำหนึ่ง “มองโลกในแง่ดีอย่างระมัดระวังเถอะ”
เขาหันไปพูดกับอาหู่ “บอกผลลัพธ์กับศิษย์พี่สวี ครั้งนี้ต้องขอให้เขาออกเขาร่วมทางเพื่อความรอบครอบ เรื่องราวก่อนหน้านี้ข้าได้คุยกับเขาแล้ว เขากำลังรอการแจ้งข่าวจากข้าอยู่”
“ขอรับคุณชาย” อาหู่พยักหน้า หมุนกายผละไป
เกาเสวี่ยพอพยักหน้ากล่าว “ข้าจะแจ้งให้ทางมารดาเตรียมตัวเช่นกัน”
ถึงแม้พวกคู่ต่อสู้จะยังคงทำศึกใหญ่ มีการสะกดพลังสมาธิระหว่างกันเอง แต่ว่าการตามหากระบี่ลงทัณฑ์เซียนของจักรวาลฟ้าฟื้นในครั้งนี้ยังจำเป็นต้องยึดความระวังเป็นที่ตั้ง
ในการตามหากระบี่ลวงเซียนครั้งก่อน เป็นเยี่ยนจ้าวเกอใช้วิชาลับที่ตนสร้างขึ้นเป็นครั้งแรก
สำหรับโลกใบนี้แล้ว นี่เป็นวิชาใหม่ที่ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก
ดังนั้นนับว่าทำให้ขุมกำลังอื่นๆ คาดไม่ถึง
ฉวีซูบุตรกระบี่หกวิถีไปตามหา ความจริงเพื่อค้นหากระบี่พุทธะอาจารย์ของเขา มิใช่กระบี่ลวงเซียน
หวังก่วนกับเทวกษัตริย์เภรีแม้นมีความตั้งใจ แต่ว่าพวกเขาเดิมทีไม่มีเบาะแสสำหรับค้นหากระบี่ เป็นการลอบสะกดรอยฉวีซู เผื่อจะโชคดี
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นแดนสุขาวดีบัวขาวหรือว่าโถงเซียน พลังที่ลงไปจึงมีค่อนข้างจำกัด
มหาชาลสามคนน่ากลัวอย่างแท้จริง แต่ว่าด้วยความสามารถของพวกเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนั้นสามารถรับมือได้
แดนสุขาวดีตะวันตกกับเผ่าปีศาจยิ่งไม่ได้เข้าร่วมด้วย
ทว่าหากขุมกำลังอื่นๆ ทราบแต่แรกแล้วว่า พวกเยี่ยนจ้าวเกอจะไปตามหากระบี่ลวงเซียน หนำซ้ำมิใช่ไปเผชิญโชคอย่างหน้ามืดตามัว หากแต่มีเบาะแสที่น่าเชื่อถือจริงๆ เช่นนั้นก็ไม่มีทางนิ่งดูดาย
ณ เวลานี้ การใช้วิชาลับค้นหากระบี่เป็นครั้งที่สองมิได้ก่อให้เกิดผลจู่โจมอย่างฉับพลันเหมือนครั้งนั้นอีกแล้ว
ในสถานการณ์ตอนนี้ ถึงแม้ว่าขุมกำลังของคู่ต่อสู้กำลังต่อสู้กันอยู่ไม่ถึงกับหยุดรบ ไปตามหากระบี่ลงทัณฑ์เซียนพร้อมกัน แต่ก็กำลังที่แบ่งมาเกรงว่าจะมิได้รวบรัดแค่มหาชาลเส้นทางนอกรีตสามคนแล้ว
สำนักเต๋าสายหลักอาศัยโอกาสที่พวกเขาต่อสู้กันเอง กระทำเรื่องราวยิ่งใหญ่อยู่ใกล้ๆ พวกเขาย่อมมองเห็น
การชิงกระบี่ลงทัณฑ์เซียนสามารถกดดันการพัฒนาของสำนักเต๋าสายหลัก ถ้าหากว่าสามารถเข่นฆ่าเล่นงานพวกเยี่ยนจ้าวเกอ ลดทอนพลังทำให้สำนักเต๋าสายหลักอ่อนแอลงได้ พวกเขาก็ยินดีเช่นกัน
สำหรับคนอื่นๆ ปกติแล้วพวกเยี่ยนจ้าวเกอจะเร้นกายไม่ออกไปไหน ซ่อนร่องรอยอย่างระมัดระวัง
ครั้งนี้ออกมาตามหากระบี่ ยากจะไม่เผยร่องรอย เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการจู่โจม
คำว่าวิกฤติ มีทั้งอันตรายและโอกาสอยู่ร่วมกัน
“มารดาทราบเรื่องแล้ว” เกาเสวี่ยพอพูดขึ้นหลังจากติดต่อเกาชิงเสวียน “ตามวิธีการที่ปรึกษากันก่อนหน้านี้ ร่างคู่ของมารดา คนหนึ่งถือกระบี่ลวงเซียนออกเขา อีกคนถือกระบี่ผนึกเซียนอยู่เฝ้าจักรวาลฟ้าฟื้น”
“ยอดเยี่ยนยิ่ง ครั้งนี้พวกเราจะนำกายทองมหาเทวะสามร่างออกไปพร้อมกัน” เยี่ยนจ้าวเกอว่า
เกาเสวี่ยพอถาม “จ้าวสวรรค์เฟิงออกฌานแล้วหรือ?”
‘จ้าวสวรรค์เฟิง’ ที่เขาพูดถึง ย่อมหมายถึงเฟิงอวิ๋นเซิง
ระหว่างเกาเสวี่ยพอกับเยี่ยนจ้าวเกอ เป็นเพราะว่าตี๋ชิงเหลียน จึงสามารถเรียกเยี่ยนจ้าวเกอเป็น ‘ศิษย์หลาน’ ได้ ต่อให้ระดับพลังฝึกปรือของเยี่ยนจ้าวเกอจะเหนือกว่าเขาก็ตาม
ทางเฟิงอวิ๋นเซิงแม้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเยี่ยนจ้าวเกอ แต่พูดถึงการสืบทอดแล้ว ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเกาเสวี่ยพอ
ฟางจุ่นสามารถเรียกเฟิงอวิ๋นเซิงว่า ‘ศิษย์หลานเฟิง’ เกาเสวี่ยพอยามพูดถึงเฟิงอวิ่นเซิง ยังใช้คำเคารพอยู่
ความจริงไม่ต้องพิถีพิถันอย่างเคร่งครัดขนาดนี้ก็ได้ แต่ที่แล้วมาเกาเสวี่ยพอมีนิสัยเอาจริงเอาจังถึงขั้นคร่ำครึไปบ้าง ดังนั้นจึงเคร่งครัดยิ่ง
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “เพิ่งออกฌานเมื่อก่อนหน้านี้ม่นาน ครั้งนี้ยังคงร่วมทางกับพวกเรา”
เกาเสวี่ยพอตอบ “เช่นนี้ประเสริฐสุด”
เยี่ยนจ้าวเกอไปยังที่พักของเฟิงอวิ๋นเซิง ที่นั่นมีแขกมาเยี่ยมเยือน
ตรงข้ามเฟิงอวิ๋นเซิงนั่งไว้ด้วยสตรีกระโปรงเหลืองผู้หนึ่ง หลังจากเห็นเยี่ยนจ้าวเกอ นางก็รีบร้อนลุกขึ้นคารวะ “ใต้เท้ากษัตริย์เยี่ยน”
“แม่นางกวนไม่จำเป็นต้องเกรงใจ” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ผู้มาคือกวนอวี่ลั่ว คนจากอารามคงมายาบนเขาหอเมฆาในแคว้นอุดรแห่งฟ้าเหนือฟ้า หลานสาวของประมุขอุดรแห่งโลกซ้อนโลก ได้รู้จักกับเฟิงอวิ๋นเซิงตั้งแต่อายุน้อย มีความผูกพันกันมาก
หลังจากประมุขอุดรสิ้นชีวิต ตอนนั้นอารามคงมายาบนเขาหอเมฆาได้ติดตามพวกเยี่ยนจ้าวเกอออกจากโลกซ้อนโลก หลายปีมานี้ลงหลักปักฐานบนฟ้าเหนือฟ้า
กวนอวี่ลั่วเด็กสาวที่ในอดีตเป็นโฉมสะคราญ วันนี้เลื่อนสู่ระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ ได้เห็นเทวะสำแดง กลายเป็นยอดฝีมือระดับสูงแห่งเขาหอเมฆา กำลังจะขึ้นสู่สะพานเซียน อีกไม่นานเกินรอ
นางพอเห็นเยี่ยนจ้าวเกอคล้ายมีเรื่องราวต้องการสนทนากับเฟิงอวิ๋นเซิง ก็บอกลาทันที
กวนอวี่ลั่วกับเฟิงอวิ๋นเซิงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ เฟิงอวิ๋นเซิงก็ไม่จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจกับนาง นัดกันว่าครั้งหน้าเจอกันค่อยสนทนากันใหม่ จากนั้นก็มีศิษย์อายุเยาว์ของกว่างเฉิงมาช่วยส่งแขก
“ลงทัณฑ์เซียนหรือว่าสังหารเซียน?” หลังจากกวนอวี่ลั่วจากไป เฟิงอวิ๋นเซิงก็หันไปถามเยี่ยนจ้าวเกอ
“ลงทัณฑ์เซียน” เยี่ยนจ้าวเกอตอบ “สภาพของเจ้าเป็นอย่างไร?”
เฟิงอวิ๋นเซิงใบหน้าสงบนิ่ง “เพียงขาดดาบ”
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “พวกเราเตรียมตัวออกเดินทางเถอะ”
…
ในความว่างเปล่าอันล่องลอย เหมือนกับหลุดพ้นออกมาด้านนอก อยู่เหนือขึ้นไปด้านบน มีสถานที่แห่งหนึ่ง ยากกำหนดตำแหน่ง และยากจะตามหาร่องรอย
ในนี้ดารดาษด้วยดอกไม้วิญญาณและหญ้าประหลาด สัตว์วิเศษนกเซียนกระจายอยู่ทั่ว
ระหว่างน้ำตกอันงดงาม ตั้งไว้ด้วยตำหนักที่ดูธรรมดาหลังหนึ่ง
ในห้องสงบใจธรรมดาๆ ห้องหนึ่งในตำหนัก กลางอากาศมีกระบี่โบราณเล่มหนึ่งลอยกลับหัว
ประกายกระบี่สีเขียวหนาแน่นไหลเวียนบนผิวกระบี่
กระบี่ที่เปล่งแสงสีเขียวพลันสั่นไหวคราวหนึ่ง
ในห้องสงบใจ ดวงตาคู่หนึ่งที่ก่อนหน้าปิดอยู่พลันลืมขึ้น ยื่นมือออกไปจับด้ามกระบี่ “มาแล้ว”
คนผู้นี้เก็บกระบี่โบราณ แล้วผลักประตูห้องออกจากห้องสงบใจ มาถึงด้านนอกตำหนัก
นักพรตผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนปัทมาสน์ดอกบัวเก้าสี มีฉัตรกระเรียนสิบตัดขาด เห็นอีกฝ่ายออกมาก็กล่าวว่า “ระวังตัวด้วย”
ผู้ถือกระบี่ว่า “ข้าทราบดี”
กล่าวจบ เขาก็กลายเป็นลำแสงสายหนึ่ง บินออกจากแดนเซียนแห่งนี้ เข้าไปในความว่างเปล่าไร้สิ้นสุด