ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1559 ปิดฟ้าบังทะเล หอกลวงตา
การแสดงกายทองมหาเทวะแสดงความเกรียงไกรทุกด้าน แต่มิใช่ว่าใช้ได้ทุกที่ทุกเวลา
ก่อนหน้านี้สิ้นเปลืองพลังมากเกินไป ต่อจากนี้ต้องใช้เวลานานถึงจะฟื้นฟูได้ ยิ่งใช้พลังรุนแรงเท่าไหร่ เวลาการดำรงอยู่ก็สั้นเท่านั้น เวลาพักผ่อนก็จะยาวไปด้วย
หลายสิบปีมานี้ ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก สวีเฟย และพ่านพ่านยังคงหลอมเปลี่ยนกายทองมหาเทวะที่รวมกับร่างของตนอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ผลกระทบจากกันและกัน ส่งผลดีต่อการแสดงกายทองมหาเทวะ
แต่ว่าการรวมสามร่างเป็นหนึ่งแสดงร่างแท้จริงของมหาเทวะเสมอฟ้า กับการโบกกระบองสารพัดนึกด้วยตัวคนเดียว ยังคงกินแรงเป็นพิเศษ
“หากทนสงครามนี้ได้ สมควรไม่มีปัญหา” เยี่ยนจ้าวเกอทางหนึ่งพูด ทางหนึ่งเหลือบซ้ายแลขวา ตรวจตราสภาพแวดล้มของท้องทะเลหมอกแสงตรงหน้า
เขาหยิบเลือดเนื้อที่เหมือนกับแขนมนุษย์ออกมา เปลวเพลิงด้านบนผนึกตัวเป็นเส้นเดียว ลุกไหม้ไม่ดับลง แต่ว่ามีกฎเกณฑ์
เยี่ยนจ้าวเกอทิ่มนิ้วใส่เปลวเพลิงเบาๆ
เส้นเพลิงส่ายวูบวาบ สุดท้ายไม่อาจรักษาความมั่นคงได้อีก ขยายออกไปรอบๆ เปลี่ยนเป็นโชติช่วงโหมไหม้ในชั่วพริบตา กลืนกินเลือดเนื้อมือมนุษย์ก้อนนั้นหมดสิ้น
ชิ้นส่วนตราพลิกฟ้าที่ฝังไว้ในเลือดเนื้อส่องแสง ถึงกับเหมือนถูกเผา
เยี่ยนจ้าวเกอผ่อนมือไปด้านหน้าเบาๆ เพลิงโหมไหม้ลอยขึ้น ลอยเข้าไปในหมอกแสงที่เหมือนกับท้องทะเลตรงหน้า
สวีเฟยปลดถุงสุราที่แขวนไว้ตรงเอว ดึงจุดปิดออก เงยหน้าดื่มไปสองอึก ทางหนึ่งดื่ม ทางหนึ่งมองภาพตรงหน้าอย่างสงบนิ่ง
หมอกแสงเหล่านั้นลุกไหม้ขึ้นตาม กอปรกันเป็นเปลวเพลิงกลุ่มหนึ่ง แล้วแผ่ลามไปรอบๆ
ตอนนี้ท้องทะเลแห่งแสงบริเวณนี้เหมือนถูกต้ม พลิกตัวอย่างต่อเนื่อง
ในตอนนั้นเอง พลันมีแสงสว่างกะพริบขึ้นจากทิศทางที่แตกต่างกัน
ตัวตนอันน่ากลัวไม่ต่ำกว่าหนึ่งมาถึงความว่างเปล่ากลางจักรวาลแห่งนี้พร้อมกัน
เพียงแต่คนหนึ่งในนี้ทำให้ผู้คนต้องกลั้นหายใจ ผู้เข็มแข็งจำนวนมากขนาดนี้ถมเติมที่นี่พร้อมกัน ไม่จำเป็นต้องลงมือ บรรยากาศที่แข็งค้างก็แทบจะฉีกหมอกแสงบริเวณนั้นทิ้ง
ระหว่างพวกเขามีการปะทะกัน ไม่ยอมถอยหนี ยิ่งทำให้บรรยากาศตรงหน้ากดดันถึงขีดสุด
หากแต่สองฝ่ายไม่ได้เกิดความขัดแย้งใหญ่ในทันที กลับเล็งเป้าหมายไปที่กระบี่ลงทัณฑ์เซียนก่อน
ดังนั้นจึงเห็นปรากฏการณ์ประหลาดมากมายปรากฏ ราวกับบุปผาปลิวว่อนเต็มฟ้า กระจายไปทั่วความว่างเปล่า
“ไล่ตามมาแล้วจริงๆ ด้วย” เยี่ยนจ้าวเกอแสยะยิ้ม มองไปทางสวีเฟย
สวีเฟยยิ้มขึ้น แขวนถุงสุราไว้ตรงเอว
หมอกแสงบนศีรษะของคนทั้งสองถูกฉีกออก กลิ่นอายอันน่ากลัวข่มขวัญคนพลันกดลงมาราวกับท้องฟ้าถล่ม
แต่ว่าร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก สวีเฟย และพ่านพ่านสั่นร่าง แสงอันเจิดจ้าพุ่งสู่ฟากฟ้า
ภายใต้แสงสว่างสาดส่อง วานรยักษ์ที่เหมือนกับเขาสูงสามลูกเผยงร่างอันมโหฬาร ราวกับค้ำฟ้ายันดิน ดันท้องฟ้าที่ถล่มลงมาขึ้นไป
ปราณปีศาจทั่วฟ้าแผ่พุ่ง ถูกแสงสว่างของกายทองมหาเทวะสาดส่อง ตัวตนมากมายในความว่างเปล่าจึงค่อยปรากฏรูปร่างที่แท้จริง มิได้ยากจะสำรวจและยากจะบรรยายเหมือนเช่นก่อนหน้า
ผู้นำหน้าคือเซียนหัวมังกร เซียนงาวิญญาณ ยังมีฉวีซูบุตรกระบี่หกวิถีที่สู้กันก่อนหน้านี้
คนที่ร่วมทางกับพวกเขาสามคนกลับเป็นจอมปีศาจอีกตนหนึ่ง สวมชุดเกราะ มือถือสามง่าม ใบหน้าเคร่งขรึม มองกายทองมหาเทวะทั้งสามร่างคล้ายมีความคิดอะไรบางอย่าง
นอกจากพวกเขาสี่คน อีกด้านหนึ่งยังมีเงาร่างสองสายยืนอยู่รอบนอก ขณะที่จับจ้องพวกเยี่ยนจ้าวเกอ กลับระวังพวกฉวีซูและเซียนหัวมังกร
เงาร่างสองสายนั้น คนหนึ่งเป็นพุทธะที่นั่งบนบัวเขียว กายเป็นสีน้ำเงิน มือขวาถือฉัตรวิเศษพาดกับไหล่ซ้าย มือซ้ายวางบนตัก
อีกคนหนึ่งเป็นคนหนุ่มที่มีสามเศียรหกกร กลางหน้าผากมีดวงตาที่สาม
มหาเทวะเผ่าปีสาจสามตน พุทธะที่สำเร็จผลพุทธองค์หนึ่ง มหาชาลศาสนาพุทธเส้นาทงนอกรีตคนหนึ่ง เซียนสวรรค์จากโถงเซียนเส้นทางนอกรีตคนหนึ่ง
ผู้เข้มแข็งระดับมหาชาลหกคน มาถึงที่นี่แล้ว
แค่การปะทะกันของพลังที่มีเจตนาสะกดกันเองระหว่างพวกเขาก็ทำให้มิติเวลาที่นี่เกิดความรู้สึกฉีกขาดแล้ว
แต่ว่าพอพวกเขามาถึงที่นี่ กลับขมวดคิ้ว
“…กระบี่ลงทัณฑ์เซียนมิได้อยู่ที่นี่!” เซียนหัวมังกรชะเง้อดู กล่าวอย่างโมโหอยู่บ้าง
ฉวีซูพลิกข้อมือวูบหนึ่ง ใจกลางฝ่ามือคือตราพลิกฟ้าก้อนเล็กๆ เป็นเศษชิ้นส่วน แสงเพลิงสีทองระคนแดงลุกไหม้
อีกด้านหนึ่ง คนหนุ่มสามตาผู้มีสามเศียรหกกรผู้นั้นมองดูกระดิ่งใบเล็กที่ตนถืออยู่ในมือ
“เด็กน้อยสมควรตาย!” เซียนงาวิญญาณถลึงตา จ้องมองเลือดเนื้อที่ลุกไหม้ไม่อาจคืนสู่สภาพเดิมกลางท้องทะเลหมอกแสงที่กำลังลุกเป็นไฟก้อนนั้น
เป็นเพราะถูกคัมภีร์กระบี่ผนึกเซียนกับกระบี่ลวงเซียนฟันทำลายพลังชีวิตและคุณสมบัติวิญญาณในเลือดเนื้อ ดังนั้นก่อนหน้านี้เซียนงาวิญญาณจึงสัมผัสไม่ได้ว่า เลือดเนื้อที่พวกเขาไล่ตาม มิใช่แขนของกว่างเฉิงจื่อ แต่เป็นเนื้อผิวบนสะโพกของเซียนงาวิญญาณที่ก่อนหน้านี้ถูกกระบองสารพัดนึกกวาดกระเด็นออกไป
ตอนนี้ได้เห็นแล้ว เซียนงาวิญญาณไหนเลยจำไม่ได้? จึงโกรธกริ้วทันที
ฉวีซูมองดูเลือดเนื้อก้อนนั้นสักพัก พร้อมมองดูเปลวเพลิงโชติช่วง ก่อนจะมองดูเศษตราพลิกฟ้าที่เผยออกมาหลังจากเลือดเนื้อถูกเผา ค่อยๆ เข้าใจขึ้นมา
คนหนุ่มสามเศียรหกกรอีกด้นหนึ่งรู้สึกตัว “…ที่นี่ เป็นที่ที่ก่อนหน้านี้พวกท่านวางแผนไว้ดีแล้ว?”
“ไม่อย่างนั้นคงมิอาจปิดฟ้าบังทะเล” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย
สถานที่แห่งนี้เป็นสภาพแวดล้อมซึ่งก่อนที่พวกเขาจะเจอแขนของกว่างเฉิงจื่อ ได้พบกับสถานที่แห่งหนึ่ง หลังจากปลอมแปลง ก็ค่อยซ่อนเอาไว้
รอจนหาแขนของกว่างเฉิงจื่อจนเจอ เยี่ยนจ้าวเกอได้ฝังวิชาลับ ส่งแขนให้เกาชิงเสวียน จากนั้นคนอื่นๆ ก็ทำเป็นออกค้นหาตามเบาะแส วนเป็นวงใหญ่ ก่อนจะกลับมาที่นี่เหมือนไม่มีเรื่องราวใด
เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้ามองคนหนุ่มสามเศียรหกกร “คำนับเจ้าอายุขัยประจำปี แม้นได้ยินชื่อมานาน แต่พอได้เห็นด้วยตาตัวเอง ยังรู้สึกเสียดาย ผู้สืบทอดสามพิสุทธิ์สายหลักในอดีตก็มีคนเข้าเส้นทางนอกรีตเช่นกัน”
ก่อนหน้านี้ไม่ต้องเอ่ยถึงเฮ่อเหมี่ยนที่ทรยศหลบหนี หลังจากมหาภัยพิบัติในครั้งนั้น ผู้เข้มแข็งระดับเซียนของสำนักเต๋าที่เข้ากับโถงเซียนเส้นทางนอกรีต ไม่ว่าจะเป็นเกาซวี่เหนิง เฉินเป่า อวี๋ฮว่าหลง เยว่เจียง หรือว่าสายข้างของสามพิสุทธิ์กับผู้บำเพ็ญพเนจร ต่างมิอาจเรียกเป็นผู้สืบทอดกระแสตรงสามพิสุทธิ์สายหลักได้
ปัจจุบันไม่เห็นวรยุทธ์การสืบทอดกระแสตรงของสามพิสุทธิ์ในการพัฒนาวรยุทธ์ของโถงเซียนเส้นทางนอกรีตเช่นกัน
แต่ยังคงเมีตัวตนพิเศษ
หลายปีมานี้เพราะได้ใกล้ชิดกับจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋และเจ้าแม่อู๋ตัง เยี่ยนจ้าวเกอจึงรู้จักผู้เข้มแข็งของโถงเซียนยิ่งมายิ่งมาก ย่อมเคยได้ยินชื่อของอินเจียวเทวกษัตริย์ไท่ส่วยประจำปี
เทวกษัตริย์เส้นทางนอกรีตี่มีสามเศียรหกกร มีลักษณะเป็นคนหนุ่มตรงหน้า ก็คืออินเจียว
“ก่อนที่ข้าจะขึ้นทำเนียบเซียน เข้าสู่วังเทพ เกรงว่าไม่นับเป็นผู้สืบทอดกระแสตรงสามพิสุทธิ์แล้ว” อินเจียวกล่าวอย่างไม่รู้สึกรู้สา
เซียนหัวมังกรแค่นเสียงเย็นชา “แม่นางที่ถือกระบี่ลวงเซียนผู้นั้นไม่อยู่ที่นี่ หรือว่าใช้กระบี่ลวงเซียนผนึกวัตถุของกว่างเฉิงจื่อ แล้วไปตามหากระบี่ลงทัณฑ์เซียนคนเดียว?”
“หึ มีเพียงแค่นางคนเดียว ใช่ว่าจะเรียบร้อย พวกเราแม้ติดกับแผนร้ายของพวกเจ้า แต่ยังคงมีคนอื่นๆ อยู่ ถึงเวลานั้นแม้แต่กระบี่ลวงเซียนก็เอามาพร้อมกันได้!”
เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินก็แบมือ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่ามิใช่ผู้อาวุโสเกาคนเดียว ยังคงมีคนที่แสดงอานุภาพอาวุธพิฆาตอย่างกระบี่ลงทัณฑ์เซียนและลวงเซียนได้ดีกว่าอยู่ด้วย”